คนจากรังโจรูเาออกมาล่าสัตว์หลายวันแต่ยังไม่กลับ ย่อมมีคนออกมาตามหา
“ท่านหัวหน้า มีขนหมาป่า มูลหมาป่า แล้วก็รอยเท้าเสือ…”
แม้หิมะจะปกคลุมทุกอย่าง แต่กลิ่นคาวเืคละคลุ้งยังไม่จางหาย
โจรูเาใช้ชีวิตบนูเามานาน ย่อมรู้วิธีกำจัดหิมะบนพื้นผิวเพื่อตามหาเบาะแส
“ท่านหัวหน้า ริมหน้าผามีเศษเสื้อผ้า…” มีคนะโบอกหัวหน้าโจร
หัวหน้าโจรูเาพาคนไปดูที่หน้าผา พบว่าบนต้นไม้ใต้หน้าผามีเศษเสื้อผ้า
“พวกเขาเจอทั้งฝูงหมาป่า เจอทั้งเสือ…ดูท่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี เช่นนั้นกลับกันเถิด” หัวหน้าหน่วยย่อยโบกมือพูด
ฝูงหมาป่าถือว่าเป็สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในป่า กลิ่นคาวเืคละคลุ้งเช่นนี้…จินตนาการได้ว่าการต่อสู้จะดุเดือดขนาดไหน
หัวหน้าหน่วยย่อยไม่อยากตายกลางป่า รีบออกคำสั่ง
เหล่าโจรูเาแยกย้ายทันที พวกเขามีคำตอบให้รายงานเป็พอ
ส่วนที่นี่…ที่นี่อยู่ลึกเกินไป ไม่รู้ว่าแถวนี้ยังมีฝูงหมาป่ากับเสืออีกหรือไม่ ไม่มีผู้ใดอยากโดนสัตว์กิน
พวกเขาถอยกลับอย่างเร่งรีบ ไม่ได้ตรวจสอบป่าผืนนี้อย่างละเอียด ถึงเจียงหงหย่วนจะมีจุดที่เก็บกวาดไม่เรียบร้อย พวกเขาย่อมไม่เห็น เมื่อเวลาผ่านไปแล้วยิ่งไม่มีทางเจอ
เพราะูเาลูกนี้มีสัตว์กินเนื้อหลายชนิด ผ่านไปนานแล้วจะไม่เจอแม้แต่กระดูกย่อมไม่ใช่เื่แปลก
เื่นี้จึงผ่านพ้นไป หัวหน้าโจรูเาสั่งลูกน้องว่าจะเข้าป่าก็ได้ แต่อย่าไปลึกเกิน
เจียงหงหย่วนถลกหนังเสือและหนังหมาป่า ทำน้ำมันกระดูกเสือ ใช้เวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ
เขาห่อหนังสัตว์เป็ก้อนพร้อมมัดให้แน่น กระเป๋าใบใหญ่ที่ภรรยาตัวน้อยให้มาก่อนออกจากบ้านได้ใช้ทำประโยชน์
กระเป๋าที่หลินหวั่นชิวให้มาเป็กระเป๋าผ้าใบ ขนาดใหญ่มาก เป็กระเป๋าแบบที่พวกพ่อค้าใช้เวลาลงสินค้า ใส่หนังสัตว์ไปสองใบโต
เจียงหงหย่วนซ่อนทุกอย่างเสร็จก็ไปล่าจิ้งจอกหิมะ รับปากแล้วว่าจะทำผ้าคลุมหนังสัตว์ให้ภรยาตัวน้อย จะผิดคำพูดไม่ได้
รอบนี้เขาดวงดี เพียงแค่สองวันก็ล่าจิ้งจอกหิมะได้ห้าตัว ไม่เหมือนตอนเพิ่งมาที่เดินหาอยู่นานกลับไม่เจอแม้แต่เงา
ถลกหนังเสร็จเรียบร้อย เจียงหงหย่วนก็เตรียมตัวลงเขา คิดถึงภรรยาตัวน้อยมากเหลือเกิน
ขากลับ เจียงหงหย่วนตัดสินใจเดินอ้อมูเา เสือที่เขาล่าได้เป็เสือเพศเมีย ดูจากการหดตัวของผิวหน้าท้องกับขนาดของอวัยวะสืบพันธุ์ เขาคาดการณ์ว่าเสือตัวนี้เพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่เดือน ด้วยเหตุนี้จึงอยากลองตามหาดูว่าจะเจอลูกเสือหรือไม่
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เจียงหงหย่วนเจอลูกเสือคู่หนึ่งที่กำลังหิวซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ
เขาดีใจมาก หากลูกเสือคู่นี้ขายได้ราคาดี…ไม่แน่ว่าจะได้เงินเพิ่มอีกเป็พันตำลึง
วันเปิดร้าน หลินหวั่นชิวเชิญคณะเชิดสิงโต ตีฆ้องร้องกลองสนั่นหน้าปากซอยั้แ่เช้า
นางยังเชิญนักกายกรรมมาอีกสองสามคน ตั้งเวทีแสดงไว้หน้าปากซอย บ้างก็ควงถ้วยควงจานบนหัว บ้างก็ใช้หน้าอกกระแทกก้อนหิน
ทุ่มเงินหนักขนาดนี้ เพื่อนบ้านตกตะลึงกันหมด
มีคนถามหลินหวั่นชิว นางก็ตอบว่าเ้าของสั่งมา นางแค่ช่วยดำเนินการตามคำสั่งเท่านั้น
พวกเขาถามว่าเ้าของเป็ผู้ใด หลินหวั่นชิวบอกว่านางไม่รู้เช่นกัน คนที่มาเช่าบ้านเปิดร้านให้นางช่วยดูแล แต่ได้ยินว่าภูมิหลังของเ้าของมีอิทธิพลมาก นางไม่กล้าสอบถามสิ่งใด
เหล่าเพื่อนบ้านได้ยินดังนั้นต่างหมดคำถาม แม้ทุกคนจะคาดเดาไปต่างๆ นาๆ แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าเป็หลินหวั่นชิว
หลินหวั่นชิวปิดบังเพราะกลัวปัญหา คนที่นี่มีความเป็อยู่พอๆ กัน บ้านใดได้ดีเกินไปต้องดึงความอิจฉามาสู่ตัวเป็แน่ ความอิจฉาไม่ใช่สิ่งที่ดีงามนัก ดีไม่ดีจะมีคนปองร้ายเพราะอิจฉา
ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือหมู่บ้านเค่าซาน
เจียงหงหย่วนแค่สร้างบ้านก็ล่อหมาป่าเข้ามาแล้ว
สังคมศักดินาไม่ได้ดีเหมือนสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมายแบบยุคปัจจุบัน หลินหวั่นชิวไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยของสังคมนี้แม้แต่นิดเดียว
นางให้คนตั้งโต๊ะนอกร้าน ปูผ้ากำมะหยี่สีแดงบนโต๊ะ ดูแล้วให้บรรยากาศมงคลยิ่งนัก หนังสือภาพห้าเล่มถูกสายผ้าแพรหลากสีผูกรวมเป็มัดไว้บนโต๊ะ วางกองเป็ทรงพีระมิด กำแพงด้านข้างแปะใบปลิวขนาดใหญ่ บนใบปลิววาดภาพหน้าปกของหนังสือทั้งห้าเล่น เขียนราคาเปิดตัวอันน่าใว่า ชุดละสี่สิบตำลึง
หลายคนที่ไม่รู้หนังสือมาถามแล้วต้องถอยไปเพราะใกับราคา
หลินหวั่นชิวแจกใบปลิวไปทั่ว ตอนนี้หน้าร้านจึงมีคนมามุงดูจำนวนมาก
คุณหนูและฮูหยินจากตระกูลสูงศักดิ์รู้สึกว่าใบปลิวของร้านอันอี้จวีน่าสนใจจึงส่งสาวใช้มาดูเช่นกัน
ถึงเวลาฤกษ์งามยามดี หน้าร้านจุดประทัด ผู้คุ้มกันหญิงสองคนยืนเฝ้าหน้าประตู ให้เข้าได้เฉพาะสตรี บุรุษห้ามเข้า ปล่อยให้ลูกค้าเข้าร้านแค่ครั้งละยี่สิบคน เกินแม้แต่คนเดียวก็ไม่ได้
ยิ่งเป็เช่นนี้ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจ นี่ก็คือกลยุทธ์กระตุ้นความอยาก
เมื่อคนด้านนอกมามุงดูเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงมีอันธพาลสบโอกาสก่อความวุ่นวาย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็สตรี พวกเขาคิดจะฉวยโอกาสลวนลาม จะเข้าไปให้ได้
เกิดความโกลาหลนอกร้านทันที
ในตอนนี้เองที่มือปราบที่หลินหวั่นชิวเชิญมาได้มีบทบาท เข้ามาจับคนออกไป
เหตุการณ์นี้ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวาย
หลายคนเชื่อแล้วว่าเ้าของร้านนี้มีอิทธิพล ไม่กล้าล่วงเกิน
ร้านใดเปิดร้านแล้วมีมือปราบมาคุมอยู่ใกล้ๆ บ้าง?
นี่ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?
หลินหวั่นชิวไม่รู้ตัวเลย นางแค่คิดแบบสมัยใหม่ เผื่อว่าวันเปิดร้านคนเยอะแล้วเกิดเหตุการณ์เหยียบกันขึ้นมาคงรับผิดชอบไม่ไหว ด้วยเหตุนี้จึงจ่ายเงินเชิญมือปราบจากที่ว่าการมาดูแลความเป็ระเบียบเรียบร้อยเพื่อป้องกันไว้ก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีเื่คาดไม่ถึงเช่นนี้
ช่วยลดปัญหาในวันหน้าให้นางได้มาก
อันธพาลสองสามคนยังไม่อาละวาดก็ถูกจับ บรรดาลูกค้าสตรีต่างเบาใจลงมาก
ลูกค้ากลุ่มแรกที่เข้าไปต่างตื่นตาตื่นใจกับการตกแต่งร้าน นี่มันเหมือนร้านค้าที่ใดกัน!
เหมือนห้องของคุณหนูตระกูลร่ำรวยมากกว่า
หลินหวั่นชิวอธิบายกับทุกคนอย่างเปิดเผย “สินค้าทั้งหมดบนชั้นที่มีป้ายราคาล้วนซื้อได้ ร้านของเราขายสินค้าตามราคาที่กำหนด ไม่มีการต่อรองราคา”
หลายคนหยิบหนังสือภาพขึ้นมาดู โดยเฉพาะตำราอาหาร ‘รวมสุดยอดตำรับ’ ทุกคนตาเป็ประกาย
“แค่ดูภาพก็อร่อยแล้ว”
“์ เอาตำรับอาหารมาขายเช่นนี้เลย”
“แพงมาก เล่มละสิบตำลึงเลย”
“แต่นี่เป็ตำรับอาหาร ราคานี้ถือว่าไม่แพง” มีคนที่รู้จักตลาดพูดขึ้น “อาหารพวกนี้ข้าไม่เคยกิน ที่แท้รากบัวก็ทำเช่นนี้ได้ด้วย…”
“เถ้าแก่ ข้าเอาหนึ่งเล่ม” ไม่นานก็มีแม่นางชุดกระโปรงแดงพูดขึ้น
หลินหวั่นชิวเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวไม่ซอมซ่อ มือขาวเนียนไม่หยาบกร้าน ข้อมือสวมกำไลหยก แม้จะไม่ใช่ของชั้นยอดแต่ก็มองออกว่าแม่นางคนนี้ไม่ขาดแคลนเงินเป็แน่
นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ซื้อแบบแยกขายเล่มละสิบตำลึง วันนี้อันอี้จวีเปิดกิจการวันแรก ถ้าซื้อหนึ่งชุดจ่ายเพียงสี่สิบตำลึงเท่านั้น”
สี่สิบตำลึงราคาค่อนข้างกำหนดเฉพาะ แม่นางชุดแดงคิดไปคิดมาแล้วกล้าซื้อแค่เล่มเดียว
“ข้าเอาสิบชุด” ในตอนนี้เอง มีเสียงที่หยาบเล็กน้อยดังขึ้น หลินหวั่นชิวเห็นแม่นางสองคนที่คนหนึ่งสูง คนหนึ่งเตี้ยลุกจากเก้าอี้ขึ้นพูดอย่างองอาจผึ่งผาย
แม่นางที่ตัวสูง…เหตุใดจึงดูคุ้นตาแปลกๆ?
