การจะฝึกอาวุธิญญาให้ได้นั้น อันดับแรกเลยคือต้องอัดกำลังภายในเข้าไปในตัวอาวุธ เข้าถึงกระบวนอักขระที่สลักอยู่ไว้ให้จงได้
สำหรับเ่ิูแล้ว ขั้นตอนนี้มีความเสี่ยงสูง
เพราะเขายังไม่เคยเข้าคาบเรียนของปีสอง ไม่เคยเรียนวิชาคาบเกี่ยวกับอักขระ ทว่าก็ไปนั่งแช่อยู่ในหอสมุดทุกวัน แล้วก็ยังสามารถเข้าหอสมุดของนักเรียนปีสูงได้อย่างอิสระด้วย สำหรับเื่การกระตุ้นสลายโครงสร้างของกระบวนอักขระและทฤษฎีเดิมของอักขระนั้น เขาเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงจะลองเสี่ยงดูโต้งๆ สักที
กระบี่ฉ่าวชางสั่นสะท้าน ริ้วลายสีฟ้าบนด้ามกระบี่มีแต่จะทวีจำนวนขึ้นทุกที แล้วก็ทยอยขึ้นไปถึงส่วนอื่นของกระบี่แล้วด้วย
“ที่ๆ รอยริ้วส่องสว่างถึง หมายความว่ากระบวนอักขระส่วนนั้นได้จุกำลังภายในไว้สำเร็จแล้ว กระบวนอักขระด้านในถูกกระตุ้นเรียบร้อย...”
เ่ิูตัดสิน
สมองเขาเห็นภาพปลอดโปร่ง เป็น้ำพุพลังตานั้นกำลังพวยพุ่งสูงลิบ ละลายเป็หมอกซึมดิ่งเข้าสู่ทุกอณูร่างของเ่ิู สุดท้ายก็หลีกลี้จากร่างกายไปอัดบรรจุในกระบี่ฉ่าวชางอย่างต่อเนื่อง
จากเดิมที่ยังฉงนและลังเลอยู่บ้าง พอถึงยามนี้เ่ิูก็เข้าใจการฝึกฝนอาวุธิญญาแล้ว เคยแต่อ่านมาในตำราทฤษฎีเกี่ยวกับอักขระและกระบวนอักขระคร่าวๆ ค่อยๆ ผ่านขั้นตอนนี้แล้วเปลี่ยนแปรเป็ใสสะอาด
และกำลังภายในก็จุเข้าไปในกระบี่ได้สะดวกยิ่งขึ้น
หากมีใครมานั่งสังเกตดีๆ ก็จะเห็นถึงริ้วลายสีฟ้านั้นตลบอบอวลอยู่รอบด้ามกระบี่ ลุกลามบ้าคลั่งประหนึ่งเถาวัลย์หนาสู่้า ค่อยๆ โอบล้อมกลืนกินกระบี่ฉ่าวชางไว้สิ้น
ยามนี้เองที่ความรู้สึกของเ่ิู เหมือนกับบ่งชี้ว่ากระบี่ฉ่าวชางนั้นราวกับหลับใหลในนิทราอันมืดมิดมาไม่รู้กี่ภพชาติ บัดนี้กำลังตื่นขึ้นมาช้าๆ
และเมื่อริ้วลายสีฟ้าคืบคลานไปทั่วตัวกระบี่อย่างไม่หยุดยั้ง ค่อยๆ แผ่ล้อมจนหมดตัวกระบี่ก็ราวกับเป็เส้นเื โคจรอยู่กลางแสงวับแวบซึ่งผาดโผนแ่เบา
“ความรู้สึกแบบนี้ เยี่ยมยุทธ์ยิ่งนัก เหมือนกับว่า...เหมือนกับว่ากระบี่ฉ่าวชางกำลังแลกเปลี่ยนเืและชีพจรเดียวกันกับข้า กำลังกลายเป็อันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว!”
เ่ิูพึมพำคนเดียวอย่างอดไม่ไหว
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ กระบี่ฉ่าวชางในที่สุดก็ปกคลุมด้วยริ้วลายสีฟ้า เป็สัญลักษณ์บ่งบอกว่ากระบวนอักขระที่สลักอยู่บนตัวกระบี่ได้ถูกปลุกปั่นขึ้นมาจนครบแล้ว
ทุกกระบวนอักขระที่มีล้วนถูกเติมเต็มด้วยกำลังภายในของเ่ิู กระบี่นี้ได้ถูกกลั่นจนบริสุทธิ์แล้ว
เ่ิูรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลของอาวุธิญญาเล่มนี้
ข้อมูลที่ยากจะบรรยายได้กระโจนอยู่ในหัวใจของเด็กหนุ่ม เกี่ยวกับพลังของกระบี่เล่มนี้นั้น ประโยชน์รวมถึงสามารถรับกระบวนการจุอัดกำลังภายในได้ด้วยค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
เ่ิูเอื้อมมือหยิบมัน
กระบี่ฉ่าวชางที่ราวกับมีชีวิตซึ่งลอยอยู่เหนือเศียรได้ตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว
เมื่อัักับอาวุธิญญารวมกับกรรมวิธีกลั่นให้บริสุทธิ์เมื่อครู่แล้ว ให้ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตอนยังไม่ได้กลั่นนั้นหนักหน่วงมาก น่าจะหนักหลายพันจินได้ ด้ามกระบี่ก็เย็นเฉียบ สมจริงเป็ยิ่งยวด และตอนนี้ที่เ่ิูรู้สึกเหมือนแขนของตนยืดขนาดไปอีกระดับ ไม่รู้สึกถึงน้ำหนัก อบอุ่นสบายประหนึ่งััเนื้อหนังมังสาของตนเอง...
เ่ิูวาดกระบี่ออกไป
ยังมิได้กระตุ้นกำลังภายใน ก็มีพลังงานชั้นหนึ่งผ่าอากาศออกเป็สองทาง
พลังภายในร่ายระบำอยู่บนตัวกระบี่อย่างปราดเปรียว ค่อยๆ กระตุ้นกันไป ยังมีอีกสามฉื่อที่ยังกลืนกินไม่เสร็จสิ้น กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นลอยละเลง ให้คนมองนึกครั่นคร้าม
เ่ิูเพียงสั่งในใจ แสงสีฟ้าก็ทอวาบ ดลให้กระบี่ฉ่าวชางหายไปในฝ่ามือ
เขาเริ่มใช้ญาณมองภายใน
ในโลกตันเถียนนั้น ตำแหน่งที่น้ำพุิญญาเคยพุ่งโหมซัดเป็แนวคลื่นได้กลายเป็ทะเลสาบขนาดเล็กเรียบร้อยแล้ว ตาน้ำพุอยู่ที่ศูนย์กลางนั้น และกลางตาน้ำพุอีกทีหนึ่งก็มีกระบี่ฉ่าวชางเดี๋ยวลอยเดี๋ยวจมอยู่ มันกำลังแช่พลังอย่างเต็มรูปแบบ
เมื่อกลั่นอาวุธิญญาแล้วจะหลอมรวมจิติญญาเป็หนึ่งกับผู้และเข้าไปสถิตในร่างกาย ในกำลังภายในให้ความอบอุ่นและฟูมฟัก หากดูแลให้เหมาะสม การจะเพิ่มระดับของอาวุธิญญาก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
กระบี่ฉ่าวชางควรจะเป็อาวุธิญญาระดับล่าง หากเ่ิูสามารถหาวัตถุดิบพวกสินแร่มาดูแลได้เหมาะสม หล่อหลอมเจียระไนขึ้นใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็ชุบเลี้ยงให้ชุ่มชื้นเช่นเดิม ก็มีโอกาสจะยกระดับมันให้เป็ระดับกลางได้อยู่
ระดับของศาสตราวุธิญญายิ่งสูงเท่าไร ก็ยิ่งรับกำลังภายในของเ้าของได้มากเท่านั้น กำลังแรงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
“กระบี่ฉ่าวชางคือศาสตราวุธิญญาเล่มแรกที่ข้ามี!”
เ่ิูทอดถอนใจ
นี่คือทรัพย์สมบัติสุดท้ายที่บิดาเก็บไว้ให้เขาใช่หรือไม่?
เด็กหนุ่มฝึกเรียกอาวุธิญญาไม่ได้ขาด ลองสั่งการในใจเพียงแวบเดียว กระบี่ฉ่าวชางก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ หรือแม้แต่หายวับไป หนักเข้าก็ลอยอยู่ข้างศีรษะ เคลื่อนไหวเป็ไปดังที่ใจเ่ิู้า...
ครู่ต่อมาเ่ิูก็หาข้อสรุปได้ ว่ากำลังภายในตรงหน้านี้สามารถควบคุมกายกระบี่ฉ่าวชางให้โจมตีเองได้ในระยะสิบเมตรเท่านั้น หากเกินไปกว่านั้นพลังจะลดฮวบ ไม่สามารถพอจะทำร้ายนักยุทธ์ระดับน้ำพุิญญาได้
ผลแบบนี้ค่อนข้างทำให้เขาพอใจ
อย่างไรเขาก็ยังมิได้ผสมผสานกันกับกระบี่ฉ่าวชางอย่างเต็มคราบ กำลังภายในยังเข้าไปแช่ในตัวกระบี่ได้ไม่ทั้งหมด
“จากที่ข้าเปิดตาน้ำพุตาแรกสำเร็จบัดนี้ก็ผ่านมาตกสามเดือน ตาน้ำพุพวยพุ่งน้ำพลังบริสุทธิ์ออกมามิได้ขาด เนืองนองจนกลายเป็ทะเลสาบเล็กๆ ตามที่ตำราบอกไว้ นี่ถือเป็ความสำเร็จของตาน้ำพุตาเดียวแล้ว สามารถลองบุกเบิกตาน้ำพุตาที่สองได้!”
เ่ิูเก็บกระบี่ฉ่าวชางแล้วครุ่นคิด ท่ามกลางแสงตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้า
เขาว่ากันมาเป็ปรกติว่าเมื่อนักยุทธ์บุกเบิกตาน้ำพุตาแรกเป็ผลสำเร็จ แล้วตาน้ำพุนั้นได้ให้กำเนิดน้ำเจิ่งนองจนกลายเป็ทะเลสาบขนาดเล็ก ก็จะสามารถบุกเบิกตาน้ำพุที่สองได้ เมื่อลองทบทวนอีกที จากการอธิบายของทฤษฎีพื้นฐานวรยุทธ์ ต้องบุกเบิกน้ำพุให้ได้สิบตา จึงจะตะลุยเข้าสู่อาณาทะเลระทมได้
ตาน้ำพุสิบตา คืออัตราต่ำสุดที่อาณาทะเลระทม้า
แน่นอนว่ามีอัจฉริยะบางคนเห็นว่าการปลูกน้ำพุสิบตานั้นไม่เพียงพอ พวกเขาเตรียมพร้อมเพื่อความก้าวหน้า ไม่รีบร้อนจะก้าวข้ามอาณาแห่งพลัง แต่บุกเบิกต่อไปอีกถึงยี่สิบ สามสิบ หรือมากกว่านั้น ทำจนถึงที่สุด เมื่อนั้นจึงฝ่าฟันเข้าอาณาทะเลระทม
หากทำเช่นนี้ หลังจากเข้าอาณาทะเลระทมแล้ว พลังจะทวีคูณมหาศาลเหลือคณานับ ยอดฝีมือขั้นอาณาทะเลระทมธรรมดาไม่อาจเป็ศัตรูได้เลย
จากทุกขั้นตอนใดๆ ก็ตามกล่าวมา ตาน้ำพุิญญาในทะเลระทมมีเท่าใด ก็เท่ากับแสดงศักยภาพของพลังนักยุทธ์ว่ามีใดเท่าใดเช่นกัน
แน่นอนว่าจำนวนของน้ำพุิญญามิได้ขึ้นอยู่กับว่าเ้าอยากบุกเบิกมันให้มากเท่าไร คุณสมบัติของแต่ละคนล้วนกำหนดขีดจำกัดไว้แล้ว หากคุณสมบัติไม่พอ ฝืนบุกเบิกตาน้ำพุจนถึงขีดจำกัดตัวเอง ผลอย่างเบาก็จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก สถานหนักนั้นร่างกายจะถูกทำลาย สลายเป็ผุยผงปลิวไปในใต้หล้า
เ่ิูเคยอ่านเกร็ดเื่ผู้ทรงคุณธรรมในหอสมุดมาบ้าง
เล่ากันมาว่า ในสมัยานั้น มีมนุษย์ผู้หนึ่งเป็อัจฉริยะฟ้าประทาน บุกเบิกตาน้ำพุในโลกตันเถียนของตนมากถึงเก้าสิบเก้าตา ค้างอยู่อาณาน้ำพุิญญาถึงหนึ่งร้อยปี จากนั้นก็พรวดพราดเข้าอาณาทะเลระทม พริบตาก็กลายเป็หนึ่งในใต้หล้า ไม่มีผู้ใดเป็ศัตรูได้
หลังจากนั้นชายผู้นี้ก็ได้กำเนิดขึ้นบนความยากแค้นของยุคสมัย นำตนเป็เสาหลักเพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต่อต้านเผ่าพันธุ์อื่นนับหมื่นภพ รักษาขอบขัณฑ์ไว้เพืุ่์ได้อยู่อาศัยสืบมา ภายหลังเขาก็ได้กลายเป็ตำนานในเื่ราวนับไม่ถ้วน
และผู้แข็งแกร่งในตำนานของเผ่ามนุษย์ อาทิ สามจักรพรรดิห้าราชัน แปดพระองค์ที่ได้รับความเคารพอย่างสูงสุด ก็เป็นักยุทธ์ที่ตรากตรำเพื่ออนาคตกาลั้แ่อาณาน้ำพุิญญา พบเื่อัศจรรย์พันลึกมากมาย บุกเบิกตาน้ำพุกว่าเก้าสิบตา ท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็วีรบุรุษที่ได้รับการบูชานับถือสืบมา
ดังนั้นจึงเอ่ยได้ว่า การฝึกฝนและเลือกในอาณาน้ำพุิญญานี้เอง ที่สามารถพอจะส่งผลกระทบถึงความสำเร็จของนักยุทธ์ ตัดสินระดับสูงสุดที่ยังมาไม่ถึงได้ในระยะยาว
เ่ิูกำลังเหยียบอาณาน้ำพุิญญาอยู่ ณ บัดนี้ ดังนั้นจึงไม่อาจไม่รอบคอบ
...
วันที่สาม
ตระกูลเย่ซึ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหมาดๆ ในที่สุดผ่าน่เวลาวุ่นวายโกลาหลจนสงบลง ฉินหลันและถังซาน ทั้งสองคนมีบทบาทโดดเด่นอย่างมากในหน้าที่นี้ คนหนึ่งภายนอก คนหนึ่งภายใน ในระยะเวลาอันสั้นก็สามารถทำให้ตระกูลเย่ที่อยู่ใน่อลหม่านโคจรต่อไปได้อย่างไร้ริ้วรอย
ลำดับขั้นการเคลื่อนย้ายกิจการทั้งหลายของตระกูลล้วนสำเร็จหมดสิ้นแล้ว ถังซานยุ่งจนหัวหมุน ทว่าโชคดีที่ไม่มีข้อผิดพลาดใด
เมื่อกินข้าวเช้าในยามเช้าตรู่เสร็จสิ้น ทั้งถังซานและฉินหลันก็หอบสมุดบัญชีเล่มบางหลายสิบเล่มมากองไว้ให้เ่ิูได้ตรวจอ่านผ่านตา
“บัญชีของบ้านเย่ตลอดหลายปีมานี้อยู่ที่นี่หมดแล้วเ้าค่ะ ขอคุณชายโปรดอ่านให้เข้าใจ”
“กิจการภายนอกห้าอย่างก็จัดการปฏิรูปคราวใหญ่จนชัดเจนหมดแล้วขอรับ นี่คือบัญชีรายได้ทั้งหมดในหลายปีนี้ ทั้งต้นทุน สถานการณ์การขนส่ง การผลิตทั้งหมดรวมอยู่หมดแล้วขอรับ!”
ทั้งสองยืนรายงานอยู่ทางหนึ่ง
เ่ิูแค่มองก็หัวปั่นแล้ว
เื่พวกนี้ เขาไม่เคยสนใจเลยสักนิด
“เอ้อ...เื่พวกนี้ พวกเ้าไปทำเองก็ได้ ไม่ต้องถามข้าหรอก” เ่ิูวางสมุดบัญชีไว้อีกทาง เขายิ้มแหยพลางส่ายหน้า “อีกอย่าง ถึงข้าจะอ่านด้วยตัวเอง ก็อ่านไม่รู้เื่อยู่ดีนั่นแหละ!”
ถังซานนิ่งอึ้งไป แล้วก็หัวเราะออกมา
ฉินหลันยังลังเล “แต่ว่า...”
เ่ิูปัดป่ายมือ “เอาเถอะ วัดหยุดของข้าจะหมดลงแล้ว อีกครู่ข้าก็ต้องกลับสำนักแล้ว เื่ของที่บ้านนี่ต้องพึ่งพวกเ้าแล้วล่ะ” ว่าพลางก็หยิบม้วนกระดาษหยกออกมาจากย่าม “นี่เป็จดหมายส่งข่าวของสำนักกวางขาว หากเจอเื่อะไรที่แก้ไขไม่ได้ ก็ถือมันมาหน้าสำนัก จะมีคนส่งข่าวแทนเ้าเอง”
เขาส่งมันให้ฉินหลัน
เ่ิูเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยต่อ “เสี่ยวฉ่าวอายุถึงเกณฑ์แล้ว หากมีใจอยากเข้าสำนักกวางขาว พรุ่งนี้จะเปิดสอบ ไปลองดูได้นะ...” ั์ตามองไปทางถังซานแล้วว่า “เ้าอายุเกินเกณฑ์แล้ว เข้าสำนักกวางขาวไม่ได้ หากมีใจใฝ่วรยุทธ์จริง ถ้ามีเวลาก็ไปที่ทิงเทาซวนฝึกกับบรรดาอาจารย์ได้ มีกายวรยุทธ์มั่นคงถือเป็เื่ดี”
ถังซานผงกหัวรับด้วยอารมณ์ตื่นเต้นยินดี
...
...
เมื่อถึงยามเที่ยงวัน เ่ิูก็กลับมาสำนักกวางขาว
เขาเก็บข้าวของในหอพักสักเล็กน้อยก็มีคนมาแจ้งที่ตั้งหอพักใหม่ของเขากับหมายเลขหอ แล้วยังบอกเื่อำนวยความสะดวกให้อีกด้วย
เป็ไปตามที่อาจารย์ท่านนั้นบอกไว้ ทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง
การเลื่อนชั้นสู่ปีสองนั้นหมายความว่าเ่ิูต้องแยกจากเพื่อนปีหนึ่งแล้ว ไม่ได้อยู่เขตเดียวกัน ราวกับว่าควรจะบอกลาสักหน่อย ทว่าเมื่อคิดไปคิดมา เขาอยู่ปีหนึ่งมิได้มีเพื่อนคนไหนเลย...นอกจากเด็กน้อย่เี่ิ
เ่ิูอยากไปทักทายเสียหน่อย
ทว่าเมื่อความคิดนี้ลอยมาเขาก็นิ่งไป
เพราะเขาเพิ่งรู้ตัวเอาตอนนี้ ว่าผ่านมานานเพียงนี้มีแต่เด็กหญิงเท่านั้นที่เป็ฝ่ายมาหาเขา เขาไม่เคยไปหานางเองเลย ั้แ่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ แม้แต่นางพักอยู่หอพักหมายเลขอะไร เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ...