บทที่ 158 หย่ากันเถอะ
ั้แ่แต่งงานกับลู่หวยเฟิง คนในตระกูลลู่มักปฏิบัติต่อเริ่นอิ๋งอิ๋งด้วยความเมตตา แม้แต่คุณนายลู่ที่ตอนแรกไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแต่งงานของลูกชาย ก็ไม่เคยพูดจารุนแรงกับเธอเลย
นี่เป็ครั้งแรกั้แ่เริ่นอิ๋งอิ๋งแต่งงานมา แล้วถูกวิจารณ์อย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้
“เธอ…ฉันเปล่า เธอหุบปากไปซะ!” เริ่นอิ๋งอิ๋งพูดด้วยความโกรธ
“ทำไมเหรอคะ?” สวี่จือจือมองเธอด้วยรอยยิ้มเยาะ “แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ? แล้วฉันล่ะ? ฉันถูกคุณหลอกจนถูกลักพาตัว เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แล้วฉันล่ะ?”
“ในเมื่อจะพูดแล้วก็พูดให้ชัดเจนไปเลย” สวี่จือจือมองอีกฝ่ายแล้วกล่าว “เป้าหมายของคุณคืออะไร? ทำไมต้องทำร้ายฉันด้วย?”
“ฉันไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอ เธอนั่นแหละที่ไม่รู้จักสำรวม” เริ่นอิ๋งอิ๋งะโเสียงแหลม “เธอน่ะไร้ยางอาย ตกลงสัญญาณลับกับชายชู้ ฉันแค่ช่วยส่งข่าวให้เธอเท่านั้น เธอมันต่ำช้าไร้ยางอาย…”
‘เพียะ!’ เสียงดังสนั่น
คำด่าทอรุนแรงของเริ่นอิ๋งอิ๋งหยุดลง เธอเบิกตากว้างมองผู้ชายที่อยู่ใกล้เธอที่สุดด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“พี่ตบฉัน” เริ่นอิ๋งอิ๋งร้องไห้ออกมา
เธอถึงกับล้มทั้งยืน
เริ่นอิ๋งอิ๋งกับลู่หวยเฟิงนับได้ว่าเป็คู่รักที่เติบโตมาด้วยกัน ลู่หวยเฟิงชอบเธอั้แ่เด็ก และยิ่งรักมากขึ้นหลังจากแต่งงาน
ทั้งสองแต่งงานกันมานานแต่ไม่มีลูก ลู่หวยเฟิงก็ไม่เคยใส่ใจ ซ้ำยังบอกว่า ‘เธอก็เหมือนลูกของบ้านเรา ฉันจะตามใจเธอเหมือนเด็กๆ เลย’
ในความเป็จริงหลายปีมานี้ ลู่หวยเฟิงก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
เื่ใหญ่เล็กในบ้าน เริ่นอิ๋งอิ๋งแทบไม่ต้องกังวลอะไรเลย สิ่งเดียวที่เธอใส่ใจใน่หลายปีนี้คือทำยังไงถึงจะมีลูกได้
ลู่หวยเฟิงปฏิบัติต่อเธอเหมือนเ้าหญิงตัวน้อยจริงๆ
ปกติพูดจายังไม่เคยรุนแรง แล้วจะกล้าลงไม้ลงมือได้ยังไง?
แต่ตอนนี้ ผู้ชายที่ซื่อสัตย์อย่างเขาก็ถูกพฤติกรรมอันหยาบคายของเธอทำให้โกรธจนอดลงมือไม่ได้ “เธอยังไม่รีบพูดมาอีก ว่าไปทำแบบนี้ทำไม?”
“ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะพี่นั่นแหละ” เริ่นอิ๋งอิ๋งกุมใบหน้าแล้วกล่าว “หล่อนจบแค่ชั้นประถม เพราะอยากเป็ครู พวกเราเลยต้องยกงานที่ทำอยู่ให้หล่อนอย่างนั้นเหรอ?”
“แถมยังหน้าไม่อาย ฉวยโอกาสตอนจิ่งซานขาไม่ดีมาล่อลวงพี่ ฉันไม่กำจัดหล่อนออกไป แล้วจะรอให้พี่กับหล่อนทำเื่น่าอับอายอะไรกันอีก?”
ดังนั้นเธอไม่ผิด เธอแค่ป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น
ถ้าปล่อยให้สวี่จือจือสมหวัง เธอจะทำยังไง? โวยวายเื่นี้ให้ใหญ่โต? สุดท้ายอาจถึงขั้นครอบครัวแตกแยก เธอไม่มีหน้าตาสะสวยเหมือนปีศาจจิ้งจอกอย่างสวี่จือจือ
ถ้าลู่หวยเฟิงจะหย่ากับเธอ เธอจะทำยังไง?
ผู้หญิงอย่างเธอ มีลูกไม่ได้ ถ้าทิ้งลู่หวยเฟิงไป ใครจะรับเธอ?
ที่สำคัญที่สุดคือเธอจะไปหาผู้ชายแซ่ลู่ที่ะดีกับเธอขนาดนี้ได้จากที่ไหนอีก?
“วันๆ เธอคิดอะไรอยู่ในหัวบ้าง? เื่เลอะเทอะพวกนี้มันมาจากไหนกัน?” ลู่หวยเฟิงโกรธจนแทบะเิ “ในใจเธอเริ่นอิ๋งอิ๋ง ฉันลู่หวยเฟิงเป็สัตว์เดรัจฉานอย่างนั้นหรือ?”
“ฉันเปล่านะ” เริ่นอิ๋งอิ๋งอยากจะเถียง
“เปล่า?” ลู่หวยเฟิงชี้ไปที่สวี่จือจือและลู่จิ่งซาน “จิ่งซานเป็หลานชายแท้ๆ ของฉัน จือจือเป็หลานสะใภ้ของฉัน”
เขาตบหน้าตัวเองแรงๆ หลายที “ฉันลู่หวยเฟิงคนที่เทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉานอย่างนั้นเหรอ? ถ้าฉันเป็คนแบบนั้น ฉันคงหย่ากับเธอไปนานแล้ว”
จะต้องรอจนถึงตอนนี้เหรอ?
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น เป็เพราะหล่อน…” เริ่นอิ๋งอิ๋งชี้ไปที่สวี่จือจือ “ฉันไม่ไว้ใจหล่อน หน้าตาเหมือนนางจิ้งจอก…”
“เธอยังจะใส่ร้ายคนอื่นจนถึงตอนนี้” ลู่หวยเฟิงส่ายหัว “เริ่นอิ๋งอิ๋ง ฉันไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็คนแบบนี้ เธอทำให้ฉันผิดหวังมาก”
“ฉันเปล่านะ!” เริ่นอิ๋งอิ๋งรีบคว้ามือลู่หวยเฟิง แต่เขากลับหลบ
“เื่พวกนี้ใครเป็คนบอกเธอ?” เขาถามด้วยรอยยิ้มเยาะตัวเอง “พวกเราแทบไม่ค่อยกลับมาอยู่บ้าน คำพูดที่เธอได้ยิน ใครเป็คนบอกเธอ?”
เพราะกลัวว่าเธอจะรู้สึกอึดอัด จึงไม่ค่อยพาเธอกลับบ้านตลอดหลายปีมานี้
“ไม่ใช่…”
“เธอจะไม่พูดใช่ไหม?” ลู่หวยเฟิงกัดฟันถาม “เธอรู้ไหม คนที่บอกเื่พวกนี้ให้เธอฟัง ก็แค่อยากยุยงให้พวกเราทะเลาะกับจิ่งซานเท่านั้น เธอคิดว่าคนอื่นหวังดีกับเธอเหรอ?”
ทำไมถึงโง่ขนาดนั้น
เริ่นอิ๋งอิ๋งลังเล
ถ้าเธอบอกชื่อของคนคนนั้นออกไป ความลับเล็กๆ น้อยๆ ของเธอก็จะปกปิดไว้ไม่ได้
เธอส่ายหน้าด้วยความดื้อรั้น
“ไม่มี”
“เริ่นอิ๋งอิ๋ง” ลู่หวยเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าเธอพูดออกมา ยังจะพอมีโอกาส”
โอกาสอะไร?
ทุกคนมองเขาด้วยความสงสัย
“ฉันผ่านกำแพงในใจนั้นไม่ได้” เขากล่าว “ฉันรับไม่ได้ที่คนร่วมเรียงเคียงหมอนกันเต็มไปด้วยความคิดสกปรกใส่ร้ายครอบครัวของตัวเอง”
“พี่หมายความว่ายังไง?” เริ่นอิ๋งอิ๋งร้องห่มร้องไห้ “พี่หมายถึงถ้าฉันไม่พูด พี่ก็จะ…หย่ากับฉันเหรอ?”
คำว่าหย่า ราวกับเริ่นอิ๋งอิ๋งต้องใช้พลังทั้งหมดในการพูดออกมา
ลู่หวยเฟิงไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายชัดเจนแล้ว
สวี่จือจือมองลู่จิ่งซาน ชั่วขณะนั้นไม่รู้จะพูดอะไร
ลู่จิ่งซานจับมือเธอ แล้วมองไปที่เริ่นอิ๋งอิ๋ง “ถ้าคุณไม่พูด ผมก็สืบหาความจริงได้”
แต่เขาก็ยังหวังว่าเริ่นอิ๋งอิ๋งจะพูดออกมา
“ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร พวกนายก็ไม่เชื่อฉันอยู่ดี” เริ่นอิ๋งอิ๋งมองลู่จิ่งซานด้วยรอยยิ้มเยาะ “ฉันชื่นชมนายจริงๆ โดนสวมหมวกเขียวขนาดนั้นยังไม่รังเกียจ?”
“คุณบอกนักหนาว่าฉันไม่รักนวลสงวนตัว” สวี่จือจือที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นในที่สุด ดวงตาผลซิ่งของเธอมองเริ่นอิ๋งอิ๋ง “คุณมีหลักฐานอะไร ถ้าไม่มีหลักฐานจะเรียกว่ากล่าวหา อาสะใภ้สามก็ทำงานในโรงเรียน คงจะรู้ดี”
“นั่นเพราะเธอมันเ้าเล่ห์” เริ่นอิ๋งอิ๋งกัดฟันพูด
ถ้ามีหลักฐาน เธอจะยอมให้ทุกคนรุมซัดเธอแบบนี้หรือ?
สวี่จือจือไม่รู้จะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี ไม่มีหลักฐานยังกล้าพูดอย่างมั่นใจ เธอทึ่งจริงๆ
“จนถึงตอนนี้เธอก็ยังหลงผิดอยู่อีก?” ลู่หวยเฟิงผิดหวังสุดขีด
“ฉันคือภรรยาของพี่ พี่เชื่อหล่อนแต่ไม่เชื่อฉัน” เริ่นอิ๋งอิ๋งกล่าว
ลู่หวยเฟิงแทบไม่จะอยากเชื่อ เขาผิดหวังเหลือเกิน ก่อนจะส่ายหน้าถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับต้องทำแบบนี้ถึงจะมองเห็นคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันอย่างชัดเจน
“ไม่มีใครยุยงฉัน” เริ่นอิ๋งอิ๋งกัดฟันกล่าว “เป็หล่อนที่ไม่รักนวลสงวนตัว ฉันก็แค่ช่วยส่งข่าว พี่ไม่เชื่อฉัน ฉันก็ทำอะไรไม่ได้”
“หย่ากันเถอะ” ผ่านไปนาน ลู่หวยเฟิงก็กล่าว
“พี่ว่าอะไรนะ?” ทุกคนในครอบครัวต่างก็ใกับท่าทีของลู่หวยเฟิง
เริ่นอิ๋งอิ๋งยิ่งไม่อยากจะเชื่อ
“ลู่หวยเฟิง สุดท้ายพี่ก็รังเกียจฉัน” เธอร้องห่มร้องไห้ “ปากบอกว่าไม่มีลูกก็ไม่เป็ไร แต่ลึกๆ พี่ก็อยากมีลูกของตัวเอง”
“เธออยากจะคิดยังไงก็คิดไป” ลู่หวยเฟิงจนปัญญากับความคิดของเธอ เขาพูดอย่างเหนื่อยล้า “แต่คนที่ยุยงเธออยู่เื้ั เธอต้องบอกออกมา”
เขาจะต้องจับตัวคนคนนี้ให้ได้
“คงจะเป็น้าเหอใช่ไหมคะ” เสียงใสๆ ดังขึ้น
.............................