ตอนที่สวี่ไป่ได้สติอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าตนเองถูกล้อมรอบอยู่ในน้ำอุ่น อยากจะยกมือขึ้นไปบิดี้เีกลับรู้สึกว่าแขนของตนเองถูกของมัดเอาไว้ จะขยับอย่างไรก็ขยับไม่ได้ จนผ่านไปได้สักพักสวี่ไป่ถึงได้รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในครรภ์ของมารดา
ความรู้สึกของสวี่ไป่นั้นยุ่งเหยิงมาก เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะเจอปาฏิหาริย์เช่นนี้
สวี่ไป่เป็เด็กกำพร้า ตอนอายุสิบกว่าปีพ่อแม่ที่ทำธุรกิจก็ได้จากไปเพราะว่าเครื่องบินตก เขาจึงกลายเป็เด็กกำพร้าที่สืบทอดมรดกร้อยล้าน ถึงแม้จะมีเงิน แต่ก็เป็เด็กกำพร้า โชคดีที่พ่อแม่ของสวี่ไป่ล้วนเป็คนที่ฉลาดมาก ั้แ่เด็กก็ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูลูก เลี้ยงสวี่ไป่ให้เป็คนที่มองโลกในแง่ดีและเข้มแข็ง สวี่ไป่มอบบริษัทให้กับผู้จัดการโดยเฉพาะจัดการดูแล ตนเองก็ยังเข้าเรียนไปตามเดิม เข้าร่วมการเรียนฝึกอบรมต่างๆ ภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงที่เลี้ยงตนมาจนอายุได้สิบแปดปี
ปีนั้นเพราะว่าพี่เลี้ยงอายุมากแล้ว จึงถูกลูกชายของตนรับกลับไปบ้านเก่า สวี่ไป่สอบติดมหาลัยก็ขายคฤหาสน์หลังเดิมทิ้งแล้วไปเรียนที่ปักกิ่ง
เพราะว่าใจไม่มีความฝันให้ไล่ตาม สวี่ไป่จึงเอาความมุ่งมั่นไปวางไว้ที่เื่เรียนจนได้ทุนมาทุกปี สุดท้ายก็ถูกส่งไปเป็นักศึกษาวิจัยในมหาลัยปักกิ่ง
ระยะเวลาที่เป็นักศึกษาวิจัย กลุ่มนักเรียนสมาชิกสภานักเรียนใช้วันหยุดฤดูร้อนไปมอบความอบอุ่นให้กับพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านห่างไกล นี่เป็ครั้งแรกที่สวี่ไป่ผู้เติบโตมาในเมืองใหญ่ั้แ่เด็กได้รู้จักความหมายของคำว่ายากจน
สวี่ไป่รู้สึกว่าตนเองหาเป้าหมายในการใช้ชีวิตของตนเองเจอแล้ว หลังจากนั้นหยุดฤดูร้อนในทุกปีก็จะไปโรงเรียนบนูเา ให้ของช่วยเหลือเื่การเรียนกับเด็กๆ หรือซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องใช้ในการเรียนไปให้ สวี่ไป่ััได้ถึงความหมายในการมีชีวิตของตนเองจากเื่นี้
ปิดเทอมฤดูร้อนปีหนึ่ง สวี่ไป่ก็ไปโรงเรียนบนูเาอีกครั้ง ระหว่างทางกลับเจอกับฝนฟ้ากระหน่ำ น้ำป่าไหลหลากจากูเาจนสวี่ไป่ถูกน้ำซัดไป ทั้งตัวถูกน้ำและโคลนพาลงไปด้านล่าง กว่าจะจับต้นไม้เล็กๆ เอาไว้ได้ สรุปก็ไม่สามารถช่วยชีวิตตัวเองได้สำเร็จ สุดท้ายภาพที่เห็นก็คือหินก้อนใหญ่ตกลงมาทับตัวเอง
สวี่ไป่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเื่เช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในพื้นที่แคบๆ ทุกวัน อยากจะขยับก็ยากมาก ความสุขในทุกวันก็คือฟังเสียงพูดคุยของคนด้านนอก
ฟังจากคนพูดพวกนั้น สวี่ไป่ก็รู้ว่าตอนนี้คือยุคโบราณ เพราะว่าเขาฟังคนเรียกพ่อของตนเองว่าใต้เท้าสวี่ แล้วแม่ของตนเองก็มีคนเรียกว่าฮูหยิน มีคนเรียนกว่าฮูหยินสาม แล้วก็มีคนเรียกว่าหมอจาง สวี่ไป่รู้ว่าแม่ของตนเองนั้นเป็คนอารมณ์ดี ชอบพูดชอบหัวเราะ ส่วนพ่อเป็คนนิสัยอ่อนโยน ไม่เคยได้ยินเขาพูดจาเสียงดังต่อหน้าตนเองมาก่อน พูดกับแม่ของเขาก็เป็น้ำเสียงนุ่มนวล บางครั้งก็จะอ่านกลอน อ่านหนังสือกับท้องของแม่
สวี่ไป่รู้ว่าตนเองยังมีพี่ชายหนึ่งคน แล้วก็พี่สาวหนึ่งคน พี่สาวเป็คนอ่อนโยน พูดจามักจะเจือเสียงหัวเราะมาด้วย ส่วนพี่ชายหรือ ดูท่าทางแล้วไม่ควรมีเื่ด้วย สวี่ไป่รู้สึกว่าต่อไปตนเองออกจากท้องแม่แล้วจะต้องหลีกหนีจากพี่ชายคนนี้ให้ไกล
สวี่ไป่ค่อยๆ รู้ว่าพ่อของตนเองนั้นเกิดจากจวนหย่งหนิงโหวในเมืองหลวง แต่ว่าเป็บุตรของอนุในเรือน จึงเรียนหนังสือสอบเข้าราชการได้ก็มาเป็ผู้ปกครองในเมืองเล็กๆ ทุกวันมักจะจมอยู่กับความคิดว่าจะป้องกันการรุกรานจากคนคนเผ่าโยวมู่เหมินพวกนั้นอย่างไร
สวี่ไป่ชอบบรรยากาศครอบครัวนี้มาก นอกจากพ่อแม่พี่ชายพี่สาวแล้ว ในบ้านยังมีผู้หญิงอายุมากที่ถูกเรียกว่าแม่นมลู่ ฟังการพูดของพวกเขาแล้วต่อไปแม่นมลู่จะเกษียณอายุอยู่ในครอบครัวนี้ ทุกวันแม่นมลู่จะยุ่งอยู่กับงานบ้านทั้งนอกทั้งใน เื่เล็กเื่ใหญ่ก็ต้องดูแล ที่ใส่ใจมากที่สุดก็คือตนเองที่ยังอยู่ในท้องของแม่ สวี่ไป่ชอบย่าคนนี้ที่สุด ต่อไปตนเองออกจากท้องของแม่แล้วจะต้องกตัญญูกับแม่นมลู่ให้มาก
พี่ชายหมั้นหมายั้แ่ยังเด็ก พี่สะใภ้ในอนาคตเรียนรู้การเรียน และเรียนงานบ้านงานเรือนกับแม่นมลู่พร้อมกับพี่สาวของตน นี่ก็เป็ท่านแม่ที่ให้คำแนะนำ ท่านแม่บอกว่าตนเองไม่ค่อยอดทนกับงานบ้าน ไม่ชอบการพูดคุย ชอบศึกษาวิชาการแพทย์ ในเมื่อต่อไปบ้านนี้ก็จะส่งต่อให้กับสะใภ้คนโตของตนเอง ซึ่งสะใภ้คนโตก็เลือกแล้ว เช่นนั้นก็สั่งสอนให้ดีๆ ไปเลยก็แล้วกัน หากแต่งเข้ามาก็จะสามารถเข้าตำแหน่งทำงานได้เลย
สวี่ไป่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าคนในครอบครัวนี้แปลกมาก คำพูดมากมายทำให้ตนเองฟังแล้วรู้สึกคุ้นเคย หลังจากสวี่ไป่คิดเงียบๆ ในใจ ถึงได้เข้าใจว่า พวกนี้ล้วนเป็คำศัพท์ของยุคปัจจุบัน เพราะว่ามีคำบางคำเป็ศัพท์ทางด้านเทคนิค คนอื่นๆ บางทีหลังจากฟังไปแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดนี้แปลกนิดหน่อย แต่ว่าสวี่ไป่เรียนมหาลัยมาก่อน อีกทั้งคะแนนที่เรียนก็ยังดีมาก ถึงแม้จะเป็คำศัพท์เทคนิคก้าวหน้ามากๆ เขาก็ยังรู้
ต่อมาสวี่ไป่ก็รู้ว่าพ่อแม่และพี่ชายเหมือนกับตน ต่างข้ามทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบัน ส่วนพี่สาวที่อ่อนโยนคนนั้น ตอนนี้สวี่ไป่ยังไม่แน่ใจ แต่ว่าจากที่พ่อแม่แล้วก็พี่ชายหลายครั้งมักจะอาศัยใน่เวลากลางคืนมานั่งพูดเื่ที่ค่อนข้างเป็ความลับในห้องนอนของพ่อแม่ในเวลากลางคืนแล้ว สวี่ไป่ก็รู้สึกว่าพี่สาวคงจะเป็คนในยุคนี้
สวี่ไป่รู้สึกตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย เขาคิดว่าต่อไปตนเองจะพูดกับพ่อแม่แล้วก็พี่ชายได้โดยไม่มีอุปสรรค สวี่ไป่กลัวมากว่าต่อไปตนเองจะทำเื่ที่ไม่เหมาะสมกับคนในยุคโบราณออกมาโดยไม่ทันระวัง แล้วจะทำให้คนอื่นคิดว่าตนเองเป็คนแปลก แต่ว่าตอนนี้ สวี่ไป่ไม่กังวลเื่นี้แล้ว
ฟังเื่ราวที่เกิดขึ้นด้านนอกทุกวัน สวี่ไป่ก็เริ่มรอคอยการเกิดของตนเอง เขาชอบบรรยากาศของครอบครัวนี้มาก จนอยากจะเข้าร่วมกับครอบครัวนี้จนทนไม่ไหวแล้ว
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปฤดูหนาวก็เข้ามา สวี่ไป่สามารถรู้สึกได้ว่าบรรยากาศด้านนอกเคร่งเครียดนิดหน่อย จากการฟังที่คนอื่นพูดกัน สวี่ไป่ก็รู้ว่าคนเป่ยตี้จะเข้ามาโจมตี
คิดถึงภาพที่ศัตรูบุกเข้ามาในซีรี่ย์ประวัติศาสตร์ สวี่ไป่ก็กังวลใจอยู่นิดหน่อย แต่หากใช้มีดจริงปีนจริงตีกันขึ้นมา ไม่ใช่การแสดงหนังแต่อย่างใด เป็การตายจริงๆ พ่อของตนเองเป็ผู้ปกครองเมืองชายแดนเล็กๆ อยากจะพาประชาชนในเมืองออกมาต่อต้านกับคนเป่ยตี้ที่บุกเข้ามา แม่ของตนเองหรือ เป็หมอแล้วก็ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ ช่วยคนที่าเ็ล้มตาย แม้แต่พี่สาวที่แสนอ่อนโยน พี่สะใภ้ในอนาคตผู้คล่องแคล่วก็เริ่มที่จะเตรียมตัวต่อต้าน
สวี่ไป่รู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย เขารู้ว่าใกล้ถึงเวลาที่ตนเองจะเกิดออกมาแล้ว เขาไม่อยากจะเกิดในตอนนี้ เช่นนั้นจะเพิ่มความยุ่งยากให้กับคนมากมาย
ในที่สุดาก็มาถึง สวี่ไป่ฟังการเคลื่อนไหวด้านนอกด้วยความใ รู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ พี่ชายกับพ่อก็ขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้ว ได้ยินว่าคนเป่ยตี้เอาอวี๋เหลียงเต้าที่ทำขึ้นมาจากไม้ติดล้อ นี่เป็อุปกรณ์ใช้ตีเมืองเชียวนะ สำหรับคนหนุ่มที่อยู่ในยุคปัจจุบัน มีใครบ้างที่ไม่เคยอ่านหนังสือนิยายบู๊ล้างผลาญ? สวี่ไป่รู้จักว่าอวี๋เหลียงเต้านั้นใช้ทำอะไร ดูเหมือนว่าครั้งนี้คนเป่ยตี้จะตัดสินใจโจมตีเมืองนี้
สวี่ไป่ได้ยินแม่ของตนเองตรวจแผลให้กับผู้ได้รับาเ็อย่างใจเย็น จากนั้นก็สั่งให้คนส่งหมอสักคนตรงนั้นมารักษาต่อ ได้ยินพี่ชายตนเองเข้ามาบอกว่าเตรียมตัวจะอพยพแล้ว พร้อมทั้งปล่อยให้เป่ยตี้เข้าเมืองมาปิดประตูตีสุนัข สวี่ไป่ยังรู้สึกได้ว่าพี่ชายมาตีตนเองเบาๆ บอกให้เขาอดทนไว้ รอจนทุกคนปลอดภัยแล้วค่อยออกมา สวี่ไป่ไม่กล้าขยับ เขากลัวว่าตนเองขยับบ่อยเกินไปจะออกมาก่อนกำหนด
สวี่ไป่รู้สึกได้ถึงฝีเท้ารีบร้อนของแม่ตนเอง สวี่ไป่รู้สึกว่าตนเองไหลลงไปด้านล่างอย่างช้าๆ เขากลัวมาก เขากลัวเพราะว่าตนเองทำให้แม่อยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย เขาพยายามที่จะควบคุมไม่ให้เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง แต่รู้สึกว่ายิ่งฝืนตัวเองยิ่งไหลลงไปข้างล่างมากขึ้นเรื่อยๆ เขายื้อเอาไว้ไม่ไหวแล้ว
สุดท้ายก็ต้องคลอดระหว่างทาง สวี่ไป่ค่อยๆ สะสมพลังงาน แต่ว่าพยายามอยู่นานกลับไม่ออกไปสักที เขาร้อนใจมาก น้ำคร่ำก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว หากเป็เช่นนี้เขาจะต้องหายใจไม่ออกตาย
สวี่ไป่รู้สึกว่ามีคนดันตนเองจากด้านนอก ในความเลือนรางพอได้ยินแม่นมลู่บอกให้แม่อย่าหลับ สวี่ไป่รู้ว่าตลอดทั้งวันแม่แบกท้องใหญ่ๆ ยุ่งกับการช่วยคน ตอนนี้ถ้าหากตัวเองไม่รีบออกไป เขาและแม่จะอันตรายแล้วจริงๆ
สวี่ไป่กลั้นหายใจ แล้วเบียดตัวเองออกไปด้านนอก จนกระทั่งหมดแรงถึงได้รู้สึกว่าการบีบรัดรอบตัวเองได้หายไปแล้ว ตามมาด้วยอุณหภูมิที่หนาวะเืจนถึงกระดูก
สวี่ไป่อ้าปากก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก คิดได้ว่าเสียงจะดึงดูดความสนใจศัตรู สวี่ไป่จึงไม่กล้าร้องไห้ รีบหุบปากหลับตาปี๋ เขาเหนื่อยมากจริงๆ
หลังจากตนเองถูกชำระล้างตัวเองแบบง่ายๆ แล้ว ก็ใช้ผ้าหนาๆ มาห่อเอาไว้ แม่นมลู่ส่งเขาให้กับแม่นางหลี่ ให้แม่นางหลี่พาเขาไปรวมตัวกับพี่สาวที่ด่านเยี่ยนเหมินก่อน บอกว่าตอนนี้ท่านแม่ยังไม่สามารถขยับตัวได้ แม่นมหลี่ก็อุ้มเขาวิ่งไปยังด่านเยี่ยนเหมินในทันที
สวี่ไป่อยากจะอยู่กับแม่ของตนเอง แต่ว่าตอนนี้เขาเป็เด็กที่เพิ่งเกิด อยู่ด้วยก็ทำได้แค่เป็ภาระคนอื่น สู้ไปยังสถานที่ปลอดภัยก่อน รอจนครอบครัวมารวมตัวกับตนเอง
สวี่ไป่คิดด้วยสติที่เลือนราง ไม่รู้ว่าพ่อกับพี่ชายของตนเป็อย่างไรบ้าง พวกเขาจำเป็ต้องล่อคนมาที่ในเมืองหลังจากนั้นถึงจะสามารถอพยพออกมาได้ พี่ชายบอกกับท่านแม่ว่า ความสามารถขององครักษ์ข้างกายเขานั้นเก่งกาจกันมากๆ หวังว่าองครักษ์เหล่านี้จะมีฝีมือการต่อสู้เก่งจริงๆ จนสามารถพาพ่อกับพี่ชายอพยพออกมานอกเมืองได้อย่างปลอดภัย
ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพิ่งจะขยับตัวก็ได้ยินพี่สาวกำลังพูดว่า “น้องชายขยับแล้ว ท่านแม่หลี่ น้องชายตื่นแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”
ท่านแม่หลี่คนนี้สวี่ไป่รู้จัก เป็แม่ยายของพี่ชายตนนั่นเอง
ฮูหยินหลี่มองแล้วก็เอ่ย “คาดว่าจะฉี่ ขอข้าดูหน่อย” ตามมาด้วยความรู้สึกราวกับว่ามีคนมาแก้ห่อผ้าของตน คิดได้ว่าของลับของตนเองถูกคนรุมดู สวี่ไป่ก็ร้อนใจแล้ว อยากจะต่อต้าน ร้องออกมาแต่กลับเป็เสียงร้องไห้ของเด็ก รอจนสวี่ไป่นอนตัวเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่อ ก็อดกลั้นไม่ไหวแล้ว ฉี่ร้อนๆ ของเด็กไหลออกมา
ฮูหยินหลี่เห็นแล้วก็รีบใช้ผ้าฉี่ที่ปูอยู่ใต้ตัวของสวี่ไป่ขึ้นมาบัง รอจนฉี่เสร็จแล้วถึงได้เปลี่ยนผ้าผืนใหม่ พี่สาวที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยออกมา “ท่านแม่เ้าคะ ท่านสอนข้าว่าเปลี่ยนผ้าฉี่อย่างไรได้หรือไม่เ้าคะ ต่อไปข้าจะช่วยท่านแม่ดูแลน้องชายเ้าค่ะ”
ฮูหยินหลี่อธิบายให้กับสวี่จืออย่างละเอียด “น้องชายของเ้าน่ะ เป็เด็กที่โชคดีมากที่มาเกิดในครอบครัวที่บิดามารดารักใคร่ แล้วก็มีพี่ชายพี่สาวคอยโอ๋”
สวี่จือได้ยินคำว่าพี่สาวก็ยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้บอกว่า ยังมีพี่สะใภ้มาโอ๋ด้วยกันเลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินหลี่ยิ้มแล้วเอ่ย “จริงด้วย พี่สะใภ้ของเ้าถือว่าเห็นน้องเขยตัวน้อยคลอดออกมา ต่อไปจะต้องดูแลเขาจนโตกับพวกเ้า เ้าเด็กอ้วนช่างเป็เด็กที่มีความสุขจริงๆ”
สวี่ไป่เดิมทีรู้สึกอายอยู่นิดหน่อย แต่ได้ยินฮูหยินหลี่พูดกับตนเองเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจ เขาใช้ชีวิตเป็เด็กกำพร้ามานาน ก็อยากจะมีครอบครัวที่รักกันกลมเกลียวสามารถใช้ชีวิตที่อบอุ่นกับตนเอง ตอนนี้ความฝันของเขาเป็จริงแล้ว เป็เื่ที่ทำให้ดีใจมากจริงๆ
สวี่ไป่ได้ยินพี่สาวพูดอย่างกังวล “ไม่รู้ว่าท่านแม่เป็อย่างไรบ้าง พี่สาวสกุลหลี่บอกว่าท่านแม่จะตามมาทีหลัง แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่มาเลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินหลี่พูดปลอบใจ “มีแม่นมลู่ดูแลอยู่ มิเป็อันใดหรอก เ้ารออย่างวางใจเถิด ท่านแม่ของเ้าคงใกล้จะมาถึงแล้ว”
สวี่ไป่รู้สึกว่าตนเองหิวแล้ว จึงอ้าปากร้องออกมาหนึ่งที ฮูหยินหลี่เห็นแล้วก็ถอนหายใจ “คิดว่าคงจะหิวแล้ว พวกเราป้อนน้ำเขาก่อน รอแม่เ้ามาถึงค่อยป้อนนม”
น้ำอุ่นๆ สวี่ไป่ดื่มมันราวกับเป็น้ำอัมฤทธิ์ หลังจากดื่มเข้าไปหลายคำก็รู้สึกสบาย ก่อนจะค่อยๆ นอนหลับไป
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงดังจนตื่น ท่านแม่ถูกส่งกลับมาแล้ว ท่านพ่อแล้วก็พี่ชายเองก็ถูกส่งกลับมาแล้วเช่นกัน ทั้งสามคนนอนสลบอยู่ ทั้งยังได้รับาเ็ องครักษ์ที่ส่งท่านแม่กลับมาบอกว่าแม่นมล่อทหารที่ตามมาเข้าไปในูเา ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็อย่างไร พี่สาวนั่งน้ำตาไหลตรงหน้าเตียงท่านแม่ด้วยความกังวล
สวี่ไป่เองก็ร้อนใจ แต่ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย จึงทำได้แค่อยู่เงียบๆ ไม่โยเย ไม่เพิ่มความวุ่นวายให้คนอื่น
จนกระทั่งกลางวันของวันต่อมา แม่นมลู่ถึงได้กลับมา สวี่ไป่รู้สึกว่าหลังจากแม่นมกลับมา คนในกระโจมเหมือนจะมีชีวิตชีวามากขึ้น บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้น แม้แต่พี่ชายที่ได้รับาเ็นอนขยับตัวไม่ได้ก็เริ่มที่จะพูดซนขึ้นมาแล้ว
สวี่ไป่รู้สึกว่าตนเองเป็ิญญาของคนโตเต็มวัยแล้ว รู้สึกรับไม่ได้ที่จะกินนมแม่ จะเป็จะตายอย่างไรก็ไม่กิน พอได้ยินคำพูดของแม่ สวี่ไป่ก็คิดว่าใช่สิ ตอนนี้จนเองเป็เด็กที่เพิ่งจะคลอดได้ไม่กี่วัน ไม่กินนมแม่แล้วจะกินอะไร? กินนมแม่แล้วยังสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ตนเองโตไวขึ้น จึงค่อยๆ ยอมรับเื่การกินนมแม่ได้
สายตาของสวี่ไป่พัฒนาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมองเห็นของชัดขึ้น มองเห็นระยะไกลออกไป ฟังจากเสียงก็รู้ว่าพ่อแม่พี่ชายแล้วก็พี่สาวตนเองหน้าตาเป็อย่างไร รู้จักแม่นมลู่ที่ใจดี แล้วก็รู้จักคนในบ้านมากมาย
อากาศยิ่งอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เมืองเหอซีก็ยิ่งเป็รูปเป็ร่างมากขึ้น เสื้อผ้าบนตัวของสวี่ไป่ก็สวมน้อยลง ในที่สุดมีวันหนึ่งที่ใส่ชุดตู้โต่วสีแดง ไม่ใช่แค่ขาทั้งสองข้างจะเปลือยเปล่า แม้แต่ส่วนลับที่สุดของตนเองก็เปลือย สวี่ไป่รู้สึกเขินอยู่นิดหน่อย ไม่อยากจะให้คนด้านนอกเห็นตนเองในสภาพนี้ จึงพยายามพลิกตัวแล้วนอนคว่ำหน้าอยู่บนผ้า
ท่านแม่ดีใจมาก ที่ตนเองมีความสามารถอย่างหนึ่งเพิ่ม กลับเป็พี่ชายที่บีบจมูกมองอยู่นาน ก่อนจะใช้นิ้วมาหนีบก้นนุ่มลื่นของตนพลางร้องเหอะออกมาเบาๆ เสียงร้องเหอะนั้นทำให้สวี่ไป่ขนลุกไปทั้งตัว
คนอื่นต่างให้ความรักสวี่ไป่ ก็มีแต่พี่ชายสวี่ตี้ที่ไม่เคยโอ๋ พอท่านแม่ให้อุ้มเขา พี่สวี่ตี้ก็ไม่ยอม บอกว่าลูกสาวเอาไว้โอ๋ ลูกชายเอามาต่อย
สวี่ไป่ฟังแล้วในใจก็ไม่พอใจมาก กลับเป็ท่านแม่ที่ถามกลับไป ั้แ่เขายังเด็กก็ไม่เคยถูกพ่อแม่ด่า ลูกในบ้านไม่ได้เอามาต่อย ใครจะรู้ว่าพี่ชายจะพูดว่า นั่นก็เพราะว่าเขาเป็ลูกที่ดีและเชื่อฟัง ั้แ่เด็กก็เป็ตัวอย่างของลูกของบ้านอื่น พ่อแม่ไม่เคยกังวลเื่ของเขา ยังจะต้องต่อยด้วยหรือ? กลับเป็น้องชายคนนี้ ไม้เล็กจะต้องดัด เด็กเล็กจะต้องดูแล ไม่ต่อยั้แ่เด็ก โตมาจะได้ไม่คิดทำเช่นนี้มันสายไปแล้ว
สวี่ไป่ได้ยินคำพูดนี้ก็เริ่มคิดมาก ตนเองจะต้องเรียนรู้ที่จะพูดให้รู้เื่มากกว่านี้หน่อย พอรู้เื่แล้วก็หาคนมาโอ๋ ไม่ต้องถูกรังแกแล้วใช่หรือไม่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้