หวังมู่ยืนอยู่หน้าประตูเป็เวลานานโดยไม่มีสติรู้ตัว หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ใบหน้าของเขาก็ดูไม่ได้เป็อย่างมาก และไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร
“ข้าบอกเ้าว่าอย่าผลักออก เป็ไปไม่ได้ที่เ้าจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดของการฝึกฝนคือการถูกรบกวน?” ไป๋ฉีพูดอย่างเ็า และรู้สึกหงุดหงิดมากกับการกระทำของหวังมู่ ไม่เพียงแต่ฉินอวี่ แต่เขาเองก็มักถูกหวังมู่รบกวนในเวลาฝึกเช่นกัน และเขาก็มักจะรำคาญและรังเกียจการกระทำของหวังมู่เป็อย่างยิ่ง
สีหน้าของหวังมู่เริ่มดูมืดมนไม่แน่นอน เมื่อถูกฉินอวี่โกรธใส่ ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็อย่างมาก เขาจ้องมองไป๋ฉีอย่างเ็า จากนั้นจึงหันไปมองทางชายหนุ่มชุดเทา และพูดว่า “เหล่าต้า บอกแล้วว่าไม่ต้องรอเขา ข้าก็หวังดีไปเรียกเขา กลับถูกเขาไล่ออกมาเช่นนี้”
ชายหนุ่มชุดเทาไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเขามองไปทางประตูด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้ที่เขาััได้ถึงพลังแข็งแกร่งที่เหมือนพลังจาก์แล้ว พลังนั้นทำให้เขารู้สึกขนลุก และพูดด้วยความแปลกใจ “พวกเ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเขาไม่ใช่คนของตระกูลเหลยของตี้หวัง?”
“ไม่ใช่หรอก เขาเคยบอกว่าเขาแค่เคยมีเื่บาดหมางกันกับตระกูลเหลย” เหล่าเอ้อหยางซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ
แสงส่องประกายออกมาจากส่วนลึกของสายตาหวังมู่ และพูดอย่างแปลกๆ “อาจจะเป็บุตรนอกสมรสของลูกหลานคนใดคนหนึ่งในตระกูลเหลยของตี้หวัง? ไม่เช่นนั้น เขาจะมีสายเือสุนีได้อย่างไรกัน?”
ทั้งสามคนนิ่งเงียบไปทันที คำพูดของหวังมู่ดูมีเหตุผล
เมื่อหวังมู่เห็นทั้งสามคนเงียบไป ก็รู้สึกเหมือนทั้งสามคนได้ยอมรับไปโดยปริยาย จากนั้นเขาจึงพูดอย่างเ็า “แค่ลูกนอกสมรสกล้าจะหยิ่งผยองเช่นนี้ กล้าไล่ข้าเชียวหรือ?” พูดจบ หวังมู่ก็ขมวดคิ้วอย่างเหี้ยมโหด เขากล้าเรียกชิงเยว่หวังว่าแม่สาวน้อย นั่นแสดงว่าสถานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดา
“เอาล่ะ เหล่าซื่อ ไม่แน่ว่าเหลาอู่อาจจะอยู่ใน่สำคัญของการฝึกฝน หากเ้าผลีผลามเปิดประตูเข้าไปละก็ เกรงว่าจะเป็การรบกวนเขาเสียเปล่า” ชายหนุ่มชุดเทาเอ่ยขึ้น
ดวงตาของหวังมู่เริ่มฉายแววบึ้งตึง และไม่ตอบอะไร
“เอาล่ะ พวกเราไปกันก่อนเถอะ” ชายหนุ่มชุดเทาพูดขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียง “กลึก กลึก” ดังขึ้น ประตูก็เปิดออก ร่างของฉินอวี่ก็ค่อยๆ เดินออกมา
ร่างที่เต็มไปด้วยเืก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดสิ้น แต่าแยังคงเต็มอยู่บนใบหน้า รอยแผลเป็ทั่วร่างยังปรากฏให้เห็นอยู่ใต้เสื้อผ้า ในครั้งนี้ใช้พลังทั้งหมดในการหลอมรวมอสุนี์ประจำกาย และใช้เวลาครึ่งปีเต็ม ในครึ่งปีนี้เขาต้องอดทนรับความเ็ปที่คนทั่วไปไม่สามารถแบกรับได้ และขณะที่สกัดพลังอย่างยากลำบากมาถึงสองสามครั้งสุดท้าย หวังมู่ก็ผลักประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน จนเกือบทำให้เขาต้องล้มเหลว
การหลอมอสุนี์ประจำกายในครั้งนี้เขาได้ใช้หินิญญาอสุนีที่พ่อของเขาให้ไว้ไปจนหมด หากครั้งนี้ต้องล้มเหลว เขาจะไปเอาหินิญญาอสุนีจำนวนมากขนาดนี้มาได้จากที่ไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ หากต้องล้มเหลว ก็อาจต้องรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือ หากต้องล้มเหลว แผนการทั้งหมดของเขาทั้งหมดก็จะต้องจบสิ้น และความมั่นใจในการเข้าร่วมการประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีของเขาก็จะลดลงอย่างมาก และเมื่อไม่ได้เป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี เขาก็จะหมดสิทธิ์ในการทดสอบสามสิบหกขุนพล์...
หากเกิดเื่เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ฉินอวี่จะไม่ได้วิชาลับทั้งเก้าแห่งจูเทียน แต่อาจต้องตายอย่างอนาถ และสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการผลักประตูเข้ามาของหวังมู่ เช่นนั้นแล้วต่อให้ฉินอวี่ต้องตายเขาก็จะลากตัวหวังมู่ไปอยู่ในหลุมฝังพร้อมกับเขา!
ในครั้งก่อนที่หวังมู่ผลักประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ในตอนนั้น ฉินอวี่ก็ไม่ได้โกรธอะไร แต่กลับนึกไม่ถึงว่า หวังมู่คนนี้จะกล้าผลักประตูเข้ามาใน่เวลาที่สำคัญ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่โกรธมาก!
ฉินอวี่เดินออกมาอย่างช้าๆ และกวาดสายตามองพวกหวังมู่ทั้งสี่คน สุดท้ายก็จ้องไปยังหวังมู่ และพูดอย่างเ็า “หากมีครั้งหน้าอีก ข้าฆ่าเ้าแน่นอน!”
หวังมู่ยิ้ม ก่อนหน้านี้เขารู้สึกโกรธแทบแย่กับคำว่า “ไสหัวไป” ของฉินอวี่ และไม่ได้ระบายออกไปไหน แต่ในตอนนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี่ หวังมู่จึงะเิขึ้นทันที จ้องมองฉินอวี่ด้วยสายตาที่ดุดันและพูดออกไป “เช่นนั้นข้าจะรอดูว่าเ้าจะฆ่าข้าได้อย่างไร! ก็แค่ลูกนอกสมรสคนหนึ่งยังจะกล้าโอหัง ต่อให้ข้าฆ่าเ้า ก็ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวายกับข้า รวมถึงเ้าเด็กน้อยของเ้า! ตระกูลเหลยของตี้หวัง!”
“พอเถอะ เหล่าซื่อเ้าก็พูดให้มันน้อยหน่อยเถอะ เหลาอู่ เหล่าซื่อไม่มีเจตนาอะไรหรอก เื่นี้ให้มันแล้วกันไปเถอะนะ” ชายหนุ่มชุดเทาเอ่ยปาก เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของฉินอวี่ ชายหนุ่มชุดเทาก็ก้าวออกมาข้างหน้า และพูดอย่างเฉยเมย “ข้าขอแนะนำตัว ข้าชื่อฉวีหย่งเซิง และเป็คนที่พวกเขาเรียกว่าเหล่าต้า”
ฉินอวี่เหลือบมองชายหนุ่มชุดเทาที่ชื่อฉวีหย่งเซิง ดวงตาของเขาดูมีประกายที่แปลกไปเล็กน้อย รูปลักษณ์ของฉวีหย่งเซิงผู้นี้มีความคล้ายกันกับเหล่าเอ้อหยางซานอย่างยิ่ง ต่างมีดวงตาที่เว้าลึก แต่สิ่งที่ต่างไปจากหยางซานคือ ฉวีหย่งเซิงผู้นี้มีสีหน้าที่มืดมนกว่ามาก ราวกับว่าเท้าข้างหนึ่งของเขาได้ก้าวย่างลงไปในโลงศพแล้ว
อีกทั้งระดับการฝึกฝนของเขาก็ยังเป็ระดับสูงสุดของขั้นกุมารทิพย์ การเก็บตัวฝึกตนครั้งนี้ยังไม่ทำให้เข้าถึงขั้นเทพ์ แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องแปลกใจคือ มโนจิตของตนเองไม่สามารถส่องดูฉวีหย่งเซิงได้เลย ราวกับว่าเขาได้รวมเป็หนึ่งกับฟ้าดิน สามารถทำเช่นนี้ได้แม้จะยังอยู่ขั้นกุมารทิพย์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าฉวีหย่งเซิงผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย
“หลี่โหย่วฉาย!” ฉินอวี่ประสานมือแสดงความเคารพ และพูดอย่างเฉยเมย
“อีกไม่ถึงสิบวันจะเป็การประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณี ใน่เวลาเท่านี้เหล่าอัจฉริยะทั้งหมดในแดนต้าโหมวเทียน จะมารวมตัวกันที่เมืองเทียนโหมวชั้นนอก พวกเราลองไปดูพร้อมกันเถอะ” แม้ว่าใบหน้าของฉวีหย่งเซิงจะซีดเซียว และมักทำให้ผู้คนเศร้าหมอง แต่คำพูดและรอยยิ้มในตอนนี้เป็ดังสายลมใบไม้ผลิที่สุขสบายเป็พิเศษ
“เหล่าต้า จะพาเขาไปด้วยทำไม? ตอนนี้ข้ากำลังสั่งสอนเขา เขาเป็คนไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำคิดจะเข้าร่วมการประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณี ตายในมือคนอื่น ก็ไม่เท่ากับตายในมือข้า” หวังมู่จ้องฉินอวี่อย่างดุร้าย และพูดอย่างเ็า เขาเป็คนตรงไปตรงมาแต่ชอบอาฆาตแค้น หลายปีมานี้ ยังไม่มีใครกล้าทำกับเขาเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินอวี่ที่เป็แค่ลูกนอกสมรส หากไม่ใช่เพราะมีฉวีหย่งเซิงอยู่ที่นี่ หวังมู่คงฆ่าฉินอวี่ไปแล้ว
ฉินอวี่ขยับตัวของเขา จากนั้นก็ปรากฏตัวตรงหน้าหวังมู่ทันที มือขวาของเขาเต็มไปด้วยสายฟ้าตรงเข้าบีบคอหวังมู่ จากนั้นจึงยกลอยขึ้น ในขณะที่หวังมู่พยายามดิ้นรนอย่างโกรธเคือง สายฟ้าสีขาวม่วงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงมือซ้ายของฉินอวี่ ก่อนจะบีบบังคับเข้ามาปกคลุมหวังมู่
หวังมู่ใกลัวอย่างสุดขีด เมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี่ เผชิญหน้ากับสายฟ้าสีขาวม่วงสายนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็เพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร ราวกับว่า พบกับพายุเพียงลูกเดียวที่ทำเขาต้องถูกสาปไปชั่วนิรันดร์ ด้วยสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้หวังมู่จึงไม่กล้าเคลื่อนไหว จ้องตรงไปที่ฉินอวี่ และใกลัวจนพูดไม่ออก
เมื่อมองไปยังหวังมู่ด้วยสายตาเ็า ฉินอวี่ก็พูดอย่างเยือกเย็น “ยังไม่ต้องพูดว่าเ้าจะฆ่าข้าได้หรือไม่ แม้เ้าจะมีกำลังเช่นนั้น แม้ว่าเ้าจะฆ่าข้า กองกำลังที่อยู่เื้ัเ้าก็จะถูกลบหายจากแดนต้าเทียนโหมวภายในคืนเดียว และถ้าข้าฆ่าเ้า ก็จะทำให้กองกำลังที่เ้าภูมิใจนักหนาไม่กล้าแตะต้องตัวข้าแม้แต่น้อย”
สิ่งนี้ทำให้หวังมู่แทบทำให้ตนเองต้องล้มเหลว ตนเองฆ่าเขาไม่ได้ยังไม่เท่าไร แต่เขากลับคิดจะฆ่าตนเองด้วย สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่เผยความอำมหิตออกมา หากไม่ใช่เพราะไม่้าล่วงเกินผู้มีอำนาจจำนวนมาก ฉินอวี่ก็คงจะฆ่าหวังมู่ไปแล้ว
ในขณะที่ฉินอวี่เรียกอสุนี์ หยางซาน ไป๋ฉี แม้แต่ฉวีหย่งเซิง ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่คำพูดของฉินอวี่ทำให้เกิดคลื่นพายุปั่นป่วนจิตใจของพวกเขา คำพูดเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดในแดนต้าโหมวเทียนที่กล้าพูดจาโอหังเช่นนี้เลย แต่ท่าทางที่จริงจังของฉินอวี่ ดูเหมือนจะไม่ได้เกินความจริงเลย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ทั้งสามคนต่างตกอยู่ในความเงียบสนิท
ฉวีหย่งเซิงมีสติกลับมาเป็คนแรก เขาก้าวออกไปข้างหน้า มือข้างหนึ่งวางลงบนแขนข้างขวาของฉินอวี่ และพูดว่า “เหลาอู่ จะทะเลาะก็ทะเลาะ อย่าลงไม้ลงมือเลย” พูดจบ เขาก็มองไปทางสายฟ้าในมือข้างซ้ายของฉินอวี่ และรู้สึกสั่นสะท้านในใจ ทำให้หัวใจของเขาหวาดกลัวเป็อย่างมาก
อสุนี์!
อสุนี์จริงๆ!
