“ทานแล้ว! ทานแล้ว! ยังต้องขอบใจไก่สองตัวที่แม่นางหูมอบให้อย่างมาก เอาเห็ดตุ๋นเข้ากับไก่หนึ่งหม้อ คุณชายเจริญอาหารไม่เลวเลย ทานไปไม่น้อย” กล่าวขึ้นเช่นนี้ หลิวผิงดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที และกล่าวถามติดต่อกันหลายครั้งว่า “บ้านเ้ายังมีไก่อีกเท่าไร? อย่าลืมเก็บไว้ทั้งหมดนะ เช่นเดียวกันกับกระต่าย พวกเราล้วนซื้อและให้ราคาเป็สองเท่า”
“อืม เหลือไก่อยู่สิบเอ็ดตัว มิใช่ว่าเป็เช่นนี้หรือ ครั้งนี้จึงเอามาให้พวกท่านสองตัว ที่บ้านเลยเหลือไก่อยู่เพียงเก้าตัว แต่ว่าไม่กี่วันก่อน บ้านข้าจับลูกไก่มาเลี้ยงยี่สิบตัว ผ่านไประยะหนึ่งก็จะโตขึ้นเ้าค่ะ” เจินจูกล่าวแล้วหัวเราะ
“อ๋า มีไก่เพียงไม่กี่ตัวเช่นนี้ ลูกไก่นั่นต้องกี่เดือนถึงจะโตได้หรือ?” หลิวผิงกล่าวถามอย่างกระตือรือร้น
“เอ่อ…” คำถามนี้ลำบากเจินจูแล้ว นางไม่เคยรู้เลยจริงๆ จึงหันไปมองหูฉางหลินอย่างอดไม่ได้
“ประมาณห้าหกเดือนกระมัง” หูฉางหลินตอบตรงไปตรงมา
“นานเช่นนี้เชียวหรือ?” หลิวผิงร้องใเสียงหลง
ห้าถึงหกเดือน? นานไปหน่อยจริงๆ เจินจูก็คิดไม่ถึง ไก่ต้องใช้เวลานานเช่นนี้ถึงจะโตเต็มที่
“ต้องดูด้วยว่าเลี้ยงอย่างไรเป็หลัก หากว่าให้อาหารมันบ่อยๆ เป็ประจำ สี่หรือห้าเดือนก็โตพอได้ หากตามระยะเวลาทั่วไปก็ต้องห้าหรือหกเดือน” หูฉางหลินเกาศีรษะ ตอบตามความเป็จริง
“นั่นก็นานเกินไปแล้ว ไอ๊หยา แม่นางหู ไก่บ้านเ้ายังต้องเลี้ยงมากขึ้นอีกกี่ตัวจึงจะพอ ครึ่งปีเลี้ยงไก่ที่โตแล้วได้ยี่สิบตัวเช่นนี้ น่าจะไม่พอกระมัง เอาอย่างนี้ พวกเ้าเลี้ยงไว้ก่อนหนึ่งร้อยตัว เมื่อผ่านไปห้าหรือหกเดือนจะได้มีไก่ที่โตแล้วมากขึ้น จึงจะไม่เสียเวลา” หลิวผิงตบโต๊ะหนึ่งที แล้วกำหนดจำนวนแน่นอน
“หนึ่ง... หนึ่งร้อยตัว?” หูฉางหลินถูกเสียงตบโต๊ะของหลิวผิงทำให้ตื่นใ แล้วพูดจาตะกุกตะกักขึ้นมา
“ไม่ได้เ้าค่ะ ไก่เลี้ยงมากเกินไปง่ายต่อการเกิดโรคระบาด และบ้านข้าก็ไม่ได้มีที่เลี้ยงกว้างใหญ่ขนาดนั้น เลี้ยงยี่สิบตัวนี้ก่อนแล้วรอให้ข้ามปีไป เมื่ออากาศเปลี่ยนมาดีขึ้นแล้ว หลังลานบ้านของข้าจะเริ่มมีพื้นที่ว่างหนึ่งส่วน ถึงเวลานั้นค่อยเลี้ยงเพิ่มจำนวนหนึ่ง” เจินจูส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ขณะนี้ที่บ้านมีงานมากมาย ใบสั่งสินค้าของสือหลี่เซียงไม่ถึงครึ่งเดือนล้วนต้องเร่งผลิตออกมาทั้งหมด รวมกับต้องเตรียมฉลองปีใหม่อีก ไม่ควรหาเื่ให้ตนเองเหนื่อยเพิ่ม
“นั่นไม่ได้ เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาอาหารที่ต้องรับประทานทุกวันของคุณชายพวกข้าก็มิต้องหยุดชะงักอีกหรือ” หลิวผิงขมวดคิ้ว กล่าวโน้มน้าวทันทีทันใด “เอาเช่นนี้ ตอนนี้พวกเ้าเลี้ยงมากหน่อยเถิด พวกเราสามารถจ่ายเงินมัดจำให้พวกเ้าก่อนได้ หรือว่าพวกข้าให้ราคาไก่บ้านเ้าสามเท่าเลยก็ย่อมได้ ขอเพียงให้พวกเ้าเลี้ยงอย่างดี ทั้งหมดล้วนคุยกันได้”
“ฮ่าๆ” เจินจูมองหลิวผิงที่ท่าทางร้อนรนแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “เ้าของร้านหลิวเ้าคะ ข้าไม่้าเช่นนี้หรอก ถึงตอนนี้ไก่ของบ้านข้าไม่พอก็ยังมีของบ้านท่านย่าของข้าอีก อีกอย่างบ้านข้ายังเลี้ยงหมูอ้วนตุ๊ต๊ะน้ำหนักประมาณสองถึงสามร้อยชั่งอยู่หนึ่งตัว พวกท่าน้าซื้อไปเลยหรือไม่เ้าคะ เชือดแล้วก็นำไปแช่แข็งไว้ได้ เช่นนี้ก็สามารถเก็บไว้ทานได้นานระยะหนึ่งแล้ว”
“หนักสองสามร้อยชั่ง?” หลิวผิงดวงตาเป็ประกาย ลูบคางพิจารณาอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “เอาสิ! จะไม่เอาได้อย่างไร บ้านเ้าเป็คนเลี้ยง ต้องเอาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังมีกระต่ายสองตัวกับไก่สองตัวอยู่ รอหลังสิบวันไปแล้วพวกข้าค่อยไปเอาหมูมาเชือดและแช่แข็งไว้ เช่นนี้ก็สามารถเก็บอาหารไว้ฉลองปีใหม่ได้พอดีเลย... ตอนนี้ให้พวกเ้าดูแลไว้ดีๆ ก่อน เมื่อถึงเวลาข้าจะไปบ้านเ้าแล้วจูงกลับมา”
“ได้เลยเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มแล้วตกปากรับคำสบายๆ ขอเพียงหลิวผิงไม่ยืนกรานให้พวกนางเลี้ยงไก่หนึ่งร้อยตัวก็พอ
เอากระต่ายกับไก่ชั่งด้วยเครื่องชั่งแล้ว หลิวผิงก็จ่ายเงินสองเท่าของราคาตลาด ในใจเจินจูกับหูฉางหลินนึกถึงใบรายการสั่งสินค้าของสือหลี่เซียง จึงไม่ได้หยุดอยู่นาน อำลาหลิวผิงแล้วรีบไปทำการคัดเลือกซื้อวัตถุดิบต่างๆ
เจินจูให้หูฉางหลินฝากเกวียนวัวไว้หน้าประตูเมือง แล้วจึงไปตลาดประตูตะวันออกเพื่อจัดซื้อส่วนประกอบที่จำเป็จำนวนหนึ่ง อย่างเกลือ น้ำตาล ไส้เล็กในปริมาณที่เพียงพอ
ตัวนางเองยังคงไปร้านสมุนไพรเฉินจี้ เพื่อซื้อเครื่องเทศแต่ละชนิดและซื้อมาเต็มๆ สองสามห่อใหญ่
เจินจูไม่ได้ซื้อเครื่องเทศที่ร้านฝูอันถัง เนื่องจากท่าทางของหลิวผิงที่มีน้ำใจไมตรีจนน่ากังวล คาดว่าจะไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากพวกนาง เจินจูไม่อยากพัวพันกับพวกเขาเกินไปกว่านี้จึงเลือกซื้อที่อื่น
ออกจากร้านสมุนไพรเฉินจี้ เจินจูลูบหนังท้องที่แห้งแบนแม้เมื่อครู่ตอนอยู่ฝูอันถังจะทานของว่างไปแล้วสองชิ้น แต่วิ่งเต้นไปทั่วั้แ่เช้าจะเติมท้องให้เต็มได้ที่ไหนกัน เมื่อผ่านมายังร้านซาลาเปาตรงหัวมุม จึงซื้อซาลาเปาเนื้อร้อนกรุ่นมาสี่ลูก รวดเดียวก็กินไปแล้วสองลูก ตอนนี้ในกระเพาะรู้สึกเต็มอิ่มจึงทำให้นางสงบจิตใจลงได้
นางแบกเครื่องเทศหนึ่งตะกร้าไผ่สานเดินมาหาหูฉางหลินจนพบที่ตลาด หลังยื่นซาลาเปาเนื้อให้เขาแล้ว ทั้งสองคนจึงเริ่มจัดการซื้อของอย่างไม่ลังเล
สุดท้าย หลังจากรวบรวมไส้เล็กจากร้านขายเนื้อเสร็จแล้ว สองคนจึงรีบเร่งเกวียนกลับหมู่บ้านวั้งหลินด้วยความรวดเร็ว
ทางเข้าหมู่บ้านวั้งหลิน ชาวไร่ชาวนาไม่น้อยที่เห็นหูฉางหลินลำเลียงของเต็มเกวียนกลับมา ต่างทยอยกันชำเลืองตามอง ระยะนี้ครอบครัวสกุลหูกำลังเป็ที่สนใจอย่างมาก ตลอดเวลาล้วนเป็ศูนย์กลางในการวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าชาวไร่ชาวนา ซื้อวัวซื้อที่และคบค้าสมาคมกับเ้าของร้านใหญ่ในเมือง แต่ละเื่ล้วนถกเถียงกันจนเพลิดเพลินเป็พิเศษ กลุ่มคนหลากหลายที่อิจฉาบ้าง ริษยาบ้าง ประสมโรงบ้างล้วนเริ่มมองครอบครัวสกุลหูในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป
หูฉางหลินทักทายกับชาวไร่ชาวนาที่สนิทกันไม่กี่คนเล็กน้อย ไม่ได้หยุดอยู่นาน แล้วเร่งเกวียนวัวกลับบ้านไป
“เฮยโต้ว มิใช่ว่าเ้าสนิทกับหูฉางหลินมากหรือ ครั้งก่อนที่บ้านเขาซื้อที่ เ้ายังไปร่ำสุราอยู่เลย เ้าบอกเล่ากับพวกเราหน่อยสิว่าตะกร้าแต่ละใบที่ลากเข้าลากออกของบ้านเขาล้วนเป็อันใดกัน?” ชาวไร่ชาวนาพากันรุมล้อมจ้าวเฮยโต้วที่สนิทกับหูฉางหลิน เต็มไปด้วยคำถามที่อยากรู้อยากเห็น
“ข้าก็ไม่เคยเห็น รู้เพียงว่าบ้านเขาเลี้ยงกระต่ายไม่น้อย เว้นไม่กี่วันก็นำไปส่งให้เ้าของร้านหลิวของฝูอันถังสองสามตัว ได้ยินว่าคุณชายของร้านนั้นชอบทานกระต่ายของสกุลหูเป็พิเศษ เรียกร้องให้เก็บกระต่ายของสกุลหูไว้ให้ฝูอันถังทั้งหมด” สองวันก่อน หูฉางหลินมาร่ำสุราที่บ้านของเขาแล้วคุยเรื่อยเปื่อย ได้เอ่ยเื่นี้ออกมานิดหน่อย และไม่ได้หลบเลี่ยงต่อชาวไร่ชาวนาคนอื่นที่ไปร่ำสุราด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ทุกคนล้วนรู้เมื่อเร็วๆ นี้
“เช่นนี้อย่างเดียวหรือ? ตอนเช้าข้าเห็นเกวียนวัวของพวกเขาลากสินค้าหลายตะกร้า ทั้งหมดนั่นล้วนดูหนักมากเลย” ชาวไร่ชาวนาอีกหนึ่งคนถามต่ออย่างไม่ลดละ
“เอ่อ นั่นข้าก็ไม่รู้แน่ชัดได้ แต่เคยได้ยินฉางหลินกล่าวว่า ่นี้บ้านเขาช่วยโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงที่อยู่ในเมืองทำการหมักอะไรสักอย่างหรืออาหารหมักนี่แหละ อาจจะเป็สิ่งเ่าั้กระมัง” หูฉางหลินเพียงกล่าวออกมาเล็กน้อยอย่างไม่ชัดเจนนัก ที่จริงแล้วเฮยโต้วก็ไม่แน่ใจว่าเป็อาหารหมักอะไร
“โรงเตี๊ยมสือหลี่เซียง? นั่นเป็โรงเตี๊ยมที่ใหญ่เป็อันดับหนึ่งในเมืองเลยนะ! สกุลหูเดินบนโชคใหญ่อันใดกันเนี่ย เหตุใดคบค้าสมาคมกับโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงได้?”
“เป็อาหารหมักอันใดกัน?”
“นี่ข้าจะรู้ได้อย่างไร ฉางหลินยุ่งมากนัก ่นี้ก็ไม่มีเวลาว่างออกมาร่ำสุรา”
“ไอ๊หยา คนเขาปีนขึ้นกิ่งก้านที่สูงหันไปคบค้าสมาคมกับคนชั้นสูงและร่ำรวยมากแล้ว จะยังร่ำสุรายาจกกับเ้าเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า”
“ฉางหลินมิใช่คนเช่นนั้น ่นี้เขาค่อนข้างยุ่งมากจริงๆ พอเถิด พวกเ้าอย่าเอาแต่สนทนากันแต่เื่ของผู้อื่น ต่อไปครอบครัวของเขาไม่แน่ว่าจะร่ำรวยขึ้นมาได้ ครั้งก่อนหัวหน้าหมู่บ้านไปศาลาว่าการในเมืองช่วยจัดการโฉนดที่ดิน เ้าของร้านหลิวยังเชิญพวกเขาเข้าไปดื่มชาที่ฝูอันถังเลย เ้าของร้านหลิวยังกล่าวอีกว่า... ศาลาว่าการเขาคุ้นเคย ครั้งหน้ามีธุระอันใดที่ต้องจัดการอีก ให้สกุลหูแจ้งเขาหนึ่งเสียงก็พอแล้ว ดูสิคำพูดล้วนมาถึงเช่นนี้แล้ว ดังนั้นหากไม่มีธุระก็อย่ากล่าวสุ่มสี่สุ่มห้าให้คนเขาขุ่นเคืองใจเอาได้ เอาล่ะ…ที่บ้านข้ายังมีงานที่ต้องทำ ข้าไปก่อน” พอจ้าวเฮยโต้วทิ้งคำพูดไว้แล้วก็แหวกฝูงชนเดินออกไป
เมื่อจ้าวเฮยโต้วกล่าวออกมาเช่นนี้ ชาวไร่ชาวนาหนึ่งกลุ่มก็เสียงดังเกรียวกราว ยิ่งแย่งกันกล่าวแสดงความคิดเห็นจนฟังไม่ได้ศัพท์ ถกเถียงกันไม่หยุดขึ้นไปอีก คาดคะเนไปต่างๆ วิเคราะห์สืบเสาะกันไปนานา แน่นอนว่ากล้าเพียงพูดคุยลับหลังเท่านั้น ครอบครัวสกุลหูในตอนนี้เทียบกับปีนั้นไม่ได้แล้ว ผู้ไปมาหาสู่ล้วนเป็ครอบครัวร่ำรวยที่มีชื่อเสียงในเมือง ผู้ใดจะทานอิ่มเกินไป [1] แล้วไปหาเื่ครอบครัวสกุลหูกันเล่า
ผลที่ได้เช่นนี้เป็สิ่งที่เจินจู้า...
เพื่อระงับความอิจฉาริษยาของชาวไร่ชาวนาบางคนที่มีต่อครอบครัวสกุลหู ลับหลังได้ทำการวางแผนเล็กน้อยอย่างลับๆ เจินจูเคยปรึกษาหารือกับหวังซื่อแล้ว จึงให้หูฉางหลินตอนออกไปร่ำสุราพูดคุยเรื่อยเปื่อย ใช้น้ำเสียงสบายๆ เปิดเผยความลับออกมา ทำให้เห็นว่าสกุลหูมีท่าทีที่คบค้าสมาคมอย่างใกล้ชิดกับครอบครัวร่ำรวยในเมือง... เพราะดูเหมือนว่าพวกแิระดับชนชั้นระบบศักดินาจะหยั่งรากลึกในจิตใจของผู้คน คนสมัยโบราณเชื่อว่าประชาชนไม่ต่อสู้กับขุนนาง คนจนไม่แข่งขันกับคนร่ำรวย ประชาชนทั่วไปมักเกรงกลัวครอบครัวร่ำรวยและคนที่มีอำนาจ ยิ่งตำแหน่งมากมักมีจิตใจที่เคารพยำเกรงอยู่หลายส่วน... เช่นนั้น เจินจูจึงใช้วิธีประกาศความใกล้ชิดในการไปมาหาสู่กันระหว่างครอบครัวใหญ่โตกับครอบครัวสกุลหูให้กระจายออกไป เช่นนี้ก็สามารถลดความยุ่งยากลงไปได้ไม่น้อย
กลับมาถึงบ้านเก่า หวังซื่อรออยู่นานแล้ว พอเจินจูบอกเื่ที่รับใบสั่งสินค้ามา หวังซื่อก็จ้องมองตาโตตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ทันทีหลังจากนั้นก็มีสีหน้าดีอกดีใจ เนื้อตากแห้งแล้วหนึ่งพันแปดร้อยชั่งเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าสามารถหาเงินได้เป็จำนวนก้อนโตหรือ
“ท่านย่า พวกเราควรซื้อหมูทั้งตัวมาเชือดเพื่อทำเนื้อตากแห้ง หรือแค่ซื้อเนื้อเป็ชิ้นๆ มาทำเนื้อตากแห้งดีเ้าคะ?” เจินจูโยนคำถามออกมา
หวังซื่อฟังคำที่นางกล่าวแล้วตะลึงไปครู่หนึ่ง ในใจคำนวณหนึ่งรอบแล้วจึงเปิดปากกล่าวออกมา “ซื้อหมูมาเชือดเองแน่นอนว่าประหยัดเงินลงไปได้ไม่น้อย แค่เสียงจะดังมากหน่อย”
ตอนเชือดหมู เสียงะโร้องสุดเสียงของหมูคาดว่าจะดึงดูดความสนใจคนไม่น้อย
“นั่นไม่ต้องกลัวเ้าค่ะ ต่อไปใบรายการสั่งสินค้าของสือหลี่เซียงจะต้องมากขึ้นแน่ๆ เื่นี้ในหมู่บ้านไม่ช้าก็เร็วคงต้องรู้กันหมด” ในฤดูหนาวที่ยาวนานนี้ ในการทำอาหารหมักแต่ละครั้งอาจใช้เวลานานขึ้นก็เป็ได้ เอาแต่เก็บไว้ก็ปิดไม่อยู่
“ใช่ จะกลัวอะไร พวกเราทำการค้าขายกับสือหลี่เซียงด้วยความซื่อสัตย์ ผู้ใดจะกล้ากล่าวอะไร? อีกอย่างซื้อหมูมาเชือดเอง ข้าผู้เป็ปู่เ้ายังช่วยลงมือได้ด้วย” ชายชราหูที่ฟังอยู่ด้านข้าง กล่าวคล้อยตามด้วยความเต็มใจ
“เ้านี่ชรามากแล้ว หมูร่างกายแข็งแรงน้ำหนักสองสามร้อยชั่งนั่น เ้ายังลงมือเชือดได้อีกหรือ? เ้าพักให้ดีๆ ยังมีฉางหลินอยู่” หวังซื่อมองเขาตาขวาง หมุนกายกลับมายิ้มแล้วมองที่เจินจู “เช่นนั้นก็ได้ พวกเราซื้อหมูมาเชือดกันเอง วันนี้เชือดหมูสามตัวของบ้านเราก่อนแล้วก็ทำการหมักไว้ พรุ่งนี้พอรุ่งเช้าค่อยรวบรวมหมูสองสามตัวในหมู่บ้าน”
“ท่านย่า หมูตัวนั้นที่บ้านข้า เ้าของร้านหลิวของฝูอันถังจองไว้ให้คุณชายของพวกเขาแล้ว ผ่านไปไม่กี่วันถึงจะมาจูงกลับไปเ้าค่ะ” ตอนนี้หมูขาวตัวใหญ่ตัวนั้นของบ้านนางรูปร่างใหญ่มากนัก ทั้งอ้วนทั้งแข็งแรง พละกำลังยังมากล้น ก่อนหน้านี้เจินจูผสมซังข้าวโพดที่แอบหยิบออกมาจากมิติช่องว่างลงในอาหารหมู่ที่เคี่ยวต้ม พอผ่านไปพักหนึ่ง หมูขาวตัวใหญ่ก็กลับมากลมอีกครั้งอย่างฉับพลัน
“เ้าของร้านหลิวจองอีกแล้วหรือ? แต่หมูตัวนั้นที่บ้านเ้าเป็ตัวที่รูปร่างใหญ่มาก คุณชายของครอบครัวเขาเวลาไหนถึงจะสามารถทานหมดได้กัน?” หวังซื่อนึกถึงกู้ฉีที่สีหน้าขาวซีดและผอมจนเห็นกระดูก อดกล่าวอย่างเป็กังวลใจไม่ได้
“แหะๆ ท่านย่า ในอุโมงค์ใต้ดินของพวกเขามีห้องเก็บน้ำแข็ง พอทานไม่หมดก็แช่แข็งไว้ได้เ้าค่ะ เนื้อก็ไม่เน่าเสียด้วย” เจินจูหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง
“อ้อ คนมีเงินก็ดีนัก ยังมีอุโมงค์เก็บน้ำแข็งอยู่ด้วย” หวังซื่อทอดถอนใจ
ทานอาหารมื้อกลางวันผ่านไปด้วยความรีบเร่ง หลังจากนั้นสกุลหูจึงเริ่มแผนการใหญ่เชือดหมูขึ้น หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยรีบเร่งมายังคอกหมู ใช้เชือกป่านผูกหมูคนละตัว หลังจากนั้นก็จูงทั้งสองตัวเรียงหน้ากระดานไปทางบ้านเจินจู หวังซื่อเดินตามอยู่ข้างหลัง ในมือถือกระบองยาวสองด้ามไว้ พร้อมกับะโต้อนหมูอยู่ตลอดเวลา
เชิงอรรถ
[1] ทานอิ่มเกินไป เป็การพรรณนาผู้คนว่า เอากำลังวังชาที่มีมากเกินความจำเป็ไปใช้ไม่ถูกที่หรือใช้ในที่ที่ไม่ควร ในที่นี้จะแปลว่า ทานอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ