คำกล่าวที่ว่า จงตอบโต้สิ่งชั่วร้ายด้วยความดีในตัวเ้า คำกล่าวนี้ช่างเพ้อฝันเลื่อนเปื้อน คนที่ความชั่วช้าหยั่งรากลึกลงไปถึงกมลสันดาน จะไม่มีวันมองเห็นความดีงามที่ผู้อื่นพยายามจะหยิบยื่นให้ ดูจากสิ่งที่เกิดกับหลี่เซวียนเป็ตัวอย่าง หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าในชาติก่อนก็เป็ตัวอย่างชั้นยอดที่ไม่ต้องไปมองหาจากที่ใด
ผู้ริเริ่มาการนองเืในครานี้แน่นอนว่าต้องเป็คนที่ชั่วช้า แต่ทว่าผู้ที่ลุกตอบโต้ต้องเป็คนที่ชั่วช้า โเี้ เืเย็นยิ่งกว่า
ผู้เพลี่ยงพล้ำ ต้องสิ้นชีพ
ผู้อ่อนแอ ต้องยอมจำนน
ผู้คิดการต่อต้าน ต้องสังหารสิ้น
"ท่านแม่ทัพ กำลังเสริมได้มาถึงแล้วขอรับ"เป็เสียงรายงานของรองแม่ทัพกวนที่เดินเข้ามารายงานยังกระโจมใหญ่อันเป็ที่ประชุมของเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลาย
"ดี เช่นนั้นก็ได้เวลาเปิดศึกใหญ่เสียที"ซ่างกวนจือหลินตอบรับคำโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากกระบะทรายจำลองแผนภูมิยุทศาสตร์ที่สำคัญของแคว้นเหลียว แม้กำลังทหารหลักของแคว้นจะถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว ทว่ากำลังทหารที่รักษาการณ์ยังหัวเมืองต่างๆ ยังมีอยู่ ดังนั้นกำลังรบห้าแสนนายคงไม่เพียงพอจะข่มขวัญให้พวกมันยอมจำนนแต่โดยดี หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นกำลังพลที่มากกว่าย่อมได้เปรียบเสมอ ใช่ว่าทหารในหุบเขาิญญาพยัคฆ์จะขาดแคลนเสียเมื่อไหร่
"เปิดศึกใหญ่ ? ผู้ใดให้ความกล้านี้แก่เ้ายายเด็กตัวเหม็น!"
"พี่ใหญ่ท่านใจเย็นก่อน อย่าดุหลานสาวตัวน้อยเช่นนั้นนะขอรับ"เสียงที่เข้าข้าง ถือหางหลานสาวสุดที่รักจะเป็ผู้ใดไปไม่ได้นอกจากท่านปู่เล็กของนางเท่านั้น
"ท่านปู่ ท่านปู่เล็กมาได้อย่างไรเ้าคะ"ซ่างกวนจือหลินรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นท่านปู่ทั้งสองปรากฏกายที่หน้าประตูกระโจม
"ข้าจะไม่มาได้อย่างไรล่ะ เ้าคิดว่าทหารที่บ้านของเ้าเป็หัวผักกาดงั้นรึ อยากได้เท่าไหร่ก็ให้คนออกไปหาสั่งซื้อมา"ซ่างกวนอู๋จี้ที่เร่งควบม้ามาสิบวันโดยไม่ได้หยุดพัก เ้าตัวไม่ได้รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อยเพราะในใจของเขาตลอดสิบวันที่ผ่านมาล้วนอัดแน่นไปด้วยโทสะ
"กำลังเสริมของข้าล่ะ ซ่างกวนอู๋จี๋เ้ากล้าขัดคำสั่งทางทหารงั้นรึ"ซ่างกวนจือหลินเดินมาหยุดตรงเบื้องหน้าชายชรา ร่างอรชรในชุดเกราะเหล็กเต็มยศทุกส่วนในร่างกายล้วนเหยียดตรงราวกับคันธนูที่ง้างสายจนสุด ไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาราวกับแม่ทัพที่กรำศึกมาแล้วครึ่งชีวิต
"ข้าเป็ผู้นำตระกูล จะให้หรือไม่ให้กำลังทหารล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้า เ้านับเป็สิ่งใดได้"ซ่างกวนอู๋จี๋จงใจกล่าววาจาเช่นนั้นออกไปเพื่อจะดูท่าทีของหลานสาวที่ตนเลี้ยงมากับมือว่าเ้าตัวจะตั้งรับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร
"ดี! ดีมาก กองทัพมีกฎของกองทัพ กฎของตระกูลซ่างกวนยามมีศึกาเชื่อว่าท่านคงจำได้จนขึ้นใจ แต่ท่านก็เลือกที่จะฝ่าฝืน บทลงโทษของผู้ที่ไม่ทำตามคำสั่งทางทหารคือตัดหัว!"หญิงสาวถอดหมวกเหล็กที่ตอนนี้มันคล้ายจะบีบอัดหัวของนางจนแทบจะะเิออกแล้วปาลงบนพื้นอย่างแรง
โครม!!
ชิ้ง!!
ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ถูกชักออกมาจ่อที่ลำของของชายชราอย่างราวเร็ว ในขณะนั้นเหล่าแม่ทัพนายกองและทหารน้อยใหญ่ต่างคุกเข่าลงบนพื้นอย่างพร้อมเพรียง แม้จะเป็เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากขอความเมตตาเเม้แต่คนเดียว ที่พวกเขาต้องเชื่อฟังในยามนี้คือท่านแม่ทัพไม่ใช่ท่านผู้นำตระกูล
"เ้า..."ซ่างกวนอู๋จี๋ที่เห็นสภาพหลานสาวอย่างเต็มตาก็ถึงกับหาคำพูดของตนเองไม่เจอ เ้าเด็กคนนี้ เ้าลาโง่ตัวนี้ นางถึงกับกล้าลงมือทำให้ตนเองกลายเป็เช่นนี้
"ฝ่าฝืนคำสั่ง ทำให้การศึกเกิดความเสียหายล่าช้า ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลของา แม้เ้า ซ่างกวนอู๋จี๋ จะเป็สายเืเดียวกันกับข้า เป็ผู้มีบุญคุณเลี้ยงดูอุ้มชูข้ามาั้แ่เกิด ทว่ากฎระเบียบก็มิอาจฝ่าฝืนได้ดั่งใจนึก ในเมื่อเ้าเลือกเส้นทางนี้แล้วก็อย่าได้โทษว่าข้า ซ่างกวนจือหลิน เป็คนอกตัญญู!"ทุกวาจาที่เปล่งออกมาของผู้ที่เป็แม่ทัพล้วนหนักแน่นไร้ซึ่งความลังเลแม้เพียงเสี้ยว แม้ภายในใจของนางจะเ็ปราวกับถูกมืออันคุ้นเคยฉีกออกเป็ชิ้นๆ แต่ทว่าตัวนางก็มิอาจปล่อยผ่านเื่นี้ไปโดยง่าย นี่คือสนามรบ ความเป็ความตายของเหล่าทหารขึ้นอยู่กับคำบัญชาของผู้เป็แม่ทัพ การเคลื่อนพลรบแต่ละครั้งใช่ว่าจะกลับลำได้ง่ายดังใจนึก
หากเป็เช่นนั้น ความน่าเชื่อถือของแม่ทัพผู้สั่งการคงหมดสิ้น แล้วในภายภาคหน้าจะมีผู้ใดกล้าติดตามแม่ทัพเช่นนางอีก
หญิงสาวจ้องประสานสายตาของผู้เป็ปู่อย่างไม่ลดละ แม้ภาพเบื้องหน้าจะเริ่มพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำตาแห่งความอัดอั้นตันใจที่ถูกคนที่ไว้ใจที่สุดตลบหลัง ความรู้สึกของชีวิตทั้งสองชาติไหลวนผสมปนเปจนเ้าตัวแทบจะควบคุมตนเองไม่ไหว ความรัก ความเคียดแค้นชิงชัง ความอยุติธรรมทั้งหลาย
ก่อนที่หญิงสาวจะควบคุมมือที่จับดาบเขี้ยวพยัคฆ์เอาไว้ไม่อยู่รอมร่อ จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งมาบดบังสายตาของนางเอาไว้ ซ่างกวนจือหลินพยายามเพ่งมองผู้มาเยือนให้ชัด แต่ก็จนใจที่สายตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาทำให้การมองเห็นไม่เป็อย่างใจนึก
"ว่าเช่นไร...ว่าที่ภรรยาของข้า"
น้ำเสียงทุ้มต่ำอันแฝงไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนดังขึ้นเหนือศีรษะของหญิงสาวอย่างแ่เบา พร้อมกับมืออันแข็งแกร่งที่ยื่นมากุมมือเล็กที่กำลังถือดาบเอาไว้จนสั่นเกร็ง ความอบอุ่นจากฝ่ามือแกร่งที่ส่งผ่านมาทำให้หญิงสาวผ่อนคลายจิตใจลงได้เล็กน้อย ดวงตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองบุคคลเบื้องหน้าราวกับ้าเก็บภาพของเ้าของน้ำเสียงอันคุ้นเคยนี้ให้มากที่สุด
"อิงกั๋วกง"ริมฝีปากจิ้มลิ้มของเด็กสาวเอื้อนเอ่ยนามนั้นออกมาอย่างเลื่อนลอย ราวกับว่าเ้าตัวมิอาจแยกแยะได้อีกต่อไปว่าเหตุการณ์เบื้องหน้า คือชีวิตในชาติก่อนหรือชีวิตในชาติใหม่กันแน่
เหตุใดอิงกั๋วกง เฉินอี้ จึงมาอยู่ที่นี่ได้กันนะ
"ยังมีความคิดที่จะถอนหมั้นอีกหรือไม่"ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอิงกั๋วกงมิได้แสดงอาการแปลกใจแม้แต่น้อยซ้ำเ้าตัวใช้สองมือประคองใบหน้าเล็กของหญิงสาวขึ้นมาเพื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนางอย่างจริงจัง
"ไม่กล้าแล้วเ้าค่ะ"ซ่างกวนจือหลินเอ่ยตอบอย่างแ่เบา พร้อมกับส่ายหัวเป็การยืนยันคำพูดอีกแรง หญิงสาวตัวเล็กพูดย้ำหลายครั้ง ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาไม่ขาดสาย สองมือที่ว่างเปล่าของนางเอื้อมไปยึดชุดเกราะของอีกฝ่ายราวกับ้าที่พึ่งพิง
"เด็กดี...ไม่ร้องแล้วนะ เ้าเหนื่อยมามากแล้วหลับตาพักผ่อนสักครู่ตื่นมาค่อยคิดหาทางดีหรือไม่"ชายหนุ่มกล่าวกับเด็กสาวที่น่าสงสารตรงหน้าอย่างอ่อนโยน พร้อมกับเช็ดหยาดน้ำตาให้อย่างเบามือ เ้าตัวไม่ได้สนใจไอสังหารที่ทิ่มแทงตนเองจากด้านหลังแม้แต่น้อย เมื่อกล่อมจนหญิงสาวตรงหน้าสงบลงได้แล้วเฉินอี้ก็ช้อนร่างอรชรขึ้นมาอุ้มพร้อมกับเดินออกไปจากกระโจมทันที
"อิงกั๋วกง"เสียงหวานใสที่สั่นครือเล็กน้อยดังขึ้นระหว่างทางเดินกลับกระโจมพักของแม่ทัพ
"หืม"ชายหนุ่มขานตอบในลำคอพร้อมกับก้มลงมองคนในอ้อมกอดที่กำลังหลับพักสายตา
"ท่านอยู่เป็เพื่อนข้าได้หรือไม่"
"ได้สิ"
"ท่านไม่คิดทบทวนสักนิดเลยหรือ?"หญิงสาวลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างกังขา
"เ้าเป็ว่าที่ภรรยาของข้า"
"แต่ก็ยังไม่ใช่ภรรยานี่นา"
"ข้าคงทำอะไรสตรีที่กำลังาเ็ไม่ลงหรอกนะ"ชายหนุ่มเลิกคิ้วตอบอย่างเห็นขัน
"ก็จริง...แล้วท่านไม่กลัวข้าทำอะไรท่านบ้างหรือ"หญิงสาวเอียงคอถามคนตัวโตอย่างใคร่รู้
"เอาชนะข้าให้ได้ก่อนค่อยคิดการใหญ่เช่นนั้น"เฉินอี้ตอบเ้าจอมแก่นพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างหยอกเย้า
"แต่ข้าก็เก่งมากเลยนะ"คนตัวเล็กพยายามพูดจาให้หน้าเชื่อถืออย่างถึงที่สุด
"ขอรับท่านแม่ทัพ"
"ดีมากอิงกั๋วกง"
เสียงกระซิบหยอกเย้าของทั้งสองดังแว่วหายไปในความมืดมิดท่ามกลางราตรีอันหนาวเหน็บ ค่ำคืนนี้คงมีผู้ที่คิดไม่ตกจนไม่อาจข่มตานอนหลับได้ถึงสามคน
ท่านปู่ของเด็กสาวยังไม่ปักปิ่นทั้งสอง ซ่างกวนอู๋จี๋และซ่างกวนอู๋ิ่ ความในใจของชายชราทั้งสองคือ ไอ้หนุ่มนั่นมันวอนตาย!!!
ส่วนบุคคลสุดท้ายในค่ำคืนนี้ คือท่านอิงกั๋วกงตัวจริงที่ยืนหัวโด่สังเกตความเป็ไปของทุกคนอย่างเก็บรายละเอียดทุกเม็ด เฉินปิน ความในใจของอิงกั๋วกงผู้เฒ่านั้น ต้องรีบกลับเมืองหลวงไปเตรียมสินสอดทองหมั้นให้มากหน่อยเป็ดี ดูสิหลานสะใภ้ผู้นี้ช่างถูกใจตาแก่อย่างข้าจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า