สำนักบริบาลเดรัจฉานสังหารลูกศิษย์ของตระกูลหนานกงอย่างไม่ลังเล ไม่ปล่อยให้เหลือรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว จะส่งผลกระทบมากมายเพียงไรต่อตระกูลหนานกง บรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลหนานกงจะสามารถกล้ำกลืนความโกรธแค้นนี้ได้อย่างไร?
สำนักบริบาลเดรัจฉานย่อมไม่ยอมให้ตระกูลหนานกงทำร้ายลูกศิษย์ของตนอย่างแน่นอน เมื่อเป็เช่นนั้น การกระทบกระทั่งกันระหว่างสำนักนิกายและตระกูลใหญ่ ก็จะเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
แผ่นดินใหญ่แห่งนี้กำลังจะวุ่นวายแล้ว! และทั้งหมดนี้ เริ่มต้นขึ้นจากจ้านอู๋มิ่งสังหารหมู่เหล่าบรรดาศิษย์ของตระกูลหนานกงอย่างบ้าคลั่ง
……
เมื่อราชันกระบี่เฝิงอู๋เซวี่ยมาถึง ศิษย์ของตระกูลหนานกงถูกสังหารจนหมดสิ้นแล้ว แหวนจักรวาลก็ถูกกวาดเรียบแล้ว จ้านอู๋มิ่งเพียงหยิบเอาแหวนจักรวาลของหนานกงเฉิงและหนานกงชิงไปเท่านั้น แหวนจักรวาลในมือของศิษย์ตระกูลหนานกงคนอื่นๆ นำไปแบ่งกันระหว่างศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉาน กลับทำให้ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานได้โชคลาภเล็กๆ กันถ้วนหน้า
ในแหวนจักรวาลของศิษย์ตระกูลหนานกงมีหินจิติญญาไม่มากนัก เนื่องจากหินจิติญญาล้วนถูกนำไปวางเดิมพันข้างหนานกงเฉิงแล้ว เวลานี้จึงเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของหอสมบัติจิติญญาเรียบร้อยแล้ว ดีที่ในแหวนจักรวาลของศิษย์ตระกูลหนานกงยังมีโอสถจิติญญาและวัสดุอื่นๆ อีก เป็มูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งที่ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานขาดแคลนมากที่สุดก็คือโอสถจิติญญานั่นเอง อาหารของสัตว์อสูรจิติญญาคู่หูจำเป็ต้องใช้โอสถจิติญญาในปริมาณมาก
ติดตามจ้านอู๋มิ่งได้กำไรยิ่งนัก ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานลิงโลดยินดีอยู่ในใจ ไม่เพียงกำจัดคนของตระกูลหนานกงไปแล้ว ได้ระบายเพลิงโทสะที่สุมอก ที่สำคัญที่สุดจ้านอู๋มิ่งได้ช่วยกู้หน้ารักษาศักดิ์ศรีให้ด้วย ต่อไปผู้ใดกล้าชักสีหน้าต่อสำนักบริบาลเดรัจฉานออกมาอีก เช่นนั้นก็กระหน่ำทุบตีให้จงหนัก จวบจนสิ้นชีวิตค่อยยุติ
เวลานี้ ไม่มีผู้ใดไตร่ตรองว่ากำจัดศิษย์เด่นล้ำหลายสิบคนของตระกูลหนานกงไปแล้วจะส่งผลเช่นไรตามมาในภายหลัง คิดเพียงแต่ขอกระทำอย่างสุขสำราญใจสักรอบหนึ่ง พวกเขารู้สึกชื่นชอบพฤติการณ์การดำรงอยู่อย่างไร้ขื่อไร้แปของจ้านอู๋มิ่งเข้าให้แล้ว
มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว สีหน้าราชันกระบี่เฝิงอู๋เซวี่ยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ราชันวายุ หนานกงเฉิงเสียชีวิตแล้ว จ้านอู๋มิ่งสังหารหมู่เหล่าบรรดาลูกศิษย์ของตระกูลหนานกงจนหมดสิ้น นี่มันหยิ่งผยองเกินไปแล้ว
การมาถึงของราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ย พลันทำให้เกาะนิรนามตกอยู่ในสภาพอันเงียบงันในทันใด ราชันวายุเพิ่งดับสูญ ราชันกระบี่ก็เดินทางมาถึง จ้านอู๋มิ่งจะลงมือต่อสู้อย่างต่อเนื่องหรือไม่?
การกระทบกระทั่งกันระหว่างสำนักบริบาลเดรัจฉานและสำนักกระบี่ิญญา ผลสุดท้ายจะเป็เช่นไร? จะเป็จุดเริ่มต้นของการเข่นฆ่าล้างผลาญกันอีกหรือไม่?
จ้านอู๋มิ่งไม่รู้จักราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ย แต่เห็นสภาวะพลังของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
“จ้านอู๋มิ่ง!” เจตนาฆ่าในสายตาของเฝิงอู๋เซวี่ยไร้การปิดบังแม้แต่น้อย
“เ้าคือใคร?” จ้านอู๋มิ่งถามคำที่ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกมาคำหนึ่ง กลับยังมีคนที่ไม่รู้จักราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ย
“เฝิงอู๋เซวี่ย!”
“ประเสริฐ เ้าเองหรอกหรือ พี่ชายรอคอยอยู่บนเกาะเนิ่นนานแล้ว ไฉนเ้าเพิ่งจะมา คิดจะเอาเปรียบราชันวายุ หนานกงเฉิงเช่นนั้นหรือ ้ารอให้พี่ชายต่อสู้จนเหน็ดเหนื่อยแล้วสลับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าต่อสู้ใช่หรือไม่?” เมื่อจ้านอู๋มิ่งได้ยินว่าอีกฝ่ายคือเฝิงอู๋เซวี่ย การแสดงออกก็เปลี่ยนไปทันที คล้ายอันธพาลหัวไม้ก็มิปาน คำถามมากมายตามมาเป็พรวน ทำเอาเฝิงอู๋เซวี่ยฟังจนตะลึงงัน
ผู้คนที่แต่เดิมรู้สึกถึงบรรยากาศผิดปกติ พบว่าหลังจากจ้านอู๋มิ่งเอ่ยปากพูด พลันบรรยากาศก็คลี่คลายลงมิน้อยในทันใด ทุกคนดูการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงของจ้านอู๋มิ่งแล้ว ลอบะโโห่ร้องในใจ นี่ยังใช่เทพสังหารกระหายเืคนเมื่อสักครู่นี้หรือไม่?
หลังจากได้ยินคำพูดที่จ้านอู๋มิ่งถามขึ้น สายตาของคนจำนวนมากที่มองเฝิงอู๋เซวี่ยล้วนเปลี่ยนไปแล้ว การต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่งและราชันวายุ หนานกงเฉิงเพิ่งสิ้นสุดลง ราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ยก็ออกโรง พฤติการณ์ชวนสงสัยว่า้าเอาเปรียบจริงๆ ไม่สมควรจะบังเอิญขนาดนี้กระมัง? เมื่อคิดเช่นนี้ พลันความประทับใจของทุกคนที่มีต่อราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ยก็ลดฮวบลงอย่างกะทันหัน
“เหอะ…” ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานทำเสียงดูแคลน เห็นพ้องสอดรับกับคำพูดของจ้านอู๋มิ่ง
ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาจ้องมองด้วยสายตาโกรธเคือง แต่ภายใต้สายตาทุกคนที่มองดูอยู่ กลับไม่มีปัญญาโต้แย้ง ผู้ใดให้พวกเขาเดินทางมาถึงอย่างประจวบบังเอิญเช่นนี้เล่า ผู้อื่นเพิ่งจะกวาดล้างตระกูลหนานกงเสร็จสิ้น เ้าก็รุดมาถึงแล้ว
ก่อนหน้านี้ จ้านอู๋มิ่งดูแคลนสำนักกระบี่ิญญามากที่สุด ยามนี้ย่อมไม่มีการแสดงท่าทีที่ดีอันใด
“กับเ้า ไหนเลยจำเป็จะต้องหมุนเวียนเข้าสู้ ข้าให้เวลาเ้าฟื้นฟูพละกำลัง หลังจากรอจนเ้าฟื้นฟูเสร็จแล้วพวกเราค่อยมาต่อสู้กัน!” ในฐานะราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ยย่อมมิอาจให้สำนักกระบี่ิญญาต้องเสียหน้าภายใต้สายตาที่จับตาดูอยู่ของทุกคน กล่าวถึงที่สุดแล้วที่นี่มีศิษย์ของสำนักนิกายต่างๆ จำนวนมากถึงหลายพันคน ถึงเวลานั้นแม้ว่าตนจะชนะแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะถูกนำไปเล่าลือในลักษณะใดบ้าง
ในฐานะของราชัน เฝิงอู๋เซวี่ยมีความหยิ่งทระนงและศักดิ์ศรีแห่งราชันของเขา เขารังเกียจการเอาเปรียบจากหนานกงเฉิง ขณะเดียวกันเขาเองก็้าเวลาเล็กน้อย ทำความเข้าใจกระบวนการต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่งและหนานกงเฉิง ไฉนจ้านอู๋มิ่งสามารถสังหารหนานกงเฉิงจนเสียชีวิต มีกระบวนท่าไม้ตายใดกันแน่? การตายของหนานกงเฉิง ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายเกินไปมาก
ถึงแม้อันดับของเฝิงอู๋เซวี่ยในหมู่สิบราชันจะสูงกว่าหนานกงเฉิง แต่ว่าเขาทราบพลังยุทธ์ที่แท้จริงของหนานกงเฉิงเป็อย่างดี ระดับชั้นไม่ได้ห่างกับตนมากมายนัก อีกทั้งการโจมตีของหนานกงเฉิงแปลกประหลาดสุดหยั่งคาด หนานกงเฉิงที่ร้ายกาจเช่นนี้กลับพ่ายแพ้แล้ว เห็นได้ว่าไอ้หนูที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นคนนี้มิได้จัดการง่ายดายอย่างเด็ดขาด สิ่งนี้ทำให้เขาเลิกดูแคลนเหยียดหยาม
“ถูกทำให้ใจนโง่งมไปแล้วกระมัง? เวลาของพี่ชายมีจำกัด ได้ยินว่าผนึกสถานพำนักของคุนเผิงใกล้จะถูกเปิดออกแล้ว ไม่มีเวลามากพอจะเล่นเป็เพื่อนกับเ้าที่นี่ เ้าว่าควรจะทำเช่นไรเล่า?” จ้านอู๋มิ่งสะบัดเืที่ติดอยู่บนมือ ยักไหล่แล้วถามกลับ
“ถ้าเช่นนั้นเ้าว่าอย่างไร?” เฝิงอู๋เซวี่ยเพลิงโทสะในใจพลุ่งพล่านขึ้น โน่นก็จ้านอู๋มิ่งถูกต้อง นี่ก็จ้านอู๋มิ่งมีเหตุผล เขาก็ไม่้าโต้เถียงกับคนที่เหมือนอันธพาลผู้นี้ ดังนั้นจึงถามขึ้นตรงๆ
“อย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเ้าเร่งรุดเดินทางมาถึงภายในหนึ่งวันแล้ว แม้ว่าหากจะหมุนเวียนเข้าต่อสู้ ข้าก็ต้องยอมรับไว้แล้ว แต่เพื่อเป็การรักษาเกียรติและหน้าตาของเ้า เกรงผู้อื่นจะว่าเ้าที่เป็ถึงราชันกระบี่แห่งยุคแต่กลับเอาเปรียบคนอื่นราวกับคนต่ำช้าไร้ยางอายผู้หนึ่งก็มิปาน พวกเราก็เปลี่ยนมาใช้วิธีการต่อสู้อันสุภาพอ่อนโยนยิ่งกว่า มีชีวิตและความตายเป็เดิมพัน” จ้านอู๋มิ่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วพูดขึ้น
“ต่อสู้กันอย่างไร ลองพูดมา” ราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ยถามอย่างเ็า แต่ในใจกลับลอบวางแผน นึกถึงความหมายของจ้านอู๋มิ่ง
“ง่ายดายยิ่ง พวกเราวาดวงกลมอันหนึ่ง ทั้งสองคนยืนอยู่ภายในวงกลม แต่ละคนโจมตีสามกระบวนท่า ยามที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตี อีกฝ่ายห้ามลงมือตอบโต้ สามารถหลบได้อย่างเดียวเท่านั้น ผู้ใดออกจากวงกลมถือว่าแพ้ ผู้พ่ายแพ้อัตวินิบาตกรรม เชือดคอตนเองต่อหน้าเหล่าวีรบุรุษทั่วหล้า จะได้มิต้องแปดเปื้อนมือของอีกฝ่าย” จ้านอู๋มิ่งก้มลงหยิบกระบี่ที่ศิษย์ตระกูลหนานกงทิ้งไว้ขึ้นมาเล่มหนึ่ง วาดวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองวาบนพื้นอันหนึ่ง แล้วเข้าไปยืนอยู่ภายใน
ดวงตาเฝิงอู๋เซวี่ยฉายแววลิงโลดเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่ออก เขาทราบว่าจ้านอู๋มิ่งรวดเร็วยิ่งนัก แต่กลับมีน้อยคนทราบว่าในบรรดากระบวนท่าสังหารของเขามี "พายุฝนกระหน่ำตัดดอกสาลี่" กระบวนท่าหนึ่ง เขาสามารถเติมเต็มบริเวณพื้นที่สองวาด้วยกระบี่ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด ล้วนไม่สามารถรอดพ้นการจู่โจมสังหารของตน นอกจากคู่ต่อสู้จะสามารถหดตัวเล็กกว่าฝุ่นผงธุลี
เฝิงอู๋เซวี่ยลอบคิดในใจ ในเมื่อเ้ารนหาที่ตายด้วยตัวเอง เช่นนั้นข้าก็จะส่งเสริมเ้า ดูซิว่าเ้าจะยอมตายภายใต้กระบี่ข้า หรือะโออกจากวงกลมนี้ด้วยตนเอง
ถึงแม้จ้านอู๋มิ่งจะโดดเด่นเื่ความเร็ว แต่ความเร็วกระบี่ของเฝิงอู๋เซวี่ยจะช้าได้อย่างไร ถ้ากระบี่ของเขาช้า ยามจัดอันดับในสิบราชันจะอยู่หน้าราชันวายุ หนานกงเฉิงได้เช่นไร จ้านอู๋มิ่งเป็นักบ่มเพาะกายภาพผู้หนึ่ง แข็งแกร่งทรงพลัง แต่ไม่มีกระบวนท่าสังหารในพื้นที่ขนาดใหญ่ ภายในเขตพื้นที่สองวา ตน้าหลบเลี่ยงสามกระบวนท่า มิใช่เื่ยากอันใด
ดังนั้น เฝิงอู๋เซวี่ยจึงพูดเสียงราบเรียบว่า “ในเมื่อเป็วิธีการต่อสู้ที่เ้าเสนอออกมา เช่นนั้นก็แล้วแต่เ้า เ้า้าต่อสู้เช่นไร ข้าล้วนยินดีตอบสนอง!” พูดพลาง เฝิงอู๋เซวี่ยก็ก้าวเข้าสู่วงกลมต่อสู้เช่นกัน
“อ้อ คิดไม่ถึงว่าราชันกระบี่จะใจกว้างเช่นนี้ โอ่อ่าเปิดเผยขนาดนี้ มีบุคลิกภาพของราชันจริงเชียว แต่ต่อให้เสแสร้งแกล้งทำดีแค่ไหน สำนักกระบี่ิญญาของพวกเ้าก็ล้วนเป็วิญญูชนจอมปลอม หน้าซื่อใจคด ทำตัวเป็ผู้มีศีลธรรมสูงส่ง มา มา ข้าจะทำให้เ้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เ้าโจมตีใส่ข้าสามกระบวนท่าก่อน แล้วข้าจึงค่อยลงมือ จะได้ไม่ต้องให้ผู้อื่นกล่าวหาวิธีการต่อสู้ที่ข้าเป็คนเสนอออกมาว่าข้าเอาเปรียบมากไปแล้ว”
พอจ้านอู๋มิ่งพูดขึ้นเช่นนี้ พลันศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานก็โห่ขึ้นมาทันใดอีกคราหนึ่ง สีหน้าศิษย์สำนักกระบี่ิญญาก็เปลี่ยนเป็กล้ำกลืนขึ้นมา นี่คือการดูแคลนเหยียดหยาม สร้างความอัปยศอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง ถึงแม้ยามปกติศิษย์สำนักกระบี่ิญญามักหยิ่งผยองอยู่บ้าง แต่ในฐานะที่เป็สำนักนิกายใหญ่ของแผ่นดินใหญ่ พวกเขาก็มีความหยิ่งทระนงและศักดิ์ศรีของตนเอง ยามจ้านอู๋มิ่งพูดคำนี้ออกมา บวกกับเสียงโห่ร้องของศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉาน พวกเขารู้สึกโกรธเคืองจนแทบะโด่าออกมา
หลังจากเฝิงอู๋เซวี่ยฟังคำพูดของจ้านอู๋มิ่งแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็ดูยากยิ่งนัก ท่ามกลางเสียงโห่ของศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉาน เขาเห็นในสายตาของคนดูรอบด้านเต็มเปี่ยมไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง เจตนาฆ่าในใจลุกโชนยิ่งขึ้น แต่ว่าเขาไม่คิดจะถือสากับคนที่ใกล้ตายผู้หนึ่ง เขามีความมั่นใจว่าต้องชนะอย่างแน่นอนในการต่อสู้ครั้งนี้ ดังนั้นเขาก็คร้านที่จะเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ กับจ้านอู๋มิ่ง ทำให้เหล่าวีรบุรุษทั่วหล้าเห็นเป็เื่น่าขบขัน เสื่อมเสียชื่อเสียงในฐานะราชันกระบี่ของเขา
แน่นอน เขาปรารถนาลงมือก่อนยิ่งนัก แต่หากเขาเป็ฝ่ายลงมือก่อน ก็จะถูกจ้านอู๋มิ่งพูดจาเหน็บแนม แม้ว่าเขาจะชนะแล้ว ผู้อื่นก็จะรู้สึกว่าเขาชนะอย่างไม่เป็ธรรม คนหนึ่งเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มารอบหนึ่งและยังไม่ได้พักผ่อน คนหนึ่งคือราชันผู้มีชื่อเสียงที่กระปรี้กระเปร่า มีกำลังวังชามาตลอด
“เ้าต่อสู้มาแล้วรอบหนึ่ง เ้าลงมือก่อนก็แล้วกัน ข้าราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ยรังเกียจที่จะเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าเ้าจะลงมือสำเร็จในสามกระบวนท่านี้ มิฉะนั้น เ้าต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว!” เฝิงอู๋เซวี่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดตอบ
“ว้าว ใจกว้างขนาดนี้เชียว ข้ากลัวว่าทันทีที่ข้าลงมือ เ้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว เ้าคงไม่สำนึกเสียใจกระมัง?” จ้านอู๋มิ่งพูดจาเยาะเย้ย
“หากเ้ามีความสามารถแท้จริง ข้าเฝิงอู๋เซวี่ยรอคอยอยู่!” เฝิงอู๋เซวี่ยพูดอย่างดูแคลน
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นข้าพี่ชายก็จะไม่เกรงใจแล้ว หลังจากเ้าตายแล้วอย่าได้โทษว่าพี่ชายไม่ให้โอกาสเ้า!” สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเคร่งขรึม สีหน้าฉายจิตสังหารดุร้ายขึ้นวูบ
ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากแปลกใจคือ สิ่งที่จ้านอู๋มิ่งใช้กลับเป็กระบี่ิญญาธรรมดาของศิษย์ตระกูลหนานกงที่เขาหยิบขึ้นมาจากพื้นดินเมื่อสักครู่นี้ แม้ว่ากระบี่เล่มนั้นจะเป็อาวุธจิติญญาระดับต่ำเช่นกัน แต่หลังจากที่ทุกคนเห็นหมัดอันรุนแรงหนักหน่วงของจ้านอู๋มิ่งเมื่อสักครู่นี้แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะละทิ้งหมัดหันมาใช้กระบี่ แถมยังเป็กระบี่ที่ไม่ถนัดมืออีกด้วย
ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานเองก็ตกตะลึงแล้วเมื่อเห็นการกระทำของจ้านอู๋มิ่ง ไม่เข้าใจในน้ำเต้าของจ้านอู๋มิ่งขายยาอะไร[1]
พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจ้านอู๋มิ่งถนัดการใช้กระบี่ ยอดฝีมือเชิงกระบี่ที่แท้จริงยืนอยู่ตรงหน้าจ้านอู๋มิ่งต่างหากเล่า เ้าหยิบกระบี่สภาพย่ำแย่ขึ้นมาเล่มหนึ่งลวกๆ เพื่อโจมตีราชันกระบี่หรือ? นี่มิใช่การหาเื่เดือดร้อนใส่ตัวหรอกหรือ?
จะว่าไปแล้ว หากเ้า้าใช้กระบี่จริงๆ ก็ควรหาเล่มที่ดีสักหน่อย กระบี่ของหนานกงชิงก็เป็อาวุธจิติญญาระดับสูงเล่มหนึ่ง แต่เ้าดันไม่ใช้ กลับหยิบเอากระบี่ยับเยินขึ้นมาเล่มหนึ่ง เกรงแต่ว่ากระบี่วิเศษของราชันกระบี่นั้น ผู้อื่นเขาฟันครั้งเดียวกระบี่ของเ้าก็ถูกฟันเป็ชิ้นๆ แล้ว
ไม่ใช่แค่ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานเท่านั้นที่ตกตะลึง ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาก็ประหลาดใจยิ่งนักเช่นกัน แต่ในดวงตาของพวกเขากลับเย้ยหยันและเหยียดหยามเสียมากกว่า เสแสร้งแกล้งทำเลยเถิดไปแล้วกระมัง ใช้กระบี่เบื้องหน้าราชันกระบี่ รนหาที่ตาย
ศิษย์สำนักกระบี่ิญญามีความสุขมากที่เห็นการแสดงออกของจ้านอู๋มิ่ง จ้านอู๋มิ่งเป็เช่นนี้ย่อมไม่สามารถมีผลคุกคามต่อราชันกระบี่ ดูแล้ววันนี้จ้านอู๋มิ่งต้องตายอย่างมิต้องสงสัย เกรงว่า ถึงเวลานั้นต่อให้เสียชีวิตแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดบอกว่าราชันกระบี่รังแกเขาแล้ว
“หาที่ตาย!” เฝิงอู๋เซวี่ยแค่นเสียงเ็าคำหนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งกลับแทงออกมาตรงๆ กระบี่หนึ่ง การโจมตีเช่นนี้ไม่ใช่กระบวนท่าใดๆ ไร้พลังติดตามมา พลันเฝิงอู๋เซวี่ยเข้าใจทันทีแล้วว่าไฉนจ้านอู๋มิ่งกล่าวว่าเมื่อฝ่ายหนึ่งโจมตี อีกฝ่ายจะตอบโต้กลับไม่ได้ เนื่องจากกระบี่ชนิดนี้เมื่อแทงออกก็จะไร้พลังติดตามต่อเนื่องใดๆ เมื่อท่ากระบี่ใช้จนหมดสิ้นแล้ว ต้องมีจุดอ่อนมากมายนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน เวลานี้ขอเพียงเขาลงมือโต้ตอบกลับ เพียงพอที่จะฆ่าจ้านอู๋มิ่งนับร้อยนับพันครั้ง แต่เพราะมีข้อตกลงกันล่วงหน้า เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เฝิงอู๋เซวี่ยเยาะเย้ยในใจ ด้วยทักษะความสามารถเพียงเล็กน้อยเท่านี้ยังกล้าจับกระบี่อีก ขอเพียงผ่านไปสามกระบวนท่า จ้านอู๋มิ่ง...วันนี้ก็คือกำหนดวันตายของเ้าแล้ว!
[1] สำนวนกล่าวถึง เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดทำสิ่งใด