Chapter 11
“ฉันมีของขวัญให้เธอด้วย”
โจไซอาเอ่ยทันทีที่เอเดนสอดตัวเข้ามานั่งในสปอร์ตสีขาวของตนเอง ความตื่นเต้นแสดงออกบนใบหน้าของเขาเพราะเก็บเอาไว้ไม่อยู่
“อะไรเหรอครับ” เอเดนขยับมากดจูบข้างแก้มแ่เบา แล้วถามกลับด้วยแววตาสงสัย
“ฉันจะพาไปดู”
โจไซอายิ้มแย้มอารมณ์ดีจนเอเดนยิ้มตาม เช้าวันนี้เขามารับอีกฝ่ายถึงคฤหาสน์กริฟฟิน เพื่อพาไปดูของขวัญที่ตนเองเตรียมไว้ั้แ่ตอนไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศในเกาะส่วนตัวที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันห้าวันเต็ม สีผิวของเอเดนจึงมีสีแทนแดดเข้มกว่าเดิมเล็กน้อย เพราะร่างกำยำของคนตัวโตมักจะกระโจนลงทะเล หรือไม่ก็นอนอาบแดดที่ชายหาดเสมอ หากโจไซอาไม่มีของขวัญชิ้นนี้ที่อยากให้เอเดนเห็น ทั้งคู่คงจะอยู่ที่นั่นต่อเป็เดือน
เอเดนนั่งมองคนข้างกายฮัมเพลงในลำคอ เสียงเพลงที่มาจากปากของโจไซอาแต่ละเพลงล้วนเป็เพลงที่เอเดนไม่คุ้นหู ่ชีวิตหนึ่งศตวรรษของโจไซอามีเวลาเพียงพอสำหรับการเก็บเกี่ยวบทเพลงดี ๆ ที่ชื่อเสียงหายไปตามยุคสมัย แต่ยังคงติดฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเทพผู้งดงาม
จุดหมายปลายทางในวันนี้อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์กริฟฟินมากนัก เพราะโจไซอาตั้งใจอย่างนั้น รถสีขาวแล่นบนถนนเงียบสงบเส้นโปรดของเอเดนที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรืออยากมาเยือน ด้วยความลาดชันคดเคี้ยวทำให้คนกระจุกอยู่ในตัวเมืองพื้นราบมากกว่า
เพียงไม่นานโจไซอาก็ชะลอความเร็วลงเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรั้วบ้านที่มีแนวต้นไม้สูงแผ่กิ่งก้าน กับพุ่มไม้เตี้ย รวมถึงไม้เลื้อยจนมองไม่เห็นว่าหลังรั้วเหล็กนี้มีอะไร เขาเลี้ยวรถเข้าจอดที่หน้าประตูรั้วสูง แล้วหันมายิ้มให้เอเดนอย่างตื่นเต้นรอคอย ระหว่างรอให้ประตูอัตโนมัติค่อย ๆ เปิดออก
ดวงตาสีเฮเซลของเอเดนเป็ประกายตื่นตาตื่นใจเมื่อรถแล่นเข้ามาในเขตรั้ว ผ่านแนวต้นไม้สีเขียวสด ที่อยู่ตรงหน้าคือสนามหญ้าสั้น ๆ กว้างขวาง แม้ไม่กว้างเท่าคฤหาสน์กริฟฟินแต่กลับอบอุ่นน่าอยู่กว่าหลายร้อยเท่า ถัดจากพื้นหญ้าสีเขียวคือหินสีหม่นที่ปูบนพื้นเชื่อมต่อไปยังตัวบ้านชั้นเดียวขนาดพอเหมาะ มีสระว่ายน้ำทรงสี่เหลี่ยมคั่นระหว่างบ้านปีกซ้ายและปีกขวา ทุก ๆ อย่างดูใหม่เอี่ยม หากไม่นับต้นไม้ที่ฝังรากอยู่ในพื้นที่นี้มานานแล้ว
โจไซอาจอดรถสปอร์ตที่โรงรถมุมขวาสุด เอเดนลงจากรถก่อนด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขามองสำรวจรอบตัวบ้าน สนามหญ้า และสระว่ายน้ำ มุมปากทั้งสองฝั่งยกขึ้นเล็กน้อย เป็รอยยิ้มประดับประดาใบหน้าหล่อเหลา
“ผมไม่เคยเห็นเลยว่าตรงนี้มีบ้านอยู่ด้วย”
“เพิ่งมีน่ะ” ร่างเพรียวบางกอดอกยืนพิงรถ อมยิ้มเมื่อเห็นแววตาความตื่นเต้นจากเอเดน
“สวยจัง” ทั้งคู่เดินมาที่สนามหญ้าหน้าบ้านเพื่อมองบ้านชั้นเดียวอย่างถี่ถ้วน
“ชอบไหม” เอเดนพยักหน้าตอบ
“ฉันซื้อให้เธอ”
เอเดนละสายตาจากสระว่ายน้ำทรงสี่เหลี่ยม ตวัดมองโจไซอาด้วยดวงตาเบิกกว้างราวไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่โจไซอาเพียงแค่ยิ้มตอบอย่างตื่นเต้นดีใจ ที่ได้มอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ให้อีกฝ่าย
“ซื้อให้ผม” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“ใช่ ฉันไม่มีบ้านที่โลกมนุษย์เลย นอกจากในเกาะนั้น” โจไซอาคว้ามือใหญ่มาจับ “ฉันเลยซื้อบ้านหลังนี้ไว้ให้เราอยู่ด้วยกัน เธออยากมาอยู่กับฉันไหม”
“อยากสิ” เอเดนไม่ต้องใช้เวลาในการหยุดคิดเลยสักนิด
“ทำไมผมจะไม่อยากมาอยู่กับคุณล่ะ โจ”
เทพผู้งดงามจอมขี้เซามักตื่นทีหลังเอเดนเสมอ เขานอนนิ่งราวไร้ดวงิญญาอย่างน่าใจหาย แต่เอเดนเริ่มชินแล้วจึงคลายความกังวล ทุก ๆ เช้าในวันที่แสนธรรมดาเอเดนจะลุกจากเตียง ขโมยหอมแก้มคนข้างกายแล้วเตรียมอาหารเช้าสำหรับตัวเอง โดยเผื่อแผ่ถึงโจไซอาด้วย แม้เทพจะไม่้าอาหาร และน่าแปลกที่โจไซอากินหมดทุกครั้ง
“วันนี้ทำอะไรกิน” โจไซอาล้างหน้าแปรงฟันแต่ยังไม่สดชื่น สวมเสื้อคลุมนอนสีน้ำเงินเข้ม เดินงัวเงียมาสวมกอดเอเดนจากด้านหลัง แล้วยืนหลับตานิ่ง
“แซนด์วิชแฮมแล้วก็ไข่” เอเดนตอบขณะพลิกขนมปังปิ้งบนกระทะ “มีของคุณด้วย”
“ขอจูบเป็มื้อเช้าด้วยได้ไหม” เสียงหวานออดอ้อน เงยหน้ารอคอยจุมพิต และได้รับมันทันทีที่เอ่ยขอ
“ผมนึกว่าเทพไม่ต้องนอนหลับ”
เอเดนถามขึ้นมา เพราะจำได้ว่าโจไซอาเคยบอกเขาอย่างนั้น แต่เมื่อหันหลังกลับไม่เห็นร่างเพรียวบางในบ้านอย่างที่ควรจะเป็ เขากวาดตามองด้วยความสงสัยอยู่สักพักจนขนมปังปิ้งเกือบจะไหม้ และไม่นานโจไซอาก็ปรากฏตัวด้วยพลังอำนาจการหายตัว พร้อมกับหนังสือพิมพ์หนึ่งม้วนในมือที่เทพผู้งดงามไปหยิบมาจากรั้วหน้าบ้านอย่างเช่นทุกเช้า เมื่อเอเดนรู้ความจริงทั้งหมดโจไซอาก็มักจะใช้พลังตามอำเภอใจเช่นนี้บ่อย ๆ
“โจ”
“หืม” โจไซอาครางตอบในลำคอ แล้วกางหนังสือพิมพ์ของโลกมนุษย์เพื่ออ่านข่าวสารประจำวัน เป็วิธีที่ทำให้เทพอยู่ในโลกมนุษย์อย่างกลมกลืนมาตลอดร้อยปี
“เมื่อกี้ผมพูดว่า ผมคิดว่าเทพไม่ต้องนอน”
“อ้อ” เสียงหวานหัวเราะแ่เบา “สงสัยฉันจะฝึกให้เข้ากับมนุษย์ได้ดีมากไปหน่อย”
“แต่คุณพลาดไปอย่างหนึ่ง รู้ไหม” เอเดนวางจานแซนด์วิชบนโต๊ะ แล้วนั่งฝั่งตรงข้ามโจไซอา
“อะไร” โจไซอาเลิกคิ้วอย่างสงสัย เพราะเขาคิดว่าตนเองเป็เทพที่เข้ากับมนุษย์ได้ดีที่สุด และแเีกลมกลืน
ปลายนิ้วของเอเดนชี้ที่หนังสือพิมพ์ในมือโจไซอาเป็คำตอบ
“เดี๋ยวนี้ไม่อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์กันแล้วครับ ผมยังเคยเห็นคนอายุ 80 อ่านข่าวจากแท็บเล็ตเลย” โจไซอากะพริบตาปริบ ๆ แล้วก้มมองหนังสือพิมพ์ในมือตัวเอง
“ก็… เดี๋ยวเด็กส่งหนังสือพิมพ์ในเมืองตกงานกันหมดน่ะสิ” เขาตอบอ้อมแอ้มด้วยความเขินอาย เพราะเหตุผลที่แท้จริงคือเขาไม่ถนัดเื่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เอเดนกัดแซนด์วิชคำใหญ่ นั่งมองโจไซอาอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์พลางจิบน้ำอุ่นในแก้วที่เขาเตรียมให้ เช้าวันนี้โจไซอาไม่แตะแซนด์วิชฝีมือของเขาเลยสักคำเดียว แต่กำลังสนใจข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
“กริฟฟินชนะการประมูลส่งออกสินค้าของวูดเฮาส์” เสียงหวานเอ่ยขึ้นแต่ตายังคงจ้องเนื้อหาข่าว “เธอรู้หรือยัง”
“จริงเหรอ” โจไซอาหันหนังสือพิมพ์ให้เอเดนดูเป็การยืนยัน “ผมนึกว่าวูดเฮาส์จะเกลียดกริฟฟินไปแล้ว”
“ทำไมเหรอ”
“มีแต่คนติดสินบนวูดเฮาส์เพราะอยากชนะการประมูลครับ พ่อของผมก็เหมือนกัน เื่ที่จะให้ผมแต่งงานกับพวกวูดเฮาส์ถือเป็สินบน แต่ผมไม่ยอม คุณก็รู้ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะให้ชนะ”
“อ๋อ” โจไซอาพยักหน้าเชื่องช้า และมองภาพขาวดำของชายร่างท้วมกับวิลเลียม กริฟฟิน พ่อของเอเดนจับมือกัน
“โจ เป็เพราะคุณเหรอ” เอเดนถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนโจไซอาต้องละสายตาจากข่าว “พ่อแม่ผมถึงไม่บังคับผมอีก”
“เปล่า ฉันไม่ได้—”
“คุณโกหกผมไม่ได้แล้วนะ” เดี๋ยวนี้เอเดนรู้ทันทุกคำโกหกของโจไซอา เทพผู้งดงามจึงสูดหายใจเข้าแล้วค่อย ๆ บอกความจริง
“ฉันสะกดจิตพวกเขาเอง”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อื้อ ง่ายขนาดนั้นเลยแหละ” ไม่ง่ายเลยสักนิด ป่านนี้ที่บ้านของโจไซอาในเมืองเทพคงเต็มไปด้วยจดหมายเรียกให้เข้าพิจารณาโทษ แต่เขาไม่อยากบอกเอเดนเื่นั้น
แต่เอเดนกลับนั่งนิ่ง โดยที่ยังถือแซนด์วิชค้างอยู่ในมือ เขาเหม่อลอยครุ่นคิดไปไกลถึงโลกที่เขาไม่รู้จัก โจไซอาทนมองต่อไม่ไหวจึงอธิบายเพิ่ม
“พวกเทพเฝ้ามองมนุษย์อยู่เสมอ ถ้าขยันน่ะนะ มนุษย์โชคร้ายที่อยู่ในสายตาเทพก็ได้รับความช่วยเหลือทั้งนั้น”
“ผมคือหนึ่งในนั้นเหรอครับ คุณแอบมองผมจากโลกของคุณเหรอ ั้แ่เมื่อไหร่” น้ำเสียงของเอเดนตื่นเต้นกระตือรือร้น เป็เช่นนี้ทุกครั้งที่โจไซอาเล่าเื่โลกของเทพ
“เปล่าหรอก ขอโทษทีนะเอเดน แต่ฉันเป็เทพประเภที้เีน่ะ ฉันเจอเธอครั้งแรกคือคืนนั้นที่คลับ แล้วคนดี ๆ อย่างเธอที่เข้ามาช่วยฉัน สมควรได้รับพรดี ๆ จริงไหม”
“คุณให้ผมมากกว่าที่ผมช่วยคุณแค่ครั้งเดียวอีกครับ”
เอเดนรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยอย่างที่ไม่เคยเป็ เพราะเขาไม่สามารถให้โจไซอาได้มากเท่ากับที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้เขา โจไซอาคือเทพผู้ปลดโซ่ตรวนที่ขังเอเดนในคฤหาสน์กริฟฟินมาตลอดชีวิต เป็พรที่เขาไม่มีวันตอบแทนได้หมดในหนึ่ง่อายุขัยมนุษย์
“เธอกำลังช่วยฉันอยู่ โดยที่เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ” โจไซอาแย้มยิ้มหวานราวดอกไม้ผลิบาน “แค่เธอเกิดมาก็มีค่าแล้ว จำคำนี้ได้ไหม” โจไซอาทวนคำพูดที่เอเดนเคยเอ่ยกับตน
“การที่เธออยู่ข้าง ๆ ฉันทำให้ฉันมีความสุข และแน่นอนว่าทำให้ฉันปลอดภัย”
“ผมปกป้องคุณไม่ได้ด้วยซ้ำโจ ผมไม่ใช่เทพ”
ครั้งแรกที่เอเดนกล้าหาญพอจะช่วยโจไซอาจากเทพแห่งความลุ่มหลงได้นั้นมาจากความไม่รู้ แต่ต่อจากนี้เขารู้แล้วว่าตนเองเป็เพียงมนุษย์ธรรมดา ไม่มีพลังอำนาจอย่างเช่นเทพ หากมีเทพองค์ใดเข้ามาขอให้โจไซอาช่วยเยียวยาโรคนั่น เอเดนไม่รู้เลยว่าเขาจะสามารถปกป้องโจไซอาได้หรือไม่
“ตราบใดที่ฉันมีคนรักเป็ตัวเป็ตนอย่างนี้ พวกเทพไม่มีทางมากวนฉันแล้วละ” โจไซอาเอ่ยอย่างใจเย็น เพราะธรรมเนียมของพวกเทพคือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับเทพผู้มีคนรักอยู่แล้ว เว้นแต่เทพประเภทที่ฉีกขนบ ซึ่งในกรณีนั้นโจไซอาเชื่อว่าเขาสามารถปกป้องตัวเองได้
“ถ้าเป็เมื่อก่อนผมคงไม่เชื่อเื่แบบนี้เลย ผมคิดมาตลอดว่าทุก ๆ คนธรรมดาเหมือนกันหมด”
“พวกเทพมีอยู่แค่เพื่อยืนยันว่าสิ่งนั้นมีจริงในโลกมนุษย์ ไม่ได้วิเศษวิโสมากมายขนาดนั้นหรอก”
เทพแห่งการร่วมประเวณี เกิดมาเพื่อยืนยันว่าความสุข และความทุกข์จากการร่วมประเวณีมีอยู่จริง เทพแห่งความรักอย่างแม่ของโจไซอา เกิดมาเพื่อยืนยันว่าความรักมีอยู่จริงเช่นกัน เทพแค่เป็สัญลักษณ์ของสิ่งนั้น ๆ ไม่ว่าจะจับต้องได้ หรือไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็รูปธรรม หรือนามธรรมที่ยากจะนิยาม แต่หากมีเทพของสิ่งนั้นแล้ว มันย่อมมีอยู่จริงบนโลกมนุษย์ เทพจึงไม่ได้พิเศษกว่ามนุษย์ในสายตาของโจไซอา เขาเชื่อว่าการมีอยู่ของเทพเชื่อมโยงกับชีวิตของมนุษย์
“คุณดูเกลียดพวกเทพด้วยกัน”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ฉันคบหาแต่กับมนุษย์เพราะสุภาพกว่าเทพเยอะ แต่ไม่ได้มีแค่ฉันหรอกที่เป็แบบนี้ พวกเทพก็ชอบมาเที่ยวเล่นแล้วรักกับมนุษย์บ่อย ๆ”
“ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอาจเป็โรครักระทมน่ะเหรอครับ”
“เพราะการรักกับมนุษย์ไม่เหมือนกับการรักเทพด้วยกัน พวกมนุษย์มีความคิดซับซ้อนน่าค้นหา แล้วอีกอย่าง ยิ่งห้ามความรู้สึก มันก็เหมือนกระตุ้นให้รู้สึก”
เอเดนพยักหน้าเห็นด้วย หากเป็เื่ความรักที่เทพมีไม่ต่างกับมนุษย์นั้นเอเดนจะเข้าใจมันดี ความรักทำให้คนโง่เขลาได้ ก็ทำให้พวกเทพโง่เขลาได้เช่นกัน เราต่างก็กระโจนเข้าหาความรักหอมหวานไม่ว่าจะเสี่ยงต่อการทนทุกข์และความเ็ปมากแค่ไหน
มีอีกหนึ่งคำถามที่เอเดนไม่กล้าพูดออกไป
แม้เทพรู้ดีกว่าใครว่าอายุขัยของมนุษย์นั้นสั้น
แต่ทำไมเทพยังอยากรักกับมนุษย์ที่อาจตายจากไปในอนาคต ไม่ว่าใกล้หรือไกลก็ตาม
เช้าวันต่อมา เอเดนมีความคิดดี ๆ และลงมือทำทันทีที่ตื่นนอน เขาขับรถสปอร์ตสีขาวของโจไซอาออกไปจากบ้านชั้นเดียวในตอนสาย โดยทิ้งจดหมายอันกำกวมบอกเทพขี้เซาว่าจะรีบกลับมาก่อนเที่ยง และไม่ยอมบอกว่าตนเองหายไปไหน เมื่อโจไซอาเห็นกระดาษแผ่นนั้นจึงร้อนรน เตรียมจะเขียนจดหมายอักขระถึงพ่อให้ช่วยตามหาเอเดน แต่รถสีขาวก็ขับเข้ามาในรั้วบ้านก่อน
“หายไปไหนมา!” โจไซอาโวยวาย แต่เอเดนกลับยิ้มกว้างแล้วชูถุงกระดาษสีขาวสองถุงขึ้น
เอเดนซื้อสมาร์ทโฟนกับแท็บเล็ตให้โจไซอา เพราะเห็นแววตาสนอกสนใจของอีกฝ่ายที่มองหน้าจอมือถือของเอเดนเมื่อคืนนี้ จึงตั้งใจจะสอนโจไซอาให้รู้จักมันอย่างถ่องแท้ เพื่อให้อยู่ในโลกมนุษย์อย่างกลมกลืนมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้ติดต่อกันสะดวก
“ถ้าแค่โทรเข้าโทรออกฉันรู้หน่า โทรศัพท์มีมาตั้งหลายปีแล้ว เบอร์เธอคืออะไรล่ะ แต่บอกก่อนว่าฉันความจำไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ อายุตั้งร้อยเก้าปีมันก็ต้องมีเื่ที่ลืมกันบ้าง ยิ่งตัวเลขฉันยิ่งจำไม่เก่งเลย จดใส่กระดาษมาก็ได้”
โจไซอาพูดรัวเมื่อเอเดนส่งสมาร์ทโฟนสีขาวที่สอนการใช้งานเบื้องต้นเช่นการโทรเข้าและโทรออกให้ แต่ความใสซื่อของเทพกลับทำให้เอเดนหัวเราะท้องแข็ง ท่ามกลางสายตาสงสัย
“ขำอะไร”
“เดี๋ยวนี้ไม่ต้องจดใส่กระดาษกันแล้ว บันทึกในเครื่องได้เลย”
“อ๋อ เก่งเนอะ พวกมนุษย์น่ะ”
โจไซอาตื่นเต้นเป็พิเศษเมื่อสามารถค้นหาสิ่งที่้าได้จากช่องค้นหาในโทรศัพท์ และสามารถอ่านข่าวที่มีเสียงกับภาพเคลื่อนไหวผ่านแท็บเล็ต ยิ่งไปกว่านั้น เขาเบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้าเมื่อเอเดนหยิบแท่งเรียวยาวเหมือนกับที่ตนเองใช้เขียนจดหมายอักขระเทพมาขีดเขียนบนแท็บเล็ต แล้ววาดรูปโจไซอาในหน้าจอนั่นได้ แล้วยังสามารถลบได้ด้วยแท่งเรียวยาวแท่งเดิม เพราะตอนเขียนจดหมายอักขระเทพ หากเขียนผิดเขาต้องขีดทิ้งแล้วเขียนแก้คำใหม่ หากเป็จดหมายทางการหรืออยากให้สวยงามเป็ระเบียบ เขาต้องเขียนกระดาษแผ่นใหม่เท่านั้น
“จริงสิ ตอนไปห้องนอนของเธอฉันจำได้ว่าเธอมีเครื่องพวกนั้นอยู่ด้วย ฉันไม่ได้เตรียมไว้ให้เธอในบ้านหลังนี้เลย” โจไซอานึกถึงมุมหนึ่งในห้องนอนเอเดนที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์วางอยู่
“เครื่องอะไรเหรอครับ”
“เครื่องแบบนี้อะ” โจไซอาวาดมือเป็รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า “ที่มีแบบนี้ แล้วก็ที่เหมือนพิมพ์ดีด”
“คอมพิวเตอร์ครับ”
“ใช่ คอมพิวเตอร์ ฉันจะบอกให้คนเตรียมไว้ให้นะ เธอจะได้มีไว้ใช้” ครอบครัวของโจไซอามีผู้ช่วยที่เป็มนุษย์อยู่หนึ่งตระกูล มีหน้าที่คอยดูแลธุระต่าง ๆ ในโลกมนุษย์ให้กับโจไซอาสืบต่อกันมาหลายรุ่น และมีชื่อจารึกอยู่ในบัญชีของเทพอารักษ์กฎว่าเป็มนุษย์ที่ได้รับอนุญาตให้รู้เื่เทพ
“เอาอย่างนี้ไหมครับ พรุ่งนี้เราไปซื้อด้วยกัน” แต่เมื่อมีเอเดนอยู่ข้างกาย เื่เล็กน้อยเช่นนี้เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสในการทำมันด้วยกัน เพราะเอเดนชอบการทำหลายอย่างกับโจไซอาเหมือนกับคู่รักทั่วไป
“ต้องใช้เงินเยอะหรือเปล่า คือฉัน…”
“ทำไมครับ”
“เอาเงินออกมาจากตู้นั่นไม่เป็น่ะ”
โจไซอาหมายถึงการนำบัตรเครดิตที่ผู้ช่วยมอบให้กดเงินสดออกมาจากตู้เอทีเอ็ม เอเดนจึงต้องเริ่มสอนเื่ระบบจ่ายเงินให้โจไซอา รวมถึงวิธีการใช้บัตรเครดิตแบบไม่ต้องกดเงินสดออกมา แม้ความทรงจำอันหนาแน่นในหัวของเทพจะไม่ค่อยอยากรับข้อมูลละลานตามากมายเท่านี้
และเสียงกริ่งหน้าบ้านที่ไม่เคยดังเลยก็ขัดจังหวะทั้งคู่ ขณะทดลองถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าของสมาร์ทโฟน
“จดหมายเทพหรือเปล่าครับ เหมือนครั้งก่อน”
“น่าจะใช่ รู้ได้ยังไงนะว่าฉันมาอยู่ที่นี่”
โจไซอาบ่นพึมพำแล้วเดินไปเปิดประตูบ้าน เอเดนเริ่มปรับตัวให้เคยชินกับเื่ไม่คาดฝันได้ระดับหนึ่งจึงนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นเช่นเดิม แล้วเลื่อนดูภาพในสมาร์ทโฟนพลางยิ้มขำกับใบหน้าตื่นใของโจไซอาที่เพิ่งรู้จักกล้องหน้าเป็ครั้งแรก
“ท่านแม่!” เสียงหวานที่ะโร้องด้วยความใทำให้เอเดนละสายตา
คนตรงหน้าโจไซอาไม่ใช่ผู้ส่งจดหมายเทพที่อยู่ในร่างมนุษย์ชายหนุ่มอย่างที่คิด แต่คือหญิงสาวร่างบอบบาง ผมเป็ลอนคลื่นยาวถึงเอว มีสีทองหม่นเหมือนผมโจไซอา ใบหน้าสวยสง่ากับดวงตาเป็ประกายสดใส จมูกโด่งปลายเชิด ริมฝีปากเป็กระจับสีแดง ผิวหน้าผิวกายนวลเนียน ยามแย้มยิ้มเหมือนดอกไม้ผลิบาน อันเป็ที่มาของรอยยิ้มแบบเดียวกับโจไซอา เอเดนลุกขึ้นยืนเพราะจำหญิงคนนี้ได้ดี เธอคือผู้ที่อุ้มโจไซอาครั้งเมื่อเป็ทารกในอ้อมแขน
เธอถืออะไรบางอย่างในมือ แล้วชูมันขึ้นมาระดับสายตา ซึ่งคือม้วนกระดาษสีอมเหลืองสองม้วนที่ผูกด้วยเชือกสีแดงเหมือนกัน โจไซอาดูลนลาน หันมองเธอกับเอเดนสลับกันอย่างมีพิรุธ ดึงม้วนกระดาษสองแผ่นในมือเธอมาซ่อนไว้ด้านหลังและยิ้มกลบเกลื่อน โจไซอาพาเธอเข้ามาในบ้าน หยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูง มนุษย์หนึ่งเดียวในนี้
“เอเดน นี่แม่ของฉันเอง ท่านแม่ นี่คือ…”
“เอเดน กริฟฟิน” เสียงของเธอไพเราะราวนกขับขาน เธอยิ้มกว้างอย่างยินดีที่ได้พบคนรักของลูกหัวแก้วหัวแหวน “อยากเจอมานานแล้วละ”
“ผมเห็นคุณด้วยครับ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะมีโอกาสได้เจอกันไหม” เอเดนยื่นมือขวาออกไปหาเธอ แต่เธอกลับมองมือใหญ่ด้วยความงุนงงและหันมองโจไซอา
“จับมือไงท่านแม่ ทักทายแบบมนุษย์”
“อ้อ ยินดีที่ได้เจอเอเดน กริฟฟิน แหม วิธีทักทายแบบมนุษย์น่ารักจัง” เธอเอ่ยชื่อเต็มทุกครั้งเพราะชอบที่มนุษย์มีนามสกุล แล้วยังใช้มือทั้งสองข้างของตนเองจับมือใหญ่ของเอเดนเป็การทักทาย
“ผมก็ยินดีที่ได้เจอครับ”
“มีเื่อยากคุยด้วยเยอะแยะไปหมด แต่ว่าโจไซอา คงเห็นเชือกสีแดงแล้วว่าจดหมายด่วน—” เธอพูดได้ไม่จบประโยค เพราะลูกชายสุดที่รักของเธอบีบแขนห้ามเอาไว้ โจไซอาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเธอ พาเธอเดินถอยหลังออกจากห้องนั่งเล่นไปที่ห้องนอน
“ขอตัวก่อนนะเอเดน พอดีว่าเป็เื่… สำคัญน่ะ” โจไซอายิ้มเจื่อน การหยุดคิดและแววตาเช่นนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าโกหก เอเดนจับสังเกตได้ทันที แต่เพียงแค่ยิ้มและพยักหน้าเบา ๆ ให้ทั้งคู่คุยกันตามสบาย
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้บอกเอเดนเื่นั้น” โจไซอาทำเสียงอ้อนทันทีเมื่ออยู่กับแม่เพียงลำพัง
“ขอโทษลูกรัก ก็ไหนเขียนมาบอกแม่ว่าลูกบอกเอเดน กริฟฟินทุกเื่นี่”
“มีเื่กฎเทพและบทลงโทษที่ลูกไม่อยากบอก ลูกไม่อยากให้เขาคิดมาก แล้วก็เื่… ะ”
“เข้าใจโจซี่ แม่เข้าใจลูก” เธอนั่งหลังตรงที่ปลายเตียง โจไซอานั่งข้าง ๆ เธอ แล้วหยิบม้วนกระดาษจดหมายเทพสองฉบับออกมา
“จดหมายสองฉบับนี้มีข่าวดีกับข่าวร้าย ลูกอยากรู้เื่ไหนก่อนล่ะ” เธอถามลูกชาย
“เทพที่จะติดคุกอย่างลูกมีข่าวดีด้วยเหรอ”
“มีสิ แต่จะเป็ข่าวดีก็ต่อเมื่อลูกจัดการข่าวร้ายได้ก่อน” เธอหยิบม้วนที่ใหญ่กว่ามาแกะเชือกสีแดง แล้วกางออก “โจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณี ต้องเข้าร่วมพิจารณาโทษ ข้อหากระทำผิดกฎเทพข้อที่ 2,609 ห้ามสะกดจิตมนุษย์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หากไม่รายงานตัวกับเทพอารักษ์กฎด้วยตนเองภายในหนึ่งวัน จะต้องรับโทษจำคุกเทพเป็เวลา—”
“พอ ๆ ท่านแม่ ลูกจะไป”
“ใช่โจซี่ ลูกต้องไป ฉบับนี้ส่งมาเมื่อเช้า หมายความว่าลูกต้องกลับบ้านกับแม่ตอนนี้เลย”
“แล้วลูกจะบอกเอเดนยังไง ลูกไม่อยากห่างกับเขาเลยด้วยซ้ำ”
“โธ่ โจซี่ ลูกกังวลเื่มนุษย์คนนี้คนเดียว มากกว่าการเตรียมตัวเข้าพิจารณาโทษกับเทพอารักษ์และซาตานเป็ร้อยที่คอยจับโกหกลูกเหรอ” โจไซอาทำปากคว่ำเมื่อถูกดุ เขายกมือขยี้ผมของตัวเองจนยุ่งเหยิง และถอนหายใจ
“เื่เหตุผลให้พ้นโทษ ลูกมีอยู่แล้ว ท่านแม่ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกห่วงเอเดน เขาจับโกหกลูกได้ดีกว่าเทพอารักษ์กฎอีก” เธอยิ้มให้ลูกชาย แล้วหยิบจดหมายอีกฉบับมากางเป็ทางออกให้โจไซอา
“นี่ไงลูกรัก อ่านดูสิ”
โจไซอารับจดหมายอีกฉบับมาอ่าน กระดาษสีอมเหลืองแผ่นนี้มีความประณีตมากกว่าจดหมายจากเทพอารักษ์กฎ อักขระเทพเขียนอย่างบรรจงและสวยงาม เมื่อโจไซอากวาดตาอ่านข้อความเ่าั้ ก็ต้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“งานแต่งงานของเทพแห่งความฝันครั้งที่ 98 เหรอครับ”
เอเดนเอ่ยถามขณะจัดของแปลกประหลาดที่ไม่รู้จักของโจไซอาเรียงใส่กระเป๋าถืออย่างเป็ระเบียบ
“ใช่ เขาชื่อว่าจูลิโอ เพื่อนสนิทของฉันเอง”
โจไซอาตอบ พร้อมหมุนตัวและมองตัวเองในกระจก เพราะจูลิโอแต่งงานกับมนุษย์ เขาจึงตั้งใจจะแต่งกายแบบมนุษย์ร่วมงาน แล้วใช้เื่งานแต่งมาเป็ข้ออ้างให้เอเดนไม่สงสัยเื่การพิจารณาโทษ เอเดนกางจดหมายอักขระเทพทั้งสองฉบับดู และพบว่าไม่มีอะไรอยู่ในกระดาษเลย เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นอักขระเทพได้
“ทำไมถึงเป็ครั้งที่ 98 ล่ะครับ”
“หมายถึง ครั้งที่ 1 ถึง 97 ไปไหนใช่ไหม” โจไซอาถอดเสื้อสูทตัวนอกออก แล้วเอาอีกตัวมาลองสวม
“ใช่ครับ”
“จูลิโอมีรสนิยมเหมือนฉัน เขาคบหากับมนุษย์” เอเดนยังคงไม่เข้าใจคำตอบอ้อมค้อมจึงขมวดคิ้ว
“หมายถึงคนก่อน ๆ ตายไปแล้วน่ะ”
เขาชะงักนิ่งเมื่อโจไซอาช่วยไขข้อสงสัยจนกระจ่าง เอเดนจ้องมองร่างเพรียวบางเปลี่ยนชุดเป็ชุดลำลองแบบที่อีกฝ่ายชอบสวม แล้วเก็บชุดสำหรับงานแต่งใส่กระเป๋าอีกใบ โจไซอาตอบคำถามเขาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พร้อมจัดแจงสัมภาระราวมันเป็เื่ปกติ
“แล้วถ้ามนุษย์ตายไป เทพจะเป็โรครักระทมไหมครับ”
“ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์รักเทพจนวันตายไหม” โจไซอาเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาหาเอเดนด้วยรอยยิ้ม พร้อมดึงจดหมายเทพในมือทั้งสองฉบับมาม้วนเก็บใส่กระเป๋า
“รักนิรันดร์มีอยู่จริงนะรู้ไหม” มือเรียวจับกรอบหน้าของเอเดน มองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเช่นที่ทำเสมอ
ั้แ่พ่อกับแม่ที่รักกันมานานหลายร้อยปี และมนุษย์ 98 คนที่รักจูลิโอ เพื่อนสนิทของเขาจนวันตาย แม้จะแก่จนเดินไม่ไหว แม้เวลาผ่านไปแต่ยังคงรักเทพแห่งความฝันไม่เปลี่ยนแปลง จูลิโอจึงไม่เคยเป็โรครักระทมเลยสักครั้ง ทำให้โจไซอาเชื่อมั่นในรักนิรันดร์ แล้วคิดอย่างจริงจังว่าความรักของตนเองที่มีให้เอเดน และความรักของเอเดนที่มีให้เขาตอบกลับมาจะคงอยู่ตลอดไป
เขาจุมพิตริมฝีปากบางแ่เบา กดแนบค้างอยู่นาน แล้วกอดรับความอบอุ่นจากผิวกายของอีกฝ่าย
“อาทิตย์หน้าฉันจะกลับ”
“ผมจะรอครับ”
“ไปก่อนนะ” เอเดนจูบดูดดึงโจไซอาเสียนาน ราวกักเก็บความสุขเอาไว้
“ผมต้องคิดถึงคุณแน่เลยโจ”
“ฉันก็จะคิดถึงเธอเหมือนกันเอเดน”
ร่างเพรียวบางกับกระเป๋าถือทรงกล่องใบใหญ่สำหรับเสื้อผ้า และอีกหนึ่งใบสำหรับของใช้ส่วนตัวเดินออกไปจากตัวบ้าน เอเดนคอยมองไม่ละสายตา เมื่อเท้าสองข้างเหยียบพื้นหญ้า โจไซอาก็หันมามองเอเดนอีกครั้ง โบกมือลาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินหายวับไปในอากาศ
เอเดนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูบ้านชั้นเดียว พร้อมกับใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้