เฉียวเยว่ไม่เชื่อว่าเพียงเพราะสาวใช้นำเครื่องประดับไปขายจะเป็ต้นเหตุของการสืบสาวมาถึงเื่นี้ แต่หลังจากพิจารณาท่าทีตอบสนองของหวังหรูเมิ่งอย่างละเอียด ยังมีสิ่งใดไม่กระจ่างอีกเล่า
เห็นชัดว่าหวังหรูเมิ่ง้าเปิดโปงเื่เหล่านี้สู่สาธารณะ ้าให้ไท่ไท่ใหญ่ชอกช้ำใจ และตัวนางเองก็อยากมีบุตร
มีเพียงการมีบุตรเท่านั้น หวังหรูเมิ่งถึงจะมีที่พึ่งเมื่ออายุเริ่มมากขึ้นและมีที่ยืนอย่างมั่นคงในตระกูลนี้
"ไม่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่หรือหวังหรูเมิ่งล้วนน่าชังทั้งคู่"
"หวังหรูเมิ่งจับได้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่คิดจะทำลายความหวังของนาง จึงวางแผนโดยใช้เรือนสามของพวกเราเป็ข้ออ้าง" อิ้งเยว่รินน้ำชาให้น้องสาว ระหว่างที่สนทนากัน
เฉียวเยว่แค่นเสียงเยาะ "โลกนี้ไม่มีใครโง่เขลาเบาปัญญา หวังหรูเมิ่งกับป้าสะใภ้ใหญ่ต่างไม่กลัวที่จะล่วงเกินเรือนสามของเรา แต่พวกเราดูเป็คนที่รังแกง่ายนักหรือ?"
"เ้าอย่าทำสิ่งใดส่งเดชเป็อันขาด" อิ้งเยว่รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในถ้อยคำของนาง
อุปนิสัยตาต่อตาฟันต่อฟันของเฉียวเยว่ไม่รู้เมื่อไรถึงจะดีขึ้น
เฉียวเยว่เงยหน้ายิ้มอ่อนจาง "ค่อยเป็ค่อยไป" ในความจริงจังระคนไปด้วยความเ็า "เมื่อพวกเขากล้าดึงพวกเราเข้าไป ข้าก็จะจับตาดูว่าต่อไปพวกเขาจะทำอะไรผิดอีกบ้าง"
"ทำผิดไม่ผิดอันใด?" ซูซานหลางเดินเข้ามา มองบุตรสาวทั้งสองอย่างพิจารณา "พวกเ้าทำธุระของตนเองไปเถอะ ปัญหาในบ้านย่อมมีพ่อแม่อย่างพวกเราเป็คนจัดการ"
ซูซานหลางหันมาจ้องเฉียวเยว่ "โดยเฉพาะเ้า นางหนูตัวแสบ"
เฉียวเยว่ชูมือทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ "ข้าไปล่วงเกินใครที่ไหนกัน วันนี้ถูกคนใช้เป็เหยื่อเป้าล่อไม่ว่า ตอนนี้ยังถูกบิดารังเกียจรังงอน"
ซูซานหลางแสดงท่าทีเมินเฉย "ข้าไหนเลยจะปล่อยให้เ้าได้รับความไม่เป็ธรรม เ้าอย่าคิดเยอะ ข้าจัดการเองได้ วันนี้ข้าช่วยคุยให้เ้าแล้ว หลังพ้นปีใหม่ เ้าต้องสอบเข้าสำนักศึกษาสตรี การสอบแบ่งเป็หลายแขนง ขี่ม้ายิงธนูจะขาดตกบกพร่องไม่ได้ เื่ขี่ม้าเ้ายังพอไหว แต่ยิงธนูเคยทดลองเพียงไม่กี่ครั้ง ข้าไม่วางใจ ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไปเ้าจะต้องฝึกยิงธนู่บ่ายของทุกวัน"
เฉียวเยว่ะโอย่างตื่นเต้น "เ้าค่ะ"
นางค่อนข้างสนใจเื่เหล่านี้อยู่แล้ว
ซูซานหลางพบว่าบุตรของครอบครัวอื่นมักหวาดวิตกกับการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ครอบครัวเขากลับไม่เป็เช่นนั้น โดยเฉพาะบุตรสาวสองคนนี้ มักกระตือรือร้นกับทุกสิ่งที่ทำอยู่เสมอ
นึกมาถึงตรงนี้เขาค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น
"หากสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีไม่ได้ ข้าจะหัวเราะเยาะเ้าทุกวันเลย" อิ้งเยว่กล่าวเสียงเรียบ
เล่นขู่กันอย่างนี้ เฉียวเยว่ไหนเลยจะยอม
"พี่สาว ท่านคิดว่าข้ากลัวหรือไร?" พูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าน่าขัน
"เรียนนายท่านสาม จวนอวี้อ๋องส่งขนมมาให้คุณหนูเจ็ดหนึ่งตะกร้าขอรับ" บ่าวชายเข้ามารายงาน
ซูซานหลางนิ่วหน้า "เป็ผีร้ายตามรังควานไม่จบไม่สิ้นจริงๆ"
ไม่ใช่ว่าคนผู้นี้ไม่ดี แต่นึกถึงว่าบุตรสาวของตนเองเริ่มโตเป็สาวแล้ว เขาก็เริ่มเกิดความหวาดระแวง
"จะว่าไปอายุของเขาก็เกือบยี่สิบปีแล้ว เหตุใดยังไม่หมั้นหมายเสียที ควรรีบๆ หมั้นไปเสีย จะได้สงบลงบ้าง"
ซูซานหลางชำเลืองมองบุตรสาว "ข้าไม่อยากได้บุตรเขยมีอายุที่เข้าใจยาก"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืด "ท่านพ่อพูดอะไรน่ะ เด็กดีน่ารักเช่นข้า จะไปต้องตาเขาได้อย่างไร ข้าเรียกเขาพี่จ้าน ก็เน้นอยู่สองคำว่าพี่ชาย อีกอย่างข้าเพิ่งเก้าขวบ เพิ่งเก้าขวบเองนะเ้าคะ เด็กอายุแค่นี้ต้องใคร่ครวญเื่ออกเรือนแล้วหรือ? ข้ายังเป็แค่ต้นอ่อนที่พวกท่านเพิ่งเพาะปลูกขึ้นมา ไม่ทันไรก็จะให้คนขุดไปแล้ว ท่านอาจพอใจ แต่ข้าไม่พอใจ ข้ายัง้าเจริญเติบโตเป็ผักกาดขาวหัวใหญ่ๆ ที่แข็งแรง"
นางพูดทีเล่นทีจริงแฝงแววหยอกเย้าอยู่หลายส่วน
อิ้งเยว่แทบสำลักกับการเปรียบเทียบของนาง "เ้านี่ช่างเปรียบเทียบได้ไร้สาระจริงๆ หากเป็เช่นนี้ ข้าว่าเ้าสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีไม่ผ่านหรอก ความคิดหยาบกระด้างเกินไป"
เฉียวเยว่หัวเราะเยาะ "พี่สาว ข้าทั้งงดงามเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ สอบไม่ผ่านหรือ? น่าขัน เด็กเรียนน่ะ เข้าใจหรือไม่?"
นางเชิดหน้าพลางคุยโวโอ้อวด
ซูซานหลางหมุนตัวออกมาเงียบๆ "เอาขนมของอวี้อ๋องส่งมาให้คุณหนูของพวกเ้า"
เฉียวเยว่รั้งชายกระโปรงแล้วหมุนเป็วงกลม "กินแล้วข้าก็ไม่อ้วน ไม่อ้วน ไม่อ้วน"
ช่างเป็คนขี้โม้จริงๆ
อวี้อ๋องจามติดกันสองครั้ง ก็หันไปพูดกับซื่อผิงผู้เป็บริวาร "ข้ารู้สึกว่านางกำลังนินทาข้าลับหลัง"
ซื่อผิง "..."
นางไหน?
ซื่อผิงทำหน้างุนงง
"เ้าออกไปเถอะ โง่บริสุทธิ์จริงๆ" อวี้อ๋องเอ่ยอย่างรำคาญ
ซื่อผิง "..."
อยู่ๆ ก็ถูกแหนงหน่าย พูดตามตรง เขาไม่รู้จะว่าอย่างไรดีแล้ว
พอเห็นซื่อผิงออกไปแล้ว หรงจ้านก็ลูบคลำตะกร้าที่ส่งกลับมาพลางถอนหายใจ "ตอนนี้แม้แต่จดหมายก็ไม่ตอบมาแล้ว พอโตขึ้นก็ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กๆ"
พอนึกถึงความจ้ำม่ำของนางที่หายไป เขาก็ถอนใจอีกครา "เ้าตัวเล็กเนื้อแน่นน่าเอ็นดูหายไปหมดเลย"
อวี้อ๋องนิ่งอยู่นานก็หยิบพู่กันเขียนจดหมาย แล้วเรียก "ซื่อผิง"
"เ้านายมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือขอรับ?"
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ "เอานี่ไปส่งให้ซูซานหลางที่จวนซู่เฉิงโหว บอกว่าข้าเชิญเขา"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ไม่ให้เด็กกินข้าวคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง!
แม่นางน้อยน่ารักเช่นนั้น เหตุใดถึงกลายเป็สาวสวยแบบดาษดื่นทั่วไป?
พูดตามตรง ซูซานหลางไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าการที่เฉียวเยว่น้อยที่น่าเอ็นดูของพวกเขาเพียงแค่เนื้อน้อยลงไปกลายเป็โฉมสะคราญจะทำให้อวี้อ๋องไม่พอใจได้ ซ้ำอวี้อ๋องเข้าใจผิดว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ให้เฉียวเยว่กินข้าวอีกต่างหาก
ถึงขั้นต้องเรียกไปสนทนา
ดวงซวยอะไรเช่นนี้!
แน่นอนว่าเฉียวเยว่ไม่รู้เื่
เพราะนางต้องไปเรียนขี่ม้ายิงธนูก็เลยต้องตัดชุดขี่ม้า จึงตื่นเต้นดีใจมาก
"เ้าอยู่เงียบๆ บ้างได้หรือไม่" ไท่ไท่สามถอนหายใจ
พูดเจื้อยแจ้วตลอดเวลา น่ารำคาญจะแย่อยู่แล้ว
เฉียวเยว่เอียงคอถาม "เรือนใหญ่เป็อย่างไรบ้างหรือเ้าคะ"
จู่ๆ ก็นึกถึงเื่นี้ขึ้นมา
ไท่ไท่สามนิ่งไปสักพักก็ถามว่า "เ้าไปได้ยินอะไรมาอีกล่ะ ถึงทำท่าทางเช่นนี้"
"ต่อไปจะไม่มีเื่เช่นนี้อีก เ้าวางใจเถอะ"
นอกจากคิดจะกำราบหวังหรูเมิ่งให้เร็วที่สุด พี่สะใภ้ใหญ่ก็ยังคิดจะวางอำนาจข่มพวกเขาที่เพิ่งจะเดินทางกลับมา
ส่วนหวังหรูเมิ่งก็คิดแค้นที่ตอนนั้นเรือนสามของพวกเขาไม่ยอมเป็สื่อกลางให้
เฉียวเยว่แค่นเสียงเยาะ "ล้วนแต่เป็พวกโง่งมกลับนึกว่าตนเองฉลาดเสียเต็มประดา"
"เ้ารู้?"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ "ข้าย่อมทราบสิเ้าคะ ทั้งเรือนใหญ่เรือนสองเคยหยุดพักเสียที่ไหน"
ไท่ไท่สามย่อมเข้าใจเหตุผล เดิมทีนางนึกว่าถึงแม้พี่สะใภ้ใหญ่จะมีความคิดของตนเอง ก็ไม่น่าจะทำอะไรที่โง่งม แต่ดูจากตอนนี้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตนเองหรือไม่ หากกระทบถึงจะเป็เื่โง่นางก็ไม่สนใจ
"อยู่ให้ห่างจากพวกเขาหน่อยก็ดี" นางกล่าว
เฉียวเยว่ตอบอื้อ แสดงให้เห็นว่าเข้าใจแล้ว
หลังเปลี่ยนเป็ชุดขี่ม้าเรียบร้อย ก็เอ่ยขึ้นว่า "ข้าจะไปสนามม้ากับฉีอันนะเ้าคะ"
"ไปเถอะ พาบ่าวชายไปด้วย แล้วก็ต้องระมัดระวังตัว เข้าใจหรือไม่?" ไท่ไท่สามกำชับ
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างแรง
ยุคสมัยนี้มีเื่แปลกอยู่อย่าง สามัญชนทั่วไปไม่สามารถเลี้ยงม้าเกินจำนวนที่กำหนดได้ การควบคุมเป็ไปอย่างเข้มงวด ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน
และด้วยเหตุนี้หากผู้ใดจะฝึกขี่ม้าก็ต้องไปฝึกในสนามซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ในเมืองหลวงมีสนามม้าเพียงสองแห่ง และหนึ่งในนั้นก็เป็ของราชวงศ์
คุณหนูสูงศักดิ์อย่างพวกเฉียวเยว่กลัวว่าจะเกิดเหตุมิดีมิร้าย ดังนั้นย่อมจะเลือกสนามม้าแห่งนี้ เพียงลงทะเบียนเรียบร้อย ก็สามารถเข้ามาฝึกฝนได้
นางสวมชุดขี่ม้าสีแดง ส่วนฉีอันสวมชุดขี่ม้าสีน้ำเงินเข้ม
ทั้งสองออกมาด้วยกัน เฉียวเยว่เอ่ยขึ้นว่า "ไม่ได้กลับมาเมืองหลวงเสียนาน รู้สึกไม่คุ้นชินเสียแล้ว"
"ตอนที่ยังไม่ไปจากเมืองหลวง เ้าก็ไม่ค่อยจะได้ออกมาข้างนอกเท่าไรอยู่แล้ว" ฉีอันค่อนแคะ
"เ้ามันน่าเบื่อ"
ทั้งสองมาถึงสนามม้า ผู้ติดตามก็กล่าวเตือน "คุณชายสี่ คุณหนูเจ็ด ในสนามม้าแห่งนี้คนเยอะ อย่าเลินเล่อเป็อันขาด และอย่าขี่ม้าเร็วเกินขอบเขตที่กำหนดนะขอรับ"
อยู่ในสนามม้าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็สำคัญ
"พวกเราทราบแล้ว ท่านอาหลีไม่ต้องเป็ห่วง"
ท่านอาหลีเป็ผู้ติดตามของซูซานหลาง เป็หนึ่งในผู้คุ้มกันซึ่งร่วมออกเดินทางไปท่องเที่ยวกับพวกเขา ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับพวกเขาสองพี่น้องเป็อย่างดี
เฉียวเยว่มองไปไม่ไกลนัก "ม้าตัวนั้นช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก"
"นั่นคืออาชาเหงื่อโลหิตซึ่งเป็บรรณาการจากซีอวี้" เสียงทุ้มต่ำของบุรุษแว่วมา เฉียวเยว่หันไปมองดวงหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที นางเชิดหน้า แล้วกดเสียงในลำคอให้ต่ำ "ท่านทายซิ ข้าเป็ใคร?"
บุรุษที่เอ่ยปากผู้นี้หาใช่ใครอื่น แต่เป็ิ่จื้อรุ่ยที่ไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว ตอนนี้เขาเติบโตเป็ชายหนุ่มที่แข็งแรงคนหนึ่ง
ิ่จื้อรุ่ยมองเด็กหญิงเรือนร่างเพรียวบางอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากก็โค้งขึ้น "แม้เ้าจะผอมลง แต่ก็ยังมีนิสัยเหมือนกระต่ายอ้วนตัวเดิมอยู่ดี เพียงแค่เอ่ยปากก็จำได้แล้ว"
"พี่จื้อรุ่ย ท่านไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย ตกลงกันเสียดิบดีว่าจะเป็พี่ชายให้ข้า แต่มีพี่ชายที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ น้องสาวกลับมาทั้งที ตัวก็ไม่มา ของขวัญก็ไม่มี"
"ไม่ให้ความสนใจกันเลย" เฉียวเยว่ค่อนขอด
ฉีอันเข้าไปกอดิ่จื้อรุ่ย "พี่จื้อรุ่ย ดูข้าสิ สูงกว่าเมื่อก่อนมากหรือไม่?"
ิ่จื้อรุ่ยหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า "ดูแข็งแรงขึ้น การเดินทางครานี้ไม่สูญเปล่าจริงๆ”
การพูดจาของเขาดูเป็ผู้ใหญ่ขึ้น ไม่มีกลิ่นอายความเป็เด็กเหมือนเมื่อก่อน
เฉียวเยว่ถอนหายใจ "ท่านไม่สนใจข้าเลย"
ิ่จื้อรุ่ยหันไปมองเฉียวเยว่อีกครา "หาได้มิสนใจเ้า วันนี้ข้าเพิ่งเข้าเมืองหลวง ข้าไปเยี่ยมบิดามารดาที่ชายแดนมา"
"แม่ทัพิ่กับท่านป้าสบายดีหรือไม่?" เฉียวเยว่ถามทันที
"สบายดี" ิ่จื้อรุ่ยพยักหน้า
เขาพิจารณาเฉียวเยว่อีกครั้ง ก่อนนิ่งไปสักพักแล้วเอ่ยว่า "เ้าอยู่ข้างนอกไม่ได้กินอิ่มท้องเลยหรือ?"
เฉียวเยว่หัวเราะขบขัน "ไม่ใช่อยู่แล้ว เหตุใดพูดเช่นนี้กันทุกคนเลยเล่า เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าโตขึ้น สวยขึ้น พวกท่านกลับรับไม่ได้กัน"
ิ่จื้อรุ่ยนิ่งไปอีกหน จับใจความสำคัญของนางได้ "พวก...ท่าน?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ท่านนี่ ก็ยังมีท่านพี่อวี้อ๋องอีกคนอย่างไรเล่า ั้แ่ข้ากลับมา เขาก็ส่งของกินมาให้ทุกคน นี่คงคิดว่าข้าอดจนผอมกระมัง ข้ามองออก"
"เขานี่เอง" ิ่จื้อรุ่ยยิ้มบางๆ
แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
เฉียวเยว่รู้สึกได้ถึงความผิดปรกติของน้ำเสียง จึงถามขึ้นทันที "ทำไมหรือ ตอนข้าไม่อยู่ในเมืองหลวงมีเื่น่าสนใจอันใดเกิดขึ้นบ้าง?"
ิ่จื้อรุ่ยเม้มปาก ส่ายหน้า "ไม่มี"
เฉียวเยว่หัวเราะหึๆ ให้เชื่อหรือ? นางไม่เชื่อหรอก
"พูดมาเถอะ หากมีเื่ซุบซิบ ก็ควรแบ่งปันให้ทุกคนสิ"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้