เมื่ออวิ๋นซีเห็นเช่นนั้น ก็โกรธจนกัดฟันกรอด นี่เรียกว่าเป็ท่านน้าอะไรกันเล่า ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อทำให้คนอื่นโกรธตายชัดๆ
อวิ๋นไห่และอวิ๋นซียังคงลับฝีปากกัน กระทั่งอวิ๋นไห่ได้รับชัยชนะจนสุขใจแล้วถึงได้เดินนำพวกเขาไปยังห้องโถงหลัก และทันทีที่อวิ๋นซีกับคนอื่นๆ ปรากฏกายขึ้น คนตระกูลอวิ๋นต่างก็พากันมองมาทางนาง ขณะนั้นอวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียเดินนำอยู่เบื้องหน้า เนื่องจากในวันนี้อวิ๋นซีและจวินเหยียนมาร่วมงานในฐานะผู้น้อย
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นจ้าวลี่เจีย ขอบตาหญิงชราพลันแดงก่ำ นางรีบลุกยืนด้วยคิดจะขึ้นหน้าไปโอบกอดบุตรสาว ตอนนี้คงมีแต่์เท่านั้นที่รู้ว่า นางรอคอยวันนี้มานานเท่าใด ทว่า สามีชราที่นั่งอยู่ข้างกายกลับรั้งไว้ ทำให้นางต้องหันไปมองท่านโหวผู้เฒ่าอวิ๋นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ใช้สายตาถามกลับไปว่า รั้งเยี่ยงนี้จะหมายความเช่นไร
ท่านโหวผู้เฒ่าอวิ๋นตบมือของภรรยาเบาๆ “ให้ลูกได้โขกศีรษะให้เ้าก่อนเถิด ตอนนี้ลูกๆ มาอยู่กันที่นี่แล้ว วันหน้าย่อมมีเวลาให้ได้พูดคุยกันอีกมาก เหตุใดจึงต้องรีบร้อนเอายามนี้ด้วยเล่า หากเ้าทำพวกนางใ ประเดี๋ยววันหน้าพวกนางก็ไม่กล้ากลับมาหาอีกหรอก ตอนนั้นต่อให้เ้าจะมานึกเสียใจภายหลังก็ไม่รู้จะไปร้องไห้กับใครได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเพิ่งจะรู้ว่า ตนดูเหมือนจะรีบร้อนมากเกินไปหน่อยจริงๆ ทว่า จะไม่ให้นางร้อนใจได้อย่างไร เพราะต้องรู้ก่อนว่า คนตรงหน้าคือลูกสาวของนางที่หายตัวไปถึงสี่สิบปี นางรอคอยมาสี่สิบปี ในที่สุดก็มีวันนี้
อวิ๋นซานเห็นจ้าวลี่เจียดูประหม่าเล็กน้อย เขาจับจูงมือนางแล้วกล่าวเสียงเบา “อย่ากังวลเลย เ้ามีข้าอยู่”
จ้าวลี่เจียมองอวิ๋นซาน ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจนางมักจะรู้สึกว่า ขอแค่มีชายข้างกายผู้นี้อยู่ ความน่ากลัวทั้งมวลล้วนสลายหายไปกลายเป็ไม่น่ากลัวเสมอ นอกจากนี้ เมื่อก่อนยามที่นางได้เห็นครอบครัวของคนอื่นใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข นางเองก็เคยเฝ้าฝันอยากจะมีครอบครัวบ้างเช่นกัน เพียงแต่ตอนหลังศิษย์พี่รองทำร้ายใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ความปรารถนานี้ค่อยๆ มลายไป
จนกระทั่งได้มาพบกับอวิ๋นซาน ถึงแม้แรกเริ่มทุกสิ่งจะเป็ไปเพราะสถานการณ์บีบบังคับ แต่่นี้ที่ได้อยู่ด้วยกัน นางก็เห็นบุรุษผู้นี้เป็คนในครอบครัวของนางอย่างแท้จริง บางครั้งยังรู้สึกถึงขนาดที่ว่า การมีบุรุษผู้นี้อยู่ก็เท่ากับว่าตัวนางมีบ้านแล้ว ในเมื่อเป็เช่นนี้ยังจะมีสิ่งใดให้ต้องเป็กังวลอีก ดังนั้น ต่อให้คนตระกูลอวิ๋นจะไม่ชอบนางจริงๆ นางก็หาได้สนใจ เพราะนอกจากตระกูลอวิ๋นแล้ว นางยังมีสามี ยังมีบุตรสาวดังเช่นอวิ๋นซี และยังมีคนอื่นๆ ในครอบครัวอีกหลายคน
นางแย้มยิ้มไปทางอวิ๋นซาน พยักหน้าให้ ก่อนจะก้าวไปด้านหน้าไม่กี่ก้าว คุกเข่าลงเบื้องหน้าท่านโหวผู้เฒ่าอวิ๋นและฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น นางกล่าว “ลี่เจียขอโขกศีรษะคารวะท่านพ่อท่านแม่ ตอนนี้ลูกกลับมาแล้ว วันหน้าจะคอยกตัญญูอยู่ข้างกายท่านพ่อท่านแม่เ้าค่ะ”
คำกล่าวนี้เป็เพียงประโยคธรรมดาที่แสนจะเรียบง่าย ไม่มีกระแสสะอื้น หรือความไม่ยินยอมพร้อมใจใดๆ จ้าวลี่เจียที่ทั้งสุขุมและสง่างามเช่นนี้สามารถดึงดูดความรู้สึกดีๆ จากคนตระกูลอวิ๋นทั้งหลายได้ในทันที โดยเฉพาะเหล่าน้องชายและน้องสะใภ้
แม้แต่ท่านโหวผู้เฒ่าอวิ๋นที่เป็คนเข้มงวดมาโดยตลอดเมื่อต้องเห็นฉากนี้ ขอบตาเหี่ยวย่นก็ยังแดงก่ำ นี่คือบุตรสาวของตนที่ครั้นยังเล็กเขาเคยโอ๋อยู่ในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่เป็หมื่นเท่าพันเท่า อันที่จริงคนที่ควรพูดคำว่าขอโทษมากที่สุดควรเป็เขา หากไม่ใช่เพราะตน ไม่แน่ลูกอาจจะได้เติบใหญ่เป็อย่างดีภายในจวนตระกูลอวิ๋นก็เป็ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นไม่สนใจคำพูดของสามีอีกแล้ว นางรีบรุดเข้ามาประคองบุตรสาวขึ้นด้วยน้ำตานองหน้า กอดบุตรสาวไว้แล้วกล่าวว่า “ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
เมื่อจ้าวลี่เจียได้ยินคำพูดนั้น ขอบตาก็แดงก่ำทันที อ้อมกอดของมารดาเป็เช่นนี้เองหรือ?
รอจนฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นร้องไห้เสร็จแล้ว อวิ๋นซานถึงได้ขึ้นหน้าไปคารวะผู้าุโในฐานะลูกเขย ท่านโหวผู้เฒ่าอวิ๋นมองอวิ๋นซาน ในใจก็พอใจเป็อย่างยิ่ง จากนั้นจึงเป็จวินเหยียนและอวิ๋นซีที่พากันขึ้นหน้าไปคารวะเช่นกัน ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยๆ ใช้เวลาไปถึงหนึ่งเค่อ [1] ถึงได้ทำความรู้จักกับบรรดาญาติในตระกูลอวิ๋นครบ
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นคิดจะให้ลูกสาวคนรองนั่งลงเสียข้างกายนาง เพียงแต่อวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียต่างเห็นว่าทำเช่นนี้นับว่าผิดกฎเกณฑ์ จึงได้ปฏิเสธไป เพียงไม่นานหลังจากนั้นด้านนอกก็มีเสียงรายงานของสาวใช้ดังขึ้น พวกนางบอกว่าอวี๋อ๋อง ชายาอวี๋อ๋อง และอวี๋อ๋องซื่อจื่อมาถึงแล้ว
อวิ๋นซีและคนอื่นๆ ต่างนั่งมองอวี๋อ๋องที่เดินนำชายาอวี๋อ๋องและฮ่าวฟานเข้ามา จากนั้นก็เป็การคารวะกันอีกรอบหนึ่ง รอจนคารวะจนครบทั้งบ้าน ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามแล้ว
ในตอนนี้คนด้านนอกล้วนได้รู้แล้วว่า ที่แท้ชายาอวี๋อ๋องและมารดาของชายาหนิงอ๋องต่างก็เป็คุณหนูจากจวนอวิ๋นอานโหวทั้งสิ้น มิน่าเล่าเพียงมองแวบแรกถึงได้รู้สึกว่า ชายาหนิงอ๋องมีใบหน้าคล้ายชายาอวี๋อ๋องถึงเพียงนั้น ที่แท้คนก็มีสัมพันธ์ทางสายเืกันอยู่
สำหรับการคาดเดาของคนอื่นๆ อวิ๋นซีทำเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ที่นางต้องทำก็เป็เพียงการปกป้องครอบครัวของตนไว้ให้ดี ส่วนอวี๋อ๋องและชายาอวี๋อ๋อง ไม่ว่าวันหน้าจะเป็เสด็จอาและเสด็จอาสะใภ้ของนางก็ดี หรือจะเป็ท่านน้าหญิงกับท่านน้าเขยก็ช่าง แต่จะอย่างไรพวกเขาทั้งสองก็จะไม่ใช่มารดาแท้ๆ และพ่อเลี้ยงอย่างเด็ดขาด
ทว่า สิ่งที่อวิ๋นซีคิดไม่ถึงก็คือ วันนี้เจิ้นหนานอ๋องเองก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน เพียงแต่เขาแค่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างสงบ ส่วนเื่ที่ว่าพวกเขากำลังสนทนาอะไรกันนั้น ดูเหมือนว่าชายชราจะไม่ได้สนใจนัก เพราะดวงตาคู่นั้นตกอยู่บนร่างของลูกชายที่หายไปนานของตน ในสายตาเขาปรากฏแววสำนึกผิดอยู่หลายส่วน
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า สำหรับอวิ๋นซี ตอนนี้เจิ้นหนานอ๋องน่าสงสารมากจริงๆ แต่ว่า คนน่าสงสารก็ยังมีจุดที่น่าแค้นเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เดิมทีอวิ๋นซานยังคิดอยู่ว่า เจิ้นหนานอ๋องจะเดินออกมาป่าวประกาศว่าเขาเป็ลูกชายของตนหรือไม่ แต่ก็โชคดีที่คนไม่ได้ทำเช่นนั้น มิฉะนั้นอวิ๋นซานคงได้ยิ่งแค้นบิดาที่ั้แ่มารดาจากไป ตัวเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดด้วยอีกแล้วผู้นั้นเป็แน่
จ้าวลี่เจียรับรู้ได้ถึงความหดหู่ของสามี นางมองเขาไปทีหนึ่ง ยิ้มพูด “เื่บางเื่ที่ไม่ได้สนใจนานแล้ว ก็ควรต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า สิ่งใดที่เรียกว่าทำราวกับมองไม่เห็น แต่หากว่า เ้ายังใส่ใจอยู่จริงๆ ละก็ เช่นนั้นก็ไปพบเขาเถอะ ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น ตอนนี้พวกเราต่างก็เดินกันมาครึ่งชีวิตแล้ว ส่วนเขา ไม่รู้ว่าจะยังเดินต่อไปได้อีกกี่ปี ไม่ว่าเ้าจะตัดสินใจอย่างไร นับแต่วันแรกที่ข้าตัดสินใจติดตามเ้า เื่ทั้งหมดระหว่างเราก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจแบ่งแยกเ้าข้าได้อีก”
เสียงของนางไม่ได้ดังนัก และมีเพียงอวิ๋นซานเท่านั้นที่ได้ยิน เมื่อเขาได้ยินถ้อยคำกึ่งปลอบใจนั้นก็หันมองจ้าวลี่เจียด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้มาตลอดว่า นางเป็คนมีหัวคิด แต่ก็มิคาดว่าจะพูดจาอะไรเหล่านี้ออกมา เขาเม้มปาก และเป็นานถึงได้พยักหน้าพูดว่า “อนาคต ข้ายินดีใช้ชีวิตต่อไปโดยอยู่เคียงข้างทั้งเ้าและลูก ปกป้องลูกและเ้าเพียงเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังมีลูกสาวของตน มีหลานของตน ทุกสิ่งล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
บางทีการพูดคำเช่นนี้ออกมาอาจจะฟังดูโหดร้ายไปสักนิด แต่ว่าในที่นี้คงไม่มีใครเข้าใจจิตใจของเขาได้ดีที่สุด เพราะในวัยเยาว์ เขาต้องมองดูมารดาของตัวเองตายไปต่อหน้า ความเ็ปนั้น ต่อให้ตอนนี้จะนึกใบหน้าของมารดาไม่ออกแล้ว แต่ความหนาวเหน็บที่เสียดแทงก็ยังปรากฏขึ้นมายามที่นึกถึงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อไปจากจวนตระกูลอวิ๋นแล้ว จวินเหยียนและอวิ๋นซีต่างก็ยืนยันหนักแน่นให้อวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียกลับไปอยู่ด้วยกันที่จวนอ๋อง อย่างไรตอนนี้เจิ้นหนานอ๋องก็รู้สถานะของพวกเขาแล้ว ต่อให้อยากจะปิดบังก็คงทำต่อไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ การเผชิญหน้าเท่านั้น
อวิ๋นซานไม่ได้คิดคัดค้าน เขาไม่เคยคิดว่า การอาศัยอยู่ในบ้านของลูกสาวและลูกเขยจะเป็เื่ที่ไม่เหมาะสม เพราะทรัพย์สมบัติทั้งหมดในมือเขาตอนนี้ล้วนตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกสาวและหลานๆ ดังนั้น การที่เขาจะอาศัยอยู่ในบ้านของลูกสาวและลูกเขยแล้วจะอย่างไร คนปากมากพวกนั้นคิดจะพูดอะไรก็พูดไป
ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะไม่รู้เื่พวกเขา เขายังไม่พูดอะไร ทว่า คนพวกนั้นจะพูดอะไรก็เป็แค่การยุ่งเื่ชาวบ้านเท่านั้น
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งเค่อ(一刻)เท่ากับ สิบห้านาที