บทที่ 8 ญาติพี่น้อง / สำรวจสินเดิมของท่านแม่
ตอนนี้สิ่งที่นางจะต้องทำคือการหาเงินเพื่อที่จะกลับมาพลิกฐานะของจวนแม่ทัพของนาง ภายในมิติของนางนั้นมีสมบัติมากมาย นางจึงคิดวิธีการที่จะนำมันออกมาใช้โดยที่ไม่ผิดสังเกตมากนัก
นางจึงให้อาหนิงนั้นพาไปดูสินเดิมของท่านแม่ของนางว่ายังมีอะไรบ้าง …ระหว่างที่นั่งรถม้าเพื่อที่จะไปดูร้านรวงของท่านแม่ของนางนั้นกู้ชิงอวิ๋นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ภายในจวนที่ใหญ่โตของท่านพ่อนั้นเหตุใดนางถึงไม่เห็นญาติพี่น้องคนอื่นๆ เลย ดูเหมือนว่าภายในจวนนั้นมีเพียง ท่านย่า หลิวซื่อและลูกสาว และตัวนางเอง ด้วยความสงสัยนางจึงเอ่ยถามอาหนิง…
"อาหนิงความทรงจำของข้ายังเลือนรางนักเกี่ยวกับญาติพี่น้อง…เ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่เหตุใดจวนเราที่ใหญ่โตจึงได้เงียบนัก”
อาหนิงพยักหน้า สีหน้าฉายแววเห็นใจที่คุณหนูใหญ่ที่ถึงแม้ว่าจะได้ความรู้ใหม่มาแต่ต้องประสบเคราะห์กรรมจนความทรงจำขาดหายไป
“ได้เ้าค่ะคุณหนูใหญ่…อันที่จริงแล้ว ท่านแม่ทัพกู้มีพี่น้องร่วมบิดามารดาถึงสามคนเ้าค่ะ”
“พี่ชายคนโตของท่านแม่ทัพคือ นายท่านใหญ่กู้ฉางไห่ เ้าค่ะนายท่านใหญ่เป็คนมักน้อย สมถะไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองหลวง แต่ในยามที่ท่านแม่ทัพรุ่งเรืองนั้น นายท่านใหญ่ก็มักจะมาขอให้ท่านแม่ทัพช่วยเหลือเื่กิจการเล็กๆ น้อยๆ หรือช่วยฝากฝังบุตรหลานของฮูหยินเอก ฮูหยินรองของเขาให้เข้ารับราชการเ้าค่ะเสมอเ้าค่ะ”
อาหนิงเล่าต่อ
“ส่วนนายท่านรองของท่านแม่ทัพคือ นายท่านกู้ฉางลู่ เ้าค่ะนายท่านสองเป็บัณฑิต ครั้งหนึ่งเคยเป็ขุนนางในราชสำนัก และมักจะใช้เส้นสายของท่านแม่ทัพในการเลื่อนตำแหน่ง หรือขอความช่วยเหลือในยามที่เกิดปัญหาในราชการเ้าค่ะ”
“และคนสุดท้ายคือ คุณหนูสามของท่านแม่ทัพ คุณหนูกู้ชิงเหยียน เ้าค่ะ นางแต่งงานกับขุนนางตระกูลหลี่เมื่อหลายปีก่อน ท่านอาหญิงของคุณหนูท่านนี้ก็มักจะมาขอให้ท่านแม่ทัพสนับสนุนสามีของนางในเื่ตำแหน่ง หรือขอความช่วยเหลือในยามที่ครอบครัวมีปัญหาทางการเงินการทองเสมอเ้าค่ะ”
อาหนิงถอนหายใจยาวก่อนจะเล่าต่อว่า
“แต่เมื่อสองสามปีก่อน พอจวนของพวกเรา เริ่มมีปัญหาขัดแย้งกับเหล่าขุนนางและเริ่มไม่เป็ที่โปรดปราณขององค์ฮ่องเต้และมักจะถูกลงโทษบ่อยขึ้น พวกเขาก็ต่างพากันแยกตัวออกไป ท่านใหญ่กับฮูหยินใหญ่ก็ขอแยกครัวเรือนแยกจวนออกไปอยู่ที่หมู่บ้านชิงเฉวียน ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก โดยอ้างว่า้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและปลูกผักทำไร่เ้าค่ะ”
“ส่วนนายท่านสองกู้ฉางลู่ก็ขอย้ายตำแหน่งไปอยู่ต่างเมืองและพาฮูหยินกับลูกๆ กลับไปอยู่บ้านเกิดของฮูหยินที่เมืองทางใต้ โดยอ้างว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่อยากจะแก่งแย่งกลับขุนนางท่านอื่น และคนสุดท้ายท่านอาหญิงกู้ชิงเหยียนก็เลือกที่จะอยู่ที่จวนของตระกูลหลี่ ไม่ค่อยได้กลับมาที่จวนอีกเลยเ้าค่ะ มีเพียงนานครั้งที่มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่า”
กู้ชิงอวิ๋นฟังเื่ราวทั้งหมดก็เข้าใจ ในใจนางไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองญาติพี่น้องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย กลับกัน นางเข้าใจดีว่าในโลกที่การเมืองและการสืบทอดอำนาจมีความสำคัญเช่นนี้ เมื่อจวนแม่ทัพเริ่มตกต่ำญาติพี่น้องเลือกที่จะปลีกตัวออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ นางยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย…ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่วุ่นวายมาก ต่อไปจวนท่านพ่อนางจะได้จัดการง่ายขึ้น…
“เป็เช่นนี้นี่เอง” กู้ชิงอวิ๋นพยักหน้าช้าๆ
“แสดงว่าตอนนี้ในจวนแห่งนี้ก็เหลือเพียงท่านย่า หลิวซื่อกับลูกสาว และข้าเท่านั้นสินะ”
“เ้าค่ะคุณหนูใหญ่” อาหนิงตอบยืนยัน
“รวมถึงบ่าวไพร่ที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มากนักเ้าค่ะ อย่างที่คุณหนูใหญ่เห็น”
กู้ชิงอวิ๋นเงยหน้ามองออกไปด้านนอก นางรู้ดีว่าการที่ญาติพี่น้องแยกย้ายกันไปไม่ใช่เพียงแค่เื่ของความรักสงบ แต่เป็การแสดงให้เห็นถึงการขาดความมั่นคงของตระกูลกู้ในสายตาของคนนอก ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็ที่จะต้องกอบกู้จวนแม่ทัพแห่งนี้ให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งให้เร็วที่สุด และเมื่อจวนของท่านพ่อกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หากว่าพวกเขาคิดจะกลับมาอีกครั้งละก็...นางคงจะต้องให้ท่านพ่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกครั้งแล้วหล่ะ...
"ข้าเข้าใจแล้วอาหนิง ขอบใจเ้ามากที่ช่วยเล่าเื่เหล่านี้ให้ข้าฟัง" กู้ชิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
"ต่อไปหากข้าสงสัยสิ่งใดอีก เ้าก็อย่าได้เกรงใจที่จะตอบนะ ถือเสียว่าเ้ากำลังช่วยฟื้นฟูความทรงจำให้ข้า"
อาหนิงยิ้มกว้างด้วยความดีใจ "บ่าวเต็มใจเ้าค่ะคุณหนูใหญ่!"
นางรู้สึกได้ถึงความผูกพันกับคุณหนูใหญ่คนใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่รถม้าของกู้ชิงอวิ๋นก็เคลื่อนผ่านภาพความวุ่นวายและชีวิตชีวาของตลาดเมืองหลวงปรากฏแก่สายตา นางมองดูผู้คนและร้านรวงต่างๆ เรียงรายการค้าขายช่างคึกคักยิ่งนัก รถม้าเลี้ยวไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่ย่านการค้าที่คึกคัก ระหว่างทางอาหนิงก็ให้ความรู้เกี่ยวกับร้านของท่านแม่ของคุณหนูอีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่เ้าคะ ร้านค้าของฮูหยินเอกมีชื่อว่า ร้านโอสถชิงเฟิง ร้านผ้าไหมจิ่นซิ่ และ โรงเตี๊ยมสี่ฤดู เ้าค่ะ”
อาหนิงอธิบายพลางชี้ชวนให้ดูเมื่อรถม้าเคลื่อนผ่านกู้ชิงอวิ๋นพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เมื่อมาถึงร้านโอสถชิงเฟิง นางเห็นสภาพร้านที่ดูทรุดโทรมกว่าที่คิด ลูกค้าไม่พลุกพล่านเหมือนร้านข้างเคียงที่ดูโอ่อ่ากว่ามาก
“แวะที่นี่ก่อน” กู้ชิงอวิ๋นสั่ง ก่อนลงไปนางได้หยิบผ้าลูกไม้ผืนบางมาคลุมหน้าเอาไว้ อาหนิงรีบลงไปเปิดประตูรถม้าให้ กู้ชิงอวิ๋นก้าวลงมาพร้อมกับอาหนิง ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วร้านอย่างพินิจพิจารณา
ภายในร้านมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งสัปหงกอยู่หลังโต๊ะ ท่าทางไม่กระตือรือร้นนัก
“นี่คือพ่อบ้านเฉิน ผู้ที่ฮูหยินรองส่งมาดูแลร้านโอสถเ้าค่ะ” อาหนิงกระซิบ
กู้ชิงอวิ๋นก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะไม้เก่าๆ เคาะเบาๆ
“พ่อบ้านเฉิน”
พ่อบ้านเฉินสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตางุนงง ก่อนจะจำได้ว่านางคือคุณหนูใหญ่ผู้ที่อยู่ท้ายจวน
“คุณหนูใหญ่ มาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ” เขาลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า
“ข้ามาดูร้าน”
กู้ชิงอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความจริงจังที่ทำให้พ่อบ้านเฉินรู้สึกถึงแรงกดดัน
“อ้อ…ดูร้านหรือขอรับ” เขาพยายามยิ้มให้คุณหนูใหญ่
“ร้านก็…ก็ยังเป็ปกติขอรับ”
“ปกติ?” กู้ชิงอวิ๋นเลิกคิ้ว
“ข้าเห็นว่าไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย ลูกค้าก็น้อย สมุนไพรก็จัดวางไม่เป็ระเบียบ กลิ่นอับอบอวลไปทั่ว”
พ่อบ้านเฉินหน้าซีดลงเล็กน้อย
“เอ่อ…่นี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีขอรับคุณหนู ลูกค้าจึงน้อยลง”
“เช่นนั้นก็ต้องหาวิธีดึงดูดลูกค้า ไม่ใช่ปล่อยให้ร้านทรุดโทรมเช่นนี้” กู้ชิงอวิ๋นชี้ไปยังชั้นวางสมุนไพร
“สมุนไพรเหล่านี้มีหลายชนิดที่เก็บไว้นานเกินไปจนเสื่อมสภาพแล้ว เหตุใดจึงยังไม่นำไปทิ้ง? และหากว่านำสมุนไพรเ่าั้ไปขายให้ลูกค้า หากเกิดอันตรายขึ้นจะทำอย่างไร?”
พ่อบ้านเฉินอ้ำอึ้งไม่สามารถตอบได้ คุณหนูรู้ได้อย่างไรว่ามีสมุนไพรที่เสื่อมสภาพ
“นี่คือการบริหารที่ล้มเหลว” กู้ชิงอวิ๋นกล่าวเสียงเ็า
"ข้าจะให้เวลาท่านสามวัน จัดการร้านให้เรียบร้อย ทำบัญชีรายรับรายจ่ายทั้งหมดมาให้ข้าดูด้วยตนเอง หากข้ากลับมาแล้วยังเห็นสภาพเช่นนี้อีก…ท่านก็เตรียมตัวกลับบ้านเก่าได้เลย"
คำขู่นั้นทำเอาพ่อบ้านเฉินถึงกับเหงื่อตก ไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่ที่เคยเป็แค่เด็กสาวอ่อนแอและอัปลักษณ์จะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาพยายามส่งสายตาหาอาหนิงเพื่อจะให้นางอธิบาย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากการเหลือบมองอย่างเ็า
หลังจากตรวจสอบร้านโอสถแล้ว กู้ชิงอวิ๋นก็ไปที่ร้านผ้าไหมจิ่นซิ่วและโรงเตี๊ยมสี่ฤดู สภาพของทั้งสองแห่งก็ไม่ต่างกันมากนัก
ที่ร้านผ้าไหมจิ่นซิ่ว พ่อบ้านผู้ดูแลก็เป็คนของฮูหยินรองเช่นกัน เขาคือพ่อบ้านหลี่ ผู้ซึ่งมีร่างกายท้วม ใบหน้ามันเลื่อมผมบางเหลือน้อยเต็มที และแววตาเ้าเล่ห์ กู้ชิงอวิ๋นพบว่าผ้าไหมหลายผืนถูกเก็บรักษาไม่ดีจนขึ้นรา บางผืนก็เป็ลวดลายที่ล้าสมัยแล้วแต่ยังคงวางขายอยู่ ส่วนผ้าไหมเนื้อดีหรือลวดลายแปลกใหม่นั้นกลับมีน้อยเต็มที
"พ่อบ้านหลี่" กู้ชิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ใยผ้าไหมในร้านถึงได้มีสภาพเช่นนี้? และผ้าไหมใหม่ๆ ที่ควรจะมีกลับไม่เห็นเลย?"
พ่อบ้านหลี่โค้งตัวเล็กน้อย "เรียนคุณหนูใหญ่ ผ้าไหมส่วนใหญ่ในร้านเป็ผ้าไหมที่ฮูหยินรองสั่งให้รับมาขอรับ ด้วยสถานการณ์ทางการเงินของจวนในตอนนี้ ฮูหยินรองจึงบอกให้เน้นขายผ้าไหมราคาถูกที่รับมาเป็จำนวนมาก ส่วนผ้าไหมเนื้อดีนั้น...ท่านฮูหยินรองมักจะให้ส่งไปที่จวนเป็ส่วนใหญ่ขอรับ"
กู้ชิงอวิ๋นหรี่ตาลง นางเข้าใจทันทีว่าเงินที่ควรจะหมุนเวียนอยู่ในร้านค้าเพื่อซื้อผ้าไหมใหม่ๆ กลับถูกโยกย้ายไปใช้จ่ายส่วนตัวของฮูหยินรองแทน
"แล้วรายได้จากการขายผ้าไหมเล่า ส่งมอบให้กับใครบ้าง?"
พ่อบ้านหลี่อึกอักเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเบา
"รายได้ทั้งหมด...จะถูกส่งตรงไปยังฮูหยินรองทุกสิ้นเดือนขอรับ โดยเฉพาะผ้าไหมเนื้อดีที่ส่งไปที่จวนนั้น มักจะถูกนำไปขายต่อให้กับบรรดาคุณหนูในตระกูลชั้นสูง หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนเป็ของมีค่าอื่น ๆ ฮูหยินรองกำชับให้ข้าน้อยทำบัญชีเฉพาะรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายของร้านแล้วเท่านั้น"
กู้ชิงอวิ๋นพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับเดือดดาล การกระทำของฮูหยินรองนั้นไม่ต่างอะไรกับการผลาญทรัพย์สมบัติของตระกูลอย่างช้าๆ มิหนำซ้ำยังฉวยโอกาสจากความตกต่ำของจวนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว และสมบัติที่ว่านั้นเป็สมบัติของนางด้วยสิ...ไม่จัดการคงจะไม่ได้แล้ว..
ส่วนโรงเตี๊ยมสี่ฤดู แม้จะดูดีกว่าสองแห่งแรกเล็กน้อย แต่ก็มีจำนวนแขกที่เข้าพักน้อยกว่าที่ควรจะเป็ และอาหารที่นำมาบริการก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่เค็มจัดก็จืดชืด และใช้เวลานานมากกว่าจะนำออกมาให้ลูกค้า มิน่าเล่าถึงไม่มีลูกค้า
กู้ชิงอวิ๋นรู้สึกหงุดหงิดกับการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นช่องทางที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์
"อาหนิง" นางกล่าวขณะเดินออกจากโรงเตี๊ยม
"กลับจวนเถอะ"
**** มีงานรออีกเยอะเลย ****
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้