จิตใจของเย่ชิงหานในตอนนี้ซับซ้อนเป็อย่างมาก มีทั้งกังวล หวาดกลัว และสับสนยุ่งเหยิง แต่ฝีเท้าของเขาไม่ได้หยุดชะงักลงแต่อย่างใด ไม่มีความเสียใจภายหลัง มีเพียงความเด็ดเดี่ยวที่ก้าวเดินต่อไปยังเบื้องหน้า ก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางไม่รู้ว่าจะพบเจอกับสิ่งใด
ชีวิตที่แล้วเป็เด็กกำพร้า เป็หนุ่มโสดที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องหนู เป็เหมือนสุนัขเร่ร่อนตัวหนึ่งที่เร่ร่อนไปตามกองขยะและคลองระบายน้ำโสโครก ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเป็ห่วง ไม่มีใครเหลียวแล และไม่มีใครรักและชอบ
ทุกๆ วันอาศัยค่าแรงเล็กๆ น้อยๆ ที่พอหาได้ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างโดดเดียวและต่ำต้อยไร้ค่า มีเพียงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่พอจะทำให้ความฝันที่สวยงามและชีวิตที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นมาได้ตามใจปรารถนา...
ชีวิตนี้เขาผ่านกาลเวลากลายมาเป็นายน้อยลำดับเจ็ด แม้ว่า่เวลาสิบห้าปีแรกของชีวิตใหม่นี้ในความเป็จริงแล้วจะเป็ได้เพียงแค่ลูกหลานลำดับเจ็ดที่ถูกคนดูถูกเหยียดหยามรังแกมาโดยตลอด
แต่เนื่องด้วยแหวนวิเศษมหัศจรรย์วงหนึ่งและสัตว์อสูรที่พิเศษมหัศจรรย์อีกตัวหนึ่งที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา หลายปีมานี้แม้จะผ่านความยากลำบาก ผ่านความเหนื่อยล้า ผ่านการร้องไห้เสียใจ ผ่านเสียงหัวเราะ และความสุข... แต่เขาพอใจเป็อย่างมาก พอใจที่ได้มีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้
เืที่พลุ่งพล่าน ความตื่นเต้นเร้าใจ ชื่อเสียงเกียรติยศ และอำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง!
เขาแน่ใจแล้วว่าตนเองชอบชีวิตที่เป็อยู่ในตอนนี้ และตัดสินใจแล้วว่าจะเดินบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่งต่อไปจนกว่าจะหมดสิ้นลมหายใจ การมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันเพียงสิบปีก็ยังดีกว่ามีชีวิตราบเรียบไร้รสชาติไปทั้งชีวิต เขาไม่รู้ว่าการเลือกเช่นนี้จะถูกต้องหรือไม่แต่เขาไม่เคยคิดเสียใจภายหลัง...
เคยมีชีวิตดั่งสุนัขเร่ร่อนไปวันๆ แต่ถ้าหากมีโอกาสลอยมาแล้วไม่รีบไขว่คว้าเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปดังเช่นสุนัขเร่ร่อนเช่นนั้นไปจนตาย...
.................................
เดินหน้าต่อไป เดินหน้าต่อไป!
กริชัเขียวอยู่ในมือ สนามพลังป้องกันอยู่ด้านนอก ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์อยู่ด้านล่าง เย่ชิงหานไม่กังวลสิ่งใดอีก เคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็ว ประสาทััทั้งหมดทำการตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบบริเวณใกล้เคียงอย่างจดจ่อ
หลังจากผ่านไปสิบนาที ถนนทางเดินเส้นใหญ่ยังคงมองไม่เห็นปลายทางสิ้นสุด
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป...
สองชั่วโมงผ่านไป...
ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงปลายทางจุดสิ้นสุด เบื้องหน้าเป็บานประตูใหญ่สีทองและรูปากทางเข้าที่เหมือนกันทุกอย่างกับประตูใหญ่สีทองที่เดินผ่านเข้ามา
ไม่มีอาการลังเลใดๆ พลังปราณรบโคจรขึ้นอย่างเต็มกำลัง ทำการรวมร่างสัตว์อสูรขึ้น ประสาทััจิติญญารวมกันอยู่จุดเดียว กริชัเขียวเคลือบไปด้วยพลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตลอด ลักษณะสภาพพลังพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งสรรพางค์กายแผ่พุ่งพลังที่แข็งแกร่งดุดันที่พร้อมจะทะลวงทุกสิ่งที่ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าออกมา จากนั้นทำการพุ่งทะยานเข้าไปภายในประตูใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ
ห่างเพียงแค่ประตูกั้นขวาง แต่อีกด้านของประตูกลับเปลี่ยนแปลงไปเป็อีกโลกใบใหม่ฉันนั้น
เย่ชิงหานรู้สึกว่าร่างกายโอนเอนไปมา รอจนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพลันพบกับทัศนียภาพที่ดูราวกับดินแดนสรวง์ของเหล่าเทพเซียนที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาถึงกับอึ้งตาค้างจนทำอะไรไม่ถูก
ที่แห่งนี้เป็ดินแดนแห่งเซียน เป็ดินแดนแห่งเทพรึ?
เขาได้มาถึงสถานที่ที่แม้แต่ในฝันยังไม่เคยคิดฝันถึงว่าจะได้พบเจอมาก่อน
สถานที่แห่งนี้ดูคล้ายจะเป็ตำหนักเซียนฉันนั้น ตำแหน่งที่ที่เขายืนอยู่เป็ลานกว้างขนาดเล็กที่ทำขึ้นมาจากหยกขาวใสบริสุทธิ์ซึ่งปราศจากสิ่งเจือปนจนสามารถมองทะลุผ่านได้ซึ่งกำลังเปล่งประกายแสงระยิบระยิบอยู่ไม่ขาด ด้านซ้ายมือเป็สระน้ำขนาดเล็กที่มีน้ำใสกำลังไหลรินจนสามารถมองเห็นตัวปลาสวยงามจำนวนมากที่กำลังแหวกว่ายไปมาอยู่ใต้ผิวน้ำ ด้านขวาเป็สวนดอกไม้ที่มีสีสันสดใสสวยงาม มีดอกไม้ใบหญ้าที่ไม่รู้จักชื่อจำนวนมากกำลังโอ้อวดกลิ่นหอมและความเขียวขจีของตนเองออกมาให้เห็น
แต่ที่ทำให้น่าตื่นตระหนกใมากที่สุดคือวังที่อยู่เบื้องหน้า เป็วังที่ใหญ่โตมโหฬารเป็อย่างมาก วังไม่ได้มีกำแพงสีทองเหลืองอร่าม ไม่ได้มีการตกแต่งด้วยสีสันแวววาวใดๆ แต่มีเพียงแค่กลิ่นไอแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี รูปทรงของวังงดงามเป็อย่างยิ่งดูราวกับตำหนักเซียนฉันนั้น ประตูใหญ่ด้านหน้ามีตัวอักษรสามคำที่ดูมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงทรงพลังปรากฏอยู่ ยิ่งทำให้วังแห่งนี้ดูคล้ายกับตำหนักเซียนมากยิ่งขึ้น ตัวอักษรทั้งสามคือ “หอเซียวเหยา”
ลักษณะภูมิประเทศโดยรอบหอเซียวเหยาล้วนถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีขาว แต่ว่ากลับไม่ได้เป็อุปสรรคขัดขวางการมองเห็นของเย่ชิงหานแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับช่วยเพิ่มกลิ่นไอของความเป็ดินแดนแห่งเซียนขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงยังที่แห่งนี้เขารู้สึกได้ถึงสภาพอากาศที่แตกต่างจากที่อื่น อากาศในที่แห่งนี้ทำให้รู้สึกสุขสบาย รู้สึกอบอุ่นหอมหวนและชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล...
“ลูกพี่ ระหวังหน่อย สถานที่แห่งนี้ดูแปลกประหลาดจนเกินไป อาจจะมีอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็เป็ได้!” กระแสเสียงที่เสี่ยวเฮยส่งมาดึงอารมณ์ความคิดของเย่ชิงหานกลับมาสู่ความเป็จริงของปัจจุบัน เขาไม่มีเวลามาสนใจชื่นชมความวิจิตรงดงามของทัศนียภาพของที่แห่งนี้ จากนั้นรีบกวาดสายตาสำรวจมองไปโดยรอบทั้งสี่ทิศเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น
หึ่ง...
ในเวลานี้เอง กลางอากาศเกิดการกระเพื่อมขึ้นครั้งหนึ่งประสาทััที่ตึงเครียดอยู่แต่เดิมของเย่ชิงหานยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้นไปอีก เบื้องหน้าปรากฏเงาร่างออกมาสายหนึ่งซึ่งทำให้เย่ชิงหานสะดุ้งใจนหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที
“ท่าผู้าุโ? ทำไมถึงเป็ท่าน?”
ผู้ที่มาก็คือลู่ซีหน้าแพะนั่นเอง! ลู่ซีกลับไม่ได้ตอบคำถามของเย่ชิงหานแต่อย่างใด ทำเพียงหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจลึกเข้าไปอย่างมีความสุข จากนั้นถึงค่อยพูดขึ้นอย่างช้าๆ “หลายพันปีแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้ัักับกลิ่นไอของดินแดนแห่งเทพอีกครั้ง กลิ่นไอแห่งเทพช่างหอมรัญจวนใจจนทำให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสุขสบายจริงๆ ฮ่าๆ...”
“ท่านผู้าุโ นี่...นี่มันอะไรเป็อะไร?” เย่ชิงหานเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่ามีกลิ่นไอของพลังที่ทำให้รู้สึกสุขสบายอยู่ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยถามขึ้น
ลู่ซีไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่ทำการหมุนตัวกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังไม่หลงเหลือรอยยิ้มเมื่อสักครู่ให้เห็น จากนั้นเขาพลันคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นต่อเย่ชิงหานอย่างเคารพ “ขอแสดงความยินดีกับนายน้อยที่สามารถทะลวงผ่านด่านทดสอบภายในูเาสุสานทวยเทพได้ทั้งหมดจนกลายเป็จ้าวแห่งหอเซียวเหยาแห่งนี้ ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นายน้อยของลู่ซีอีกด้วยเช่นกัน!”
“เอ่ออ...”
เย่ชิงหานตกตะลึง มึนงง อึ้งตาค้าง... ต่อมาเปลี่ยนเป็ตื่นตระหนก ลนลาน หวาดกลัว...สุดท้ายเขารีบโบกมือขึ้นพร้อมกับส่ายศีรษะขึ้นอย่างรีบร้อน “ท่านผู้าุโรีบๆ ลุกขึ้นเร็ว นี่..นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้น? ท่านอย่าทำให้ข้าใเช่นนี้จะได้ไหม?”
พูดเป็เล่น! ลู่ซีผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพ เทพที่เป็ตำนานเล่าขาน ตนเองจะกล้ารับการคุกเข่าจากเขาได้อย่างไรกัน? จะแบกรับไหวได้อย่างไร? ยังมีเ้าของหอเซียวเหยาอะไรนั่นอีก หอเซียวเหยาไม่ใช่ตำหนักเซียนที่อยู่เบื้องหน้านี้หรอกรึ? ยิ่งคิดยิ่งมึนงง ยิ่งคิดยิ่งลนลาน เื่ราวที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดเหล่านี้ทำให้เขาใกลัวเป็อย่างมาก...
“เหอะๆ นายน้อย! อย่าได้ลนลานไป เื่ราวไม่ได้มีอะไรซับซ้อน พูดง่ายๆ ก็คือ เ้าทะลวงผ่านด่านทดสอบภายในูเาสุสานทวยเทพได้ทั้งหมดจนเข้ามาถึงยังหอเซียวเหยา ครั้นแล้วจึงได้รับของรางวัลจากนายท่านผู้สร้าง ต่อไปเ้าก็จะเป็จ้าวแห่งหอเซียวเหยาแห่งนี้ สำหรับตัวข้าหากนายน้อยยังไม่บรรลุถึงระดับเทพละก็ จะต้องคอยปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยไปตลอดจนกว่านายน้อยจะขึ้นไปยังดินแดนแห่งเทพ!” ลู่ซีลุกขึ้นยืนอย่างรู้สึกพอใจต่อการแสดงออกของเย่ชิงหานที่ให้ความเคารพต่อเขา สีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับพูดอธิบายออกมาให้เย่ชิงหานฟัง
“ทะลวงผ่านแล้ว? ข้าทะลวงผ่านด่านทดสอบสุดท้ายแล้ว? ง่ายดายอะไรเช่นนี้? ดวงของข้าดีขนาดที่ว่าโอกาสหนึ่งในสิบยังถูกข้าเลือกได้อย่างถูกต้อง? ว่ะฮ่าๆๆ...โคตรมหาเฮงเลย!” ในที่สุดเย่ชิงหานก็เข้าใจได้ มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นจากนั้นรอยยิ้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็หัวเราะออกมา จนในที่สุดกลายเป็หัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!
“อืม...ความจริงแล้วไม่ใช่เ้าดวงดีอะไรหรอก!”
คำพูดของลู่ซีทำให้เย่ชิงหานที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งหยุดลง แต่เขาก็ยังดีใจเป็อย่างมากอยู่เช่นเดิม หันหน้ามองไปยังลู่ซีด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
ลู่ซียิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ความจริงแล้ว ด่านทดสอบด่านสุดท้ายประตูแห่งโชคชะตาเ้าเลือกเดินเข้าประตูบานไหนก็ล้วนเหมือนกันทั้งหมด ทุกบานดูน่ากลัวแต่ไม่มีบานไหนที่มีอันตรายเลยแม้แต่น้อย ด่านทดสอบสุดท้ายนี้ั้แ่ที่เ้าก้าวเดินเข้าประตูแห่งโชคชะตามาเ้าก็ได้ทะลวงผ่านอย่างเรียบร้อยแล้ว!”
“อาาา!”
เย่ชิงหานตกตะลึงขึ้นภายในหัวครุ่นคิดอยู่ชั่วไม่นานก็เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาได้
ด่านทดสอบด่านสุดท้ายที่แท้ก็มีไว้ขู่คนนี่เอง แท้จริงแล้วไม่มีการเสี่ยงตายใดๆ ไม่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีเื่โอกาสรอดหนึ่งในสิบส่วนอะไรทำนองนั้นอยู่จริง หุนตี้สร้างบททดสอบนี้ขึ้นมาคงอยากที่จะได้ยอดฝีมือผู้ที่มีหัวใจแข็งแกร่งเป็แน่แท้ ขอเพียงกล้าที่จะเข้ารับบททดสอบ กล้าที่จะก้าวเข้าไปยังภายในประตูใหญ่ทั้งสิบบานนั้น เขาผู้นั้นถือว่าผ่านบททดสอบได้สำเร็จ ถ้าหากไม่กล้าละก็ ไม่เพียงจิตใจที่พ่ายแพ้พิการไป แต่ยังรวมถึงร่างกายที่จะต้องถูกทำลายวรยุทธ์ให้พิการไปด้วย... ตาแก่โรคจิตหุนตี้คนนี้จิตใจช่างโเี้อำมหิตผิดมนุษย์จริงๆ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้