บทที่ 152 เศรษฐีหมื่นหยวน
เป็ดย่างของเมืองหลวงเลื่องชื่อมานาน ก่อนหน้านี้สวี่จือจือไม่มีอารมณ์ ต่อมาก็ยุ่งกับการดูแลอาการาเ็ที่ขาของลู่จิ่งซาน แถมยังต้องท่องจำจุดฝังเข็มที่ซับซ้อน ทำให้เธอยังไม่มีโอกาสได้มากินเป็ดย่างที่นี่เลย
“พี่สะใภ้ เดี๋ยวพี่ต้องลองชิมดูนะ” เซียวหังกล่าว “เป็ดย่างร้านนี้ขึ้นชื่อมาก อ้อ ใช่แล้ว ผมคุยกับผู้จัดการร้านไว้แล้ว เดี๋ยวจะซื้อให้พี่ติดไปสามตัว ตัวหนึ่งกินบนรถไฟ สองตัวเอากลับบ้านให้คนที่บ้านได้ชิม”
จัดแจงไว้ดีเสียจนไม่มีที่ติ
แต่ก็มีบางคนที่มองแล้วไม่สบอารมณ์ ต้องมาหาเื่ให้วุ่นวายในตอนนี้
“สวี่จือจือ” ประตูถูกเซียวจิ้งเหวินผลักเข้ามาจากด้านนอก เธอเดินเข้ามาด้วยความโกรธ “เอกสารของฉันอยู่ที่ไหน? เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”
“เซียวจิ้งเหวิน” เซียวหังสีหน้าดำคล้ำกล่าว “ออกไปซะ”
“ฉันไม่ออก” เซียวจิ้งเหวินเชิดหน้าพูด “เซียวหัง นายจะเข้าข้างคนนอกไม่ได้นะ”
“เอกสาร?” สวี่จือจือยิ้มเยาะมองไปที่เหมียวฮุ่ยหลานที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย “สมแล้วที่คนสมองมีปัญหามักจะรวมตัวกัน”
“สหายคนนี้” สวี่จือจือเยาะเย้ยเหมียวฮุ่ยหลาน “ตัวเองรับจ้างวิ่งซื้อเอกสารให้คนอื่น แต่ซื้อไม่ได้ กลับมาพูดกลับขาวเป็ดำได้ขนาดนี้? ฉันทึ่งจริงๆ”
“เซียวจิ้งเหวิน ฉันไม่เคยแตะต้องเอกสารอะไรของเธอเลย ตอนนี้พวกเรากำลังกินข้าว ขอให้เธอออกไปซะ”
ผู้จัดการร้านที่ได้ยินเื่รีบวิ่งมาถึง เขาขอโทษพวกลู่จิ่งซานอย่างรวดเร็ว แล้วเชิญเซียวจิ้งเหวินออกไปอย่างสุภาพ “สวี่จือจือ ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“และนาย เซียวหัง นายมันก็แค่หมาป่าตาขาว”
ตระกูลเซียวเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ แต่กลับร่วมมือกับคนนอกจัดการคนในตระกูลเซียว
คำตอบที่ได้คือรอยยิ้มเยาะเย้ยจากเซียวหัง
“ดูเหมือนเธอจะฟื้นตัวไวดีนะ” สวี่จือจือกินเป็ดย่างที่ลู่จิ่งซานห่อให้แล้วกล่าว “ดูท่าทางวุ่นวายขนาดนี้ ร่างกายคงไม่เป็อะไรแล้ว”
คำถามก็คือทำไมหวงซานถึงได้ใจร้อนขนาดนั้น ถึงขั้นยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อลักพาตัวเธอมาที่เมืองหลวง?
ถ้าพวกลู่จิ่งซานและคนอื่นๆ ไม่มาช่วยเธอ หลังจากประจำเดือนของเธอหมด หวงซานคงจัดให้เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้ว
“เื่นี้มันแปลกๆ จริงๆ” เซียวหังกล่าว “แต่พี่สะใภ้วางใจได้ มีคนไปสืบแล้ว”
สวี่จือจือพยักหน้า
“ฉันอยากกินอีก” เธอบอกลู่จิ่งซาน
อะไรคือความสุขที่สุด?
ตอนอยากกินกุ้งก็มีคนปอกกุ้งให้ อยากกินปูก็มีคนแกะปูให้ และตอนนี้อยากกินเป็ดย่างก็มีคนห่อเป็ดย่างให้
เมื่อก่อนไม่มีใครมาจีบ ตอนนี้ลู่จิ่งซานบอกว่าจะจีบ ก็ต้องให้โอกาสเขาสิ
ถ้าเพื่อนสนิทในชาติที่แล้วรู้ว่าเธอกินเป็ดย่างยังต้องให้คนอื่นห่อให้ถึงขนาดนี้ คงตาค้างกันแน่
คิดถึงตรงนี้ สายตาของสวี่จือจือก็มองไปที่ลู่จิ่งซาน
เมื่อก่อนเธอเหมือนเคยชินกับการอยู่คนเดียว เื่อะไรก็แบกไว้คนเดียว แต่ั้แ่คบกับลู่จิ่งซาน สวี่จือจือเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็ผู้หญิงมากขึ้น
ไม่เหมือนชาติที่แล้วที่เหมือนผู้หญิงแกร่ง นี่คงเป็สาเหตุที่ชาติที่แล้วเธอโสดตลอดมา
แต่สวี่จือจือรู้สึกโชคดีมาก เหมือนชาติที่แล้วไม่เคยมีความรัก ก็เพื่อรอการมาถึงของลู่จิ่งซานในชาตินี้
การได้แต่งงานกับรักแรกของตัวเอง มันเป็ความสุขขนาดไหนกันนะ
กินข้าวเสร็จ เซียวหังก็พาพวกเขากลับที่พัก แต่ไม่นึกเลยว่าจะเห็นชายชราคนหนึ่งรออยู่หน้าประตู “คุณปู่หวัง มาทำอะไรที่นี่ครับ? มีธุระกับผมเหรอ?”
“อืม” คุณปู่หวังพยักหน้า ดูท่าทางเหมือนจะคุยยาว เซียวหังเลยเชิญเข้ามา
“ฉันได้ยินว่าพวกนายอยากซื้อบ้าน?” พอนั่งลง คุณปู่หวังก็กล่าวทันที
“ปู่จะขายบ้านเหรอครับ?” เซียวหังรินชาให้แล้วถาม “บ้านหลังนั้นเป็บ้านเก่าของตระกูลท่านนะ”
บ้านของคุณปู่หวังก็เป็บ้านสี่ประสาน ห่างจากบ้านเซียวหังแค่ถนนเส้นหนึ่ง รูปแบบอะไรก็เหมือนบ้านของเซียวหัง
“ลูกสะใภ้กำลังจะคลอดแล้ว” คุณปู่หวังกล่าว “อยากให้พวกเราไปช่วยเลี้ยงหลาน”
“งั้นบ้านหลังนี้คุณปู่เก็บไว้ปล่อยเช่าก็ได้นะคะ” สวี่จือจือกล่าว
ถึงเธอจะอยากซื้อมากก็จริง และรู้ว่าบ้านแถวนี้ในอนาคตจะกลายเป็ไข่ทองคำ ราคาแพงหูฉี่
“ลูกสะใภ้เป็คนที่นั่น” คุณปู่หวังกล่าว “พวกเราไปครั้งนี้ เกรงว่าคงจะได้กลับมาอีกทีตอนสิ้นอายุขัย”
ลูกชายของคุณปู่หวังเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วถูกส่งไปทำงานที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วแต่งงานกับสาวที่นั่น
“ถ้าขายให้คนอื่น ฉันก็ไม่วางใจ” คุณปู่หวังกล่าว “ถ้าพวกนายจะซื้อ ฉันจะยอมขายให้ถูกๆ แต่บ้านนี้เป็บ้านเก่าตระกูล พวกนาย…ดูแลให้ดีหน่อยนะ”
แต่ดูจากท่าทางของสวี่จือจือและลู่จิ่งซานแล้ว ก็ไม่น่าจะทำอะไรเหลวไหล
สวี่จือจือดีใจมาก เธอกับลู่จิ่งซานรีบไปดูบ้านของคุณปู่หวังทันที
สองสามีภรรยาตระกูลหวังเป็คนขยัน บ้านช่องสะอาดสะอ้าน หน้าบ้านปลูกผักตามฤดูกาล ดูแลดีมาก
“ถ้าพวกเธอซื้อ ผักพวกนี้ฉันจะไม่ให้คนอื่นแล้ว” คุณย่าหวังกล่าว
สวี่จือจือชอบบ้านหลังนี้มาก โดยเฉพาะเถาองุ่นใหญ่ในลาน ที่มีองุ่นสีม่วงห้อยระย้า น่ากินสุดๆ ทำให้นึกถึงต้นองุ่นในลานบ้านที่หมู่บ้านผานสือ ประชาคมชีหลี่
แต่อันนั้นออกผลเป็องุ่นเขียว
“คุณย่าหวังคะ” สวี่จือจือถามอย่างระมัดระวัง “บ้านนี้ย่าจะขายเท่าไหร่คะ?”
คุณย่าหวังมองคุณปู่หวังแวบหนึ่ง กัดฟันกล่าวว่า “ถ้าพวกเธอเอา จะให้เลขกลมๆ”
เธอยกสามนิ้ว
สามพันหยวน!
ซื้อบ้านสี่ประสานแบบนี้ในย่านเมืองหลวง ถือว่าราคาถูกแล้ว
“เฟอร์นิเจอร์ในบ้านถึงจะเก่าไปหน่อย แต่เป็ไม้เนื้อดีทั้งนั้น พวกเธอทาสีใหม่ก็เหมือนใหม่เลย” คุณย่าหวังกล่าว
นั่นก็จริง
สวี่จือจือมองลู่จิ่งซาน ตอนที่บอกว่าอยากซื้อบ้าน ลู่จิ่งซานเคยบอกความจริงกับเธอ และยื่นสมุดบัญชีให้
ตอนนั้นสวี่จือจือถึงกับอึ้ง
สมุดบัญชีนี้ตอนที่ลู่จิ่งซานยังเดินได้ เขาเคยบอกว่าจะให้เธอ แต่เธอไม่รับ ตอนนั้นเธอเคยเห็นเงินในนั้น มีแค่สามพันกว่าๆ เท่านั้น
ใครจะรู้ว่าไม่กี่เดือน เงินในนั้นกลายเป็หมื่นกว่าๆ
ใน่ปลายยุคเจ็ดศูนย์ ต้นยุคแปดศูนย์ เศรษฐีหมื่นหยวนนี่หายากนัก
‘เงินชดเชยที่ขาผมเจ็บ’ ลู่จิ่งซานอธิบายในตอนนั้น
เห็นลู่จิ่งซานพยักหน้าให้ สวี่จือจือก็กล่าวว่า “ตกลงค่ะ แต่ป้าหวัง พรุ่งนี้ตอนเย็นพวกเราจะขึ้นรถไฟกลับบ้าน ป้าว่าพวกเราจะจัดแจงเอกสารให้เสร็จทันไหมคะ?”
เป็โชคดีของพวกเขา
ถ้าช้าไปสักวัน บ้านหลังนี้อาจจะไม่ได้ซื้อแล้ว
ดังนั้นเมื่อสวี่จือจือและลู่จิ่งซานขึ้นรถไฟ กระเป๋าของทั้งสองจึงมีโฉนดบ้านเพิ่มมาอีกหนึ่งใบ
สวี่จือจือรู้สึกว่าการเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ถึงจุดเริ่มต้นจะไม่ค่อยดีนัก แต่ตอนจบ อย่างน้อยตอนนี้ก็ถือว่าสวยงาม
ตอนนี้เธอกลายเป็คนมีบ้านมีที่ดินแล้ว
นี่มันน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ!
.............................