เสียงรถม้าดังกุบกับๆ ไม่ขาดสาย ดรุณีน้อยร่างบางงามสะคราญเลิกม่านมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกรถม้ากรุ่นอวลไปด้วยความมีชีวิตชีวาของฤดูใบไม้ผลิ ดรุณีน้อยผู้นี้หาใช่ใครอื่น ก็คือเฉียวเยว่นั่นเอง
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้นางอายุเก้าขวบแล้ว
นางติดตามท่านตาและบิดามารดาออกท่องโลกกว้างเมื่อต้นวสันต์ตอนอายุเจ็ดขวบ มิได้กลับเมืองหลวงสองปีแล้ว
ตอนจากไปคิดว่าหนึ่งปีเดี๋ยวก็ได้กลับ แต่ช่วยไม่ได้ ขุนเขาแม่น้ำงามตระการเกินไป เพียงพริบตาก็ผ่านไปสองปี และ่สองปีนี้นางก็กลายสภาพจากกระต่ายน้อยอ้วนพีมาเป็ดรุณีเอวบางร่างน้อย
ตอนแรกมักคิดเสมอว่าต้องลดน้ำหนัก ต้องผอมลงให้ได้ แต่ไม่เคยทำได้เลย พอออกจากบ้านเท่านั้น นางก็ค่อยๆ ผอมลง มารดามักกล่าวว่าการเดินทางยากลำบาก ถึงอยากอ้วนก็คงยาก เฉียวเยว่ได้รู้ซึ้งถึงเหตุผลนี้กับตัว
"ท่านแม่เ้าคะ ด้านหน้าก็เป็ประตูเมืองแล้ว"
เฉียวเยว่ตื่นเต้นดีใจ สองปีแล้วที่ไม่ได้กลับมา ไม่รู้ว่าที่บ้านเป็อย่างไรบ้าง
แม้ว่าสองปีมานี้จะได้รับข่าวคราวจากเมืองหลวงอย่างเสมอต้นเสมอปลาย รู้ว่าทุกคนล้วนสบายดี แต่ความรู้สึกย่อมต่างกัน
ของจริงกับจดหมายจะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า
"ข้าเดาว่าพวกเขาต้องจำเ้าไม่ได้" อิ้งเยว่หยอกเย้าเสียงเรียบ สองปีก่อนนางพักการเรียนจากสำนักศึกษาสตรี แน่นอนว่าเวลาสองปีนี้ก็เปลี่ยนนางให้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
เดิมทีนางเป็ดรุณีน้อยปราดเปรื่องทรงภูมิปัญญาที่มักเย่อหยิ่งทะนงตน ทว่าตอนนี้ยิ่งซ่อนคมงำประกายขึ้นหลายส่วน
การเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ได้ััประสบการณ์ที่แตกต่าง มุมมองย่อมไม่เหมือนเดิม นางสุขุมมากขึ้น ไม่มีความเฉียบคมร้ายกาจอย่างเดิมอีก
เฉียวเยว่เชิดหน้ายิ้มด้วยความเบิกบานใจเป็พิเศษ "ข้าจะแกล้งแสดงละครเป็เด็กผู้หญิงที่ถูกเก็บมาระหว่างทาง ดูว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และใครจะจำข้าได้บ้าง"
แม้จะเป็เด็กโตแล้ว แต่เฉียวเยว่ก็ยังขี้เล่นเหมือนเมื่อก่อน "พวกท่านว่า ใครจะจำข้าได้บ้าง?"
แม้ไท่ไท่สามจะอายุมากขึ้น แต่กลับผึ่งผายสง่างามยิ่งกว่าเมื่อก่อน นางยิ้มกล่าวว่า
"คนที่ใส่ใจเ้าไม่ว่าเวลาไหนล้วนจำเ้าได้เสมอ ส่วนคนที่ไม่แยแส ถึงเ้าจะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยก็จำเ้าไม่ได้อยู่ดี"
เฉียวเยว่ไตร่ตรองดูแล้วก็พยักหน้า "เหมือนจะเป็เช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นการทดสอบหยั่งเชิงคนที่ใส่ใจข้าก็ไม่น่าสนุกน่ะสิ"
ในที่สุดเฉียวเยว่ก็ปล่อยม่านลงนั่งดีๆ "พวกท่านว่า พวกท่านตากับท่านพ่อคุยอะไรกันอยู่?"
"แต่ข้าเดาของฉีอันได้" เฉียวเยว่พูดขึ้นทันที
นับวันนางยิ่งสนุกกับการเล่นทายใจกับน้องชายฝาแฝดซึ่งเหมือนมีใจสื่อถึงกัน ต่อให้เล่นอีกหมื่นปีก็ไม่มีเบื่อ
"ไม่แน่ตอนนี้เขาก็พูดเหมือนกับเ้านี่แหละ" ไท่ไท่สามเอ่ย
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา พอเห็นรถม้าหยุดเพื่อตรวจสอบการผ่านทาง นางก็ถอนหายใจ "พอเข้าเมืองก็ใกล้จะถึงบ้านแล้ว"
รถม้าเริ่มเคลื่อนที่อีกครา แต่ไม่นานก็หยุดลงอีก เฉียวเยว่รู้สึกข้องใจจึงเลิกม่านออกไปดู "ไม่รู้ว่ามีเื่อะไรอีก"
พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ "ท่านลุง"
นางะโลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วโดยแทบจะไม่ลังเล วิ่งตรงเข้าไป "ท่านลุง ท่านเดาซิว่าข้าเป็ใคร?"
ฉีจือโจวแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากสองปีก่อน เขาอมยิ้มมองสาวน้อยงดงามอ่อนหวานเบื้องหน้าที่ทั้งสูงขึ้นและผอมลงกว่าเดิมมาก ก่อนจะพูดหยอกเย้า "อิ้งเยว่ เหตุใดเ้ายิ่งโตก็ยิ่งเตี้ยลงเล่า?"
ฉีอันหัวเราะเยาะออกมาทันใด
เฉียวเยว่หันไปถลึงตาใส่น้องชาย ก่อนจะหมุนตัวกลับมายืนนิ่ง "โธ่เอ๊ย ตอนนี้ท่านลุงเริ่มเรียนรู้สิ่งที่ไม่ดีแล้ว"
ฉีจือโจวอมยิ้มพลางลูบหัวของนาง "อื้ม โตเป็สาวแล้วหรือนี่ ตอนไปยังตัวแค่หัวเข่าของข้า ตอนนี้สูงขึ้นมาเกินครึ่งศีรษะ [1] แล้ว"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ใช่สิเ้าคะ ข้าไม่ได้กินน้อยลงเลยนะ แต่ตลอดการเดินทางพวกเรา... เอ๋ ข้าจะเล่าทำไมกันเนี่ย ท่านลุงไปกันเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน"
นางจับฉีจือโจวไม่ยอมปล่อยมือ "ท่านลุงมาขึ้นรถม้าของพวกเราเถอะ
"เ้าจะไม่ให้ลุงของเ้าคุยกับท่านตาสักสามประโยคเลยหรือ? จะเสียเวลาเท่าไรกันเชียว" ซูซานหลางเอ่ยปาก
"ท่านพ่ออย่าสั่งสอนอีกเลย ข้าทราบ ข้าทราบ แค่ดีใจไปหน่อยเท่านั้นเอง" เฉียวเยว่ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้
นางอมยิ้มท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูทำให้คนยังสามารถมองเห็นเค้าเมื่อครั้งยังเล็ก แม้จะผอมลงไปมาก แต่เครื่องเคราใบหน้ายังไม่เปลี่ยน ดวงหน้าน้อยยังกลมเกลี้ยงไม่เรียวเป็รูปเมล็ดแตงตามกระแสนิยม ทว่ากลับน่ารักอย่างยิ่ง
"ไปเถอะ ลุงจะไปส่งพวกเ้ากลับจวน วันนี้จะไปกินมื้อกลางวันที่บ้านพวกเ้าด้วยดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้วเ้าคะ"
ขณะหมุนตัวจะกลับไปขึ้นรถม้า พลันรู้สึกได้ว่ามีสายตาอีกคู่จดจ้องนางอยู่ และเหมือนว่าจะมองมาสักพักแล้ว เฉียวเยว่หันกลับมาอย่างรวดเร็ว ก็ประสานกับสายตาคู่นั้นพอดี
บนชั้นสองของหอสุราริมถนน ชายหนุ่มในชุดสีแดง อาภรณ์ตัวยาวพลิ้วไสวไปตามสายลมโชยเอื่อย เมื่อเห็นสายตาของเฉียวเยว่ เขาก็ชูจอกสุราขึ้น อมยิ้มแล้วดื่มรวดเดียวหมด
"เฉียวเยว่?"
พอได้ยินเสียงมารดาเรียก เฉียวเยว่ก็หัวเราะพลางผงกศีรษะ แล้วปีนขึ้นรถม้าทันที
ไท่ไท่สามอยู่ในรถ ย่อมมองไม่เห็นว่าผู้ใดอยู่ชั้นสอง จึงเอ่ยถาม "ผู้ใดหรือ?"
"ท่านอ๋องอวี้เ้าค่ะ" เฉียวเยว่หัวเราะเบาๆ
ไม่ได้พบกันสองปี ดูเหมือนว่าเขาจะสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม รูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลาขึ้นด้วย
เฉียวเยว่เอามือเท้าคาง "เขาก็มารับข้าหรือ"
อิ้งเยว่หัวเราะพรืดอย่างอดไม่ได้ ก่อนเอ่ยว่า "เ้าอย่าหลงตัวเองนักเลย ข้าว่าตอนนี้อาการหลงตัวเองของเ้าหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ไม่ใคร่ครวญสถานการณ์ความเป็จริงบ้างเลย เหตุใดผู้อื่นต้องมารับกระต่ายอ้วนน้อยอย่างเ้าด้วยฮึ!"
"ข้าบอกว่ามารับข้าก็มารับข้าสิ หากไม่ใช่ก็ผิดต่อขวัญกับเทียบอวยพรที่ข้าส่งไปให้เขาแล้วล่ะ" เฉียวเยว่พูดอย่างฉาดฉานมีเหตุมีผล
ไท่ไท่สามหัวเราะอย่างจนปัญญา
"เ้าโตแล้ว ไม่ใช่กระต่ายอ้วนตัวน้อยอย่างเมื่อก่อน ต้องระวังการแบ่งแยกชายหญิงให้ดี"
คนเป็มารดาไม่อาจละเลยเื่การอบรมบุตรสาว
เฉียวเยว่พยักหน้า "เื่นี้ข้าทราบเ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเป็ห่วง ข้าหาใช่กระต่ายโง่ไม่รู้ความตัวนั้นอีกแล้ว อีกอย่างมิตรภาพแท้จริงจืดจางดั่งวารี สุภาพชนเช่นข้าย่อมรู้ขอบเขตเ้าค่ะ"
ขณะที่เฉียวเยว่พูดเจื้อยแจ้วไม่จบไม่สิ้น แต่กลับไม่รู้เลยว่าอวี้อ๋องบนหอสุรากำลังทอดถอนใจ
"สัตว์จำพวกกระต่ายจำเป็ต้องให้อาหาร หากให้น้อยเกินไป ก็จะผอมลง"
แท้จริงแล้วซื่อผิงไม่เข้าใจทัศนะเื่ความงามของเ้านายตนเองแม้แต่น้อย คุณหนูเจ็ดสกุลซูยามนี้งดงามขึ้นกว่าเมื่อตอนเป็กระต่ายอ้วนมากมาย แค่เห็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าอีกไม่นานนางต้องกลายเป็โฉมสะคราญล่มเมืองอย่างแน่นอน
แต่เท่าที่ฟังคำกล่าวของเ้านายตนเอง ดูเหมือนว่าเขาจะชอบนางที่ดูอ้วนพีเหมือนตอนเด็กๆ มากกว่า ชวนให้คนยากจะเข้าใจจริงๆ
"ประเดี๋ยวเตรียมของกินส่งไปให้นาง"
"พ่ะย่ะค่ะ"
นิ้วมือเรียวของอวี้อ๋องไล้ขอบถ้วยชา แต่เพียงพริบตาเดียวเขาก็เปลี่ยนความคิด
"ขนมจากข้างนอกย่อมสู้ที่ข้าทำไม่ได้ พวกเรากลับจวน ข้าจะทำให้นางด้วยตนเอง"
ซื่อผิง "พ่ะย่ะค่ะ! "
"หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ากระต่ายน้อยต้องอยู่อย่างน่าเวทนาเพียงใด ดูท่าคงได้กินแต่ผักแต่หญ้า" อวี้อ๋องรำพึง
"ผอมลงเพียงนี้ ต้องคิดถึงขนมที่ข้าทำมากเป็แน่" เขายังพูดต่อ
"ฮูหยินสามสกุลซูเป็คนอ่อนนอกแข็งใน กระต่ายน้อยคงจะลำบากมากถึงผ่ายผอมเพียงนี้ น่าเวทนายิ่งนัก" อวี้อ๋องยังคงพร่ำพรรณนาต่อไปอีก
"สองปีมานี้ ไม่รู้ว่าถูกทรมาทรกรรมอย่างไรบ้าง..."
"..."
ซื่อผิงพูดในใจ คุณหนูเจ็ดเป็บุตรสาวสายตรงที่ฮูหยินสามสกุลซูคลอดออกมาเอง ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ถึงกับถูกกระทำทารุณหรอกกระมัง? คิดมากไปหรือไม่
ทว่าเขายังคงสงบเสงี่ยมทำตัวเงียบๆ
จวนซู่เฉิงโหวเฝ้ารอการกลับมาของพวกเขาแต่เช้า ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาดูที่ประตูหลายรอบแล้ว ไม่เห็นคนกลับมาเสียที ก็รู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง
เมื่อเห็นรถม้าที่แขวนอักษร "ซู" กำลังมุ่งหน้ามาแต่ไกล บ่าวชายที่หน้าประตูก็ไม่รอช้า วิ่งเข้าไปรายงานทันที
ขณะที่พวกเฉียวเยว่กำลังลงจากรถ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึงหน้าประตูแล้ว
เฉียวเยว่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีผมขาวที่จอนผมเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อน ก็วิ่งเข้าไปสวมกอดแล้วร้องไห้ "ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน"
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกสาวน้อยเรือนร่างบอบบางโอบกอดโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ฟังจากเสียง จะเป็ใครไปได้นอกจากเฉียวเยว่
นางตาแดงในชั่วพริบตา
ซูซานหลางกับไท่ไท่สามคุกเข่าลงทันที "ท่านแม่ ลูกอกตัญญู"
อิ้งเยว่กับฉีอันต่างก็คุกเข่าลงตาม เฉียวเยว่เห็นทุกคนล้วนเป็เช่นนี้ ก็คลายอ้อมแขนจากฮูหยินผู้เฒ่า
"พวกเ้าทำอันใด รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น เข้าไปในบ้านให้ข้าดูดีๆ หน่อย" ฮูหยินผู้เฒ่ารีบกล่าวทันควัน
นางจูงมือเฉียวเยว่ ฉีอันก็วิ่งเข้ามา จูงมืออีกข้างของฮูหยินผู้เฒ่า
แม้เพิ่งจะเก้าขวบ แต่ฉีอันสูงกว่าเฉียวเยว่อย่างเห็นได้ชัด
"มารดาบุตรเขย สองปีมานี้ลำบากท่านแล้ว" อาจารย์ฉีเอ่ยปาก
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มทั้งน้ำตา "ลำบากที่ไหนกัน ได้ออกไปดูไปชม เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากๆ คือสิ่งที่ดียิ่งมิใช่หรือ"
ไม่ช้าพวกเขาก็เข้าไปในห้อง ทุกคนต่างก็ตามเข้าไปด้วย
ทันทีที่เข้าไปถึง ฮูหยินผู้เฒ่าก็มองสำรวจบุตรชาย "คล้ำขึ้น แต่ดูแข็งแรงขึ้น"
"บิดามารดายังอยู่ บุตรไม่ควรเดินทางไปไหนไกล นี่เป็ความไม่ได้เื่ของลูกเอง" ซูซานหลางคุกเข่าด้วยความรู้สึกะเืใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าตีเขาหนึ่งที "พูดเหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้น เ้าคุกเข่า ภรรยากับบุตรของเ้าก็ต้องคุกเข่าตามไม่จบไม่สิ้น รีบขึ้นมานั่ง แต่ละคนมาให้ข้าดูดีๆ"
ฮูหยินผู้เฒ่ารักเฉียวเยว่ที่สุด นางอยู่ใกล้กว่าผู้อื่นจึงถูกดึงมาพิจารณาอย่างละเอียดั้แ่หัวจรดเท้า
"ไกวเยว่ของข้าเหตุใดถึงผ่ายผอมเพียงนี้ ชวนให้คนปวดใจเหลือเกิน แต่ว่า... สวยขึ้น สวยขึ้นมากเชียวล่ะ"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน เห็นเค้าหญิงงามั้แ่อายุน้อย
"ข้าต้องสวยอยู่แล้ว ท่านย่าของข้า ท่านอาของข้า ท่านแม่ของข้า พี่สาวของข้าล้วนเป็โฉมสะคราญ ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่งาม"
เพียงเอ่ยปากก็ััได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะอีกครา
นางสวมชุดกระโปรงหรูฉวินสีชมพูอ่อนเสื้อคลุมทับสีอ่อนกว่า เรือนผมยาวเกล้าเป็มวยสองด้าน ดูเป็สาวน้อยน่ารักสดใสเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
"นั่นสิ ไกวเยว่ของพวกเราพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย"
หลังจากนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เอ่ยขึ้นอีกว่า "ทุกคราที่เฉียวเยว่ส่งจดหมายมา บอกแต่ว่าตนเองสบายดียิ่ง แต่ไม่ได้เล่าว่าผอมลง"
"ข้าไม่ได้ลดความอ้วนเลยนะเ้าคะ แต่พอออกไปอยู่ข้างนอก ก็ค่อยๆ ผอมลงมาเอง ข้ายังรู้สึกแปลกใจเลย ทั้งที่กินเยอะอยู่เหมือนเดิมชัดๆ" เฉียวเยว่ตอบอย่างฉาดฉาน
"เช่นนั้นคนที่กลัวอ้วนคงต้องเรียนรู้วิธีจากเฉียวเยว่เสียแล้วล่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่าทอยิ้ม
"เห็นจะไม่ได้หรอกเ้าค่ะ" เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง
"เพราะเหตุใด?"
เฉียวเยว่กอดคอของฮูหยินผู้เฒ่า "เพราะพวกเขาไม่มีท่านตาแสนดี ไม่มีบิดามารดาสุดประเสริฐเช่นข้า"
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกนางพูดจนหัวเราะออกมา "ไม่ว่าเฉียวเยว่จะเปลี่ยนไปอย่างไร โตขึ้นแค่ไหน ก็ยังเป็ไกวเยว่น้อยน่ารักที่ย่าห่วงใยที่สุด"
...
[1] ครึ่งศีรษะคือความสูงประมาณ 15 ซม.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้