“เนื้อความที่กล่าวในหนังสือกราบบังคมทูลของท่านแม่ทัพหลวงถูกต้องแล้วเพคะยามนี้ฮ่องเต้ควรรับสั่งให้ปิดประตูเมืองชุ่นเทียนโดยทันที ห้ามมิให้ทุกคนเข้าออกเพื่อป้องกันโรคระบาด”ฮองเฮาอวี่เหวินจ้องมองหนังสือม้วนนั้นอย่างมิละสายตา รู้สึกชื่นชมฉู่ชิงอย่างมากแม้ทุกคนที่อยู่ในค่ายเสินเช่อยามนี้จะมีความเสี่ยงและโกลาหลวุ่นวายทว่าเขายังคงนึกถึงสถานการณ์โดยรวมได้อย่างใจเย็น
หากเขาต้องมาป่วยจากโรคระบาดครานี้ขึ้นมาจริงๆเป่ยฉีคงสูญเสียบุรุษผู้มากความสามารถซึ่งหายากในยุคสมัยนี้
ฮองเฮาอวี่เหวินรู้สึกเสียดายในใจั์ตาของฮ่องเต้หยวนเต๋อค่อยๆ คมปลาบแวววาบขึ้นมาช้าๆ หลังเงียบไปครู่หนึ่งในที่สุดพระองค์จึงเอ่ยปากออกมาว่า “ทหาร รีบไปสั่งให้ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ และสั่งห้ามออกนอกเรือนในยามราตรี”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อตรัสพระบัญชาออกมาด้วยสุรเสียงดังก้องกังวานสิ่งที่เรียกว่าโรคระบาด มักทำให้ผู้คนตื่นตระหนก ต้องฉวยโอกาสนี้ยามที่ข่าวยังไม่แพร่กระจายไปมาก ลงมือควบคุมทุกอย่างไว้ที่เดิม มิเช่นนั้นเพียงแค่ชาวบ้านรู้เื่ราว เมืองชุ่นเทียนแห่งนี้คงมิมีทางที่จะสงบได้
ฮ่องเต้หยวนเต๋อเข้าใจใจความสำคัญของเื่ราวครานี้ทว่าเขากลับคาดไม่ถึงว่า ข่าวเื่โรคระบาดที่เกิดขึ้นในยามนี้ได้แพร่สะพัดออกไปในเมืองชุ่นเทียนนานแล้ว...
จวนท่านแม่ทัพ
ฮูหยินท่านแม่ทัพครั้นได้ยินข่าวนี้ นางพลันเป็ลมหมดสติไปแม่ทัพฉู่เพ่ยถูกเรียกตัวเข้าวังไปั้แ่เช้าตรู่ยามนี้ทั่วทั้งจวนแม่ทัพเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายเฝ้าคอยจนฮูหยินท่านแม่ทัพตื่นขึ้นสตรีผู้มีใบหน้าซีดเซียวผู้นั้นพลันสะดุ้งตัวอย่างตื่นตระหนก
"จื๋อหร่าน จื๋อหร่าน..." ฮูหยินท่านแม่ทัพสีหน้าหวาดหวั่นตื่นตระหนก พยายามดิ้นรนลุกขึ้นใน่สองสามวันที่ผ่านมา จื๋อหร่านไม่ได้กลับจวนเลยเขาต้องคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ในค่ายเสินเช่อ...
ภายในห้อง แทบทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมฉู่เซียงจวินที่อยู่ข้างกายนาง คอยประคองฮูหยินแม่ทัพอย่างระมัดระวังพลางเอ่ยปลอบประโลมนางอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ จื๋อหร่านต้องไม่เป็อะไรแน่”
“ไม่เป็ไรงั้นหรือ? นั่นมันโรคระบาดนะ โรคระบาด! ถ้าหากจื๋อหร่านติดโรคระบาดขึ้นมาจะทำอย่างไรดี?”ฮูหยินแม่ทัพนึกถึงผลที่จะตามมาดวงตานางเอ่อล้นไปด้วยอารมณ์หวาดหวั่น ความกังวลในใจของฉู่เซียงจวินเองก็พลันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
แทบทุกคนต่างพูดเล่าลือเื่โรคระบาดกันอย่างตื่นตระหนกในประวัติศาสตร์ของเป่ยฉี บันทึกว่าเคยประสบหายนะเช่นนี้มาแล้วบางหมู่บ้านถึงกับหายไปในชั่วข้ามคืน หนทางรักษาโรคระบาดมีเพียงหนทางเดียวคือการเผาทำลายแหล่งกำเนิดของโรคระบาด ทว่ายามนี้จื๋อหร่านเองก็อยู่ในพื้นที่ต้นตอของโรคระบาด หากฝ่าารับสั่งออกมาให้เผาค่ายเช่นนั้นจื๋อหร่านเองก็คง...
ฮูหยินแม่ทัพและฉู่เซียงจวินไม่กล้าคิดเื่ราวหลังจากนี้ต่อ
"ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว"เสียงของพ่อบ้านะโดังมาจากด้านนอก ทันใดนั้นฮูหยินแม่ทัพจึงเร่งฝีเท้าออกไปต้อนรับเขาที่ประตูโดยมีฉู่เซียงจวินคอยประคองร่างนาง
"ท่านแม่ทัพในวังหลวงว่าอย่างไรบ้าง? ฝ่าา...พวกเขาจะทำอย่างไรกับจื๋อหร่าน?"ฮูหยินท่านแม่ทัพก้าวไปข้างหน้าคว้ามือของฉู่เพ่ยขึ้นมาจับไว้ใบหน้านางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ฉู่เพ่ยสีหน้าเคร่งขรึมสายตาเหลือบมองสตรีตรงหน้า จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา "ฮ่องเต้สั่งให้ปิดเมืองไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก"
"ค่ายเสินเช่อเล่า?" ความหวังอันริบหรี่ปรากฏขึ้นในดวงตาฮูหยินแม่ทัพ “ฝ่าาจะส่งคนไปหรือไม่?”
"ส่งหมอหลวงไปสองสามคนแล้ว"
"หมอหลวงสองสามคนหรือ?"ฮูหยินท่านแม่ทัพตัวสั่นสะท้านหมอหลวงแค่ไม่กี่คนจะรักษาโรคระบาดได้หรือ?
"ไม่ ไม่ได้ข้าต้องไปหาจื๋อหร่าน" ฮูหยินท่านแม่ทัพสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งสีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็แน่วแน่มั่นคงในทันใดนางที่กำลังก้าวฝีเท้าเดินออกไปอย่างเร่งรีบร้อนใจนั้น กลับถูกฉู่เพ่ยคว้าแขนไว้
“ท่านปล่อยข้า!"ฮูหยินท่านแม่ทัพตะคอกออกมาอย่างร้ายกาจ
"เ้าไปไม่ได้จื๋อหร่านอยู่ในพื้นที่โรคระบาด ถ้าเ้าไป เ้าจะตายเปล่า มิได้ช่วยอะไร!"ฉู่เพ่ยกล่าวอย่างเฉียบขาด
"ตายเปล่าหรือ แล้วจื๋อหร่านเล่า?จื๋อหร่านเป็ลูกของข้าและเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาเองก็จะตายไม่ได้เช่นกัน"ฮูหยินท่านแม่ทัพเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ต่างไปจากปกติ “ใช่ จะตายไม่ได้เขาจะต้องไม่ทำผิดพลาดใดๆ”
ฮูหยินท่านแม่ทัพบ่นพึมพำ ประกายในดวงตาของนางดูซับซ้อนอย่างมาก
“ฮูหยิน เ้าควรมีสติมากกว่านี้ชีวิตของจื๋อหร่านสำคัญก็จริง ทว่าชีวิตของเ้าก็สำคัญไม่แพ้กัน!”ฉู่เพ่ยจับไหล่ของนางราวกับพยายามปลุกให้นางได้สติครั้นเห็นนางไม่สนใจชีวิตของตนเอง หัวใจของเขาพลันรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาทันที“ในสายตาของเ้า เขาสำคัญมากกว่าอะไรทุกสิ่งเลยหรือ?”
“ใช่! เขาสำคัญกว่าทุกสิ่ง!”ฮูหยินท่านแม่ทัพกัดฟันแน่น นางสบตาฉู่เพ่ยครั้นเห็นความเ็ปและสูญเสียในดวงตาของเขา หัวใจของนางพลันสั่นไหวเล็กน้อยทว่าครั้นนึกถึงสถานการณ์ของฉู่ชิง นางจึงสะบัดไล่ความคิดนั้นออกไป “ท่านลืมเื่ที่ท่านเคยรับปากข้าไปแล้วหรือ?”
ฉู่เพ่ยขมวดคิ้ว
"ท่านรับปากกับข้าว่า ท่านจะต้องปกป้องลูกของพวกเราให้ได้ทว่ายามนี้จื๋อหร่านตกอยู่ในอันตราย แต่ท่านกลับเฉยเมย ไม่ห่วงใย"
คำประณามนั้นดังก้องไปทั่วทั้งลานเอ่ยจบนางสะบัดแขนเสื้อ ฉวยจังหวะที่ฉู่เพ่ยตกตะลึง สะบัดแขนตนเองออกมาจากการควบคุมของเขาจากนั้นจึงหันหลังวิ่งออกไปนอกประตูจวน
ทุกคนในลานจวนต่างเห็นฉากที่เกิดขึ้นทุกคนในจวนแม่ทัพต่างรู้ดีว่านิสัยของฮูหยินนั้นเป็คนอบอุ่นใจดีวาจาที่เอื้อนเอ่ยในยามปกติจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแ่เบานี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นฮูหยินท่านแม่ทัพโกรธเกรี้ยวเช่นนี้
"ท่านแม่...”ฉู่เซียงจวินครั้นได้สติ นางปรายสายตามองบิดาที่มีใบหน้ามืดมนจากนั้นจึงเร่งก้าวฝีเท้าออกไปนอกประตูจวน ตามมารดาของตนเองไป
ทันทีที่เหนียนยวี่ขี่ม้าออกนอกเมืองได้ไม่นานนักทหารอารักขาที่ฮ่องเต้หยวนเต๋อทรงรับสั่งให้ปิดประตูเมืองได้ไปถึงประตูเมืองแล้วบรรดาผู้ที่้าออกไปล้วนติดอยู่ข้างใน
บนชั้นสองของภัตตาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับประตูเมืองหญิงสาวเห็นเงาร่างนั้นที่อยู่ด้านนอกเมือง ในที่สุดก็ค่อยๆ หายลับไปจากสายตารอยยิ้มบนใบหน้าพลันเบ่งบานขึ้นมาทันใด รับกับชุดสีแดงชาดสวยสดยิ่งขับให้นางดูเจิดจ้าสว่างไสว
“นี่มันจะดีเกินไปแล้ว นางไปแล้วจริงๆ” ฉางหงเยียนโล่งใจเป็อย่างมากครั้นนึกถึงค่ำคืนที่เหนียนยวี่ทำลายเื่ราวดีๆ ของตนเองในครานั้น ฉางหงเยียนพลันหรี่ตาลงเล็กน้อยความหงุดหงิดโมโหที่ติดอยู่ในใจนางในหลายวันมานี้ได้จางหายไปในที่สุด
สองสามวันมานี้ นางคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของมู่อ๋องจ้าวอี้กับเหนียนยวี่นางรู้สึกกังวลมาตลอดว่าเหนียนยวี่จะหยิบยกขวดเครื่องเคลือบดินเผาที่นางเอาไปจากตนวันนั้นรายงานต่อเบื้องพระพักตร์ฮองเฮานางหวาดกลัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าฮองเฮาอวี่เหวินจะเรียกตัวนางเข้าวังหลวงยามนี้ไม่เป็ไรแล้ว เพราะเหนียนยวี่ออกนอกเมืองไปแล้วทว่าจุดหมายปลายทางของนาง...
“ฝ่าา ท่านเขียนสิ่งใดหรือเพคะ?เหตุใดถึงสามารถทำให้เหนียนยวี่ผู้นั้นออกเดินทางไปยังค่ายเสินเช่ออย่างรีบร้อนเยี่ยงนี้?”ฉางหงเยียนเมียงมองบุรุษผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างตน ใบหน้าฉายแววประจบประแจงและยำเกรงฝ่าาทรงตรัสว่าเขามีวิธีทำให้เหนียนยวี่มุ่งหน้าไปยังค่ายเสินเช่อคาดไม่ถึงเลยว่าเพียงเวลาไม่นานเหนียนยวี่ผู้นั้นจะควบขี่ม้ามุ่งหน้าออกไปอย่างเร่งรีบเยี่ยงนั้นจริงๆ
ฉางหลิงเกอถือถ้วยน้ำชาสายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องสถานที่หนึ่งนอกประตูเมือง ในสายตาอันเฉียบคมนั้นราวกับว่าเขากำลังนึกคิดอะไรอยู่นางยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ท่วงท่าแลดูสง่างาม ฉางหงเยียนจ้องมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาแรงกล้าอย่างมิอาจห้ามใจได้
สำหรับบุรุษเยี่ยงฮ่องเต้ผู้นี้มิว่าผู้ใดในแคว้นหนานเยวี่ยต่างล้วนปรารถนาให้ได้แต่งงานกับเขา ช่างน่าเสียดายที่นางถูกเลือกให้มาที่เป่ยฉีแบกรับงานสำคัญ ในพระทัยของฝ่าา เกรงว่านางคงถูกตัดออกจากการเป็สตรีของเขาไปนานแล้ว
ผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดฉางหลิงเกอได้เอ่ยออกมาว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องรู้”
ฉางหงเยียนผงะไปเล็กน้อยนางฉีกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า “เพคะ หงเยียนสมควรตาย หงเยียนมิควรถามมาก”
ฉางหงเยียนมองนิสัยของฮ่องเต้ซินจิ้นผู้นี้ไม่ออกเลยแม้แต่นิดยิ่งไม่รู้เลยว่าการที่เขาปลอมตัวเป็องครักษ์คอยจัดการเื่ราวอย่างเงียบเชียบเช่นนี้แท้จริงมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางรู้ นั่นคือฮ่องเต้ซินจิ้นผู้นี้ร้ายกาจและมีเล่ห์เหลี่ยมกว่าที่นางจินตนาการไว้อย่างมาก
ฉางหงเยียนถอนความคิดกลับมา หวนนึกคิดถึงเื่ของเหนียนยวี่ยามนี้นางคงใกล้ถึงค่ายเสินเช่อแล้ว ทว่ายามนี้ประตูเมืองได้ปิดลงแล้วเหนียนยวี่เอ๋ยเหนียนยวี่ เ้าจะยังกลับมาที่นี่ได้อีกหรือไม่?