รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินมู่เยว่แทบหุบไม่ทัน แต่ด้วยไวพริบของที่ไม่รู้จะตอบมู่อวิ๋นจิ่นอย่างไร ฉินมู่เยว่จึงหันไปสอบถามฉู่ลี่ “พี่ลี่เห็นว่าอย่างไร?”
ฉู่ลี่ที่นั่งฟังบทสนทนาของทั้งคู่ทุกถ้อยคำ พอได้ยินที่ฉินมู่เยว่ถามขึ้นพลันก้มหน้าเอ่ยขึ้นว่า “เอาตามที่มู่อวิ๋นจิ่นว่าแล้วกัน”
คำตอบของฉู่ลี่ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับต้องปรายตามองด้วยความประหลาดใจ ครั้งนี้ฉู่ลี่ไว้หน้านาง
ฉินมู่เยว่ขบฟันกำมือแแ่ ทว่าดวงตากลับแสร้งทำเป็ยิ้มแย้มแจ่มใส “อย่างนั้นเอาตามที่พี่ลี่ว่าแล้วกัน จากนี้ไปข้าจะเรียกว่าพี่สะให้อวิ๋นจิ่น ถึงแม้เ้าจะอายุน้อยกว่าข้า แต่หากถือลำดับศักดิ์ย่อมสูงแก่กว่า จุดนี้ข้าควรเรียกว่าเ้าว่าพี่สะใภ้”
จากนั้นฉินมู่เยว่ยื่นมือเข้ามากุมมือมู่อวิ๋นจิ่นเอาไว้ มือนั้นเย็นเฉียบอย่างเหลือเชื่อ ในเวลานี้เป็ฤดูร้อนชัดๆ มือของฉินมู่เยว่นั้น เหตุใดเย็นเฉียบไร้ความอบอุ่น
แต่ว่ามือของคุณหนูฉินและฉู่ลี่ ช่างเย็นเฉียบเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ดูยังไงก็ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
หลังจากนั้นฉินมู่เยว่และมู่อวิ๋นจิ่นก็ตั้งใจดูการแสดง โดยมิได้สนทนากัน มีเพียงบางครั้งที่ฉินมู่เยว่หันไปพูดคุยกับฉู่ลี่
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งชมการแสดงพลางนกถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ขึ้นมาจิบ เพื่อคลายความหนาวเย็นจากการจับมือเมื่อครู่นี้
สตรีผู้นี้เนื้อตัวเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง ช่างเหมือนเครื่องปรับอากาศในยุคปัจจุบันที่เปิดในอุณหภูมิต่ำไม่ผิดเพี้ยน
……
หลังจากที่นางกำนัลในวังหลวงแสดงการร่ายรำจนหมดสิ้นแล้ว ลำดับต่อไปก็ถึงตาของบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์บ้างแล้ว
เยี่ยนหลิงฉางรีบออกมาแสดงเป็คนแรก ด้วยชุดกระโปรงสีแดงสดพริ้วไหวไปตามลม พร้อมกับถือเครื่องดนตรีเข้ามา เดินอรชรอย่างงดงาม
ฉินมู่เยว่มองดูเยี่ยนหลิงฉางพร้อมกับหัวเราะชอบใจ “พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น การแสดงของคุณหนูเยี่ยนในคราวนี้ ช่างงดงามเหลิอเกิน
หากให้ข้าที่วันๆ เอาแต่ถือดาบถือกระบี่ ย่อมมิอาจร่ายรำได้อรชรเช่นนาง”
มู่อวิ๋นจิ่นตอบด้วยใบหน้าไม่ยินดีไม่ยินร้าย “แต่ละคนต่างมีความถนัดที่ต่างกัน ไม่เหมือนข้าที่อะไรก็ไม่ดีสักอย่างเลย!”
ฉินมู่เยว่รู้สึกแปลกใจกับคำตอบของมู่อวิ๋นจิ่น นี่เป็การลดค่าตัวนางเองชัดๆ ซึ่งมิน่าใช่นิสัยที่ควรจะเป็นี่หน่า
จากนั้นการแสดงชุดต่อไปก็มาถึง เป็การแสดงจากมู่หลิงจูแห่งจวนอัครเสนาบดีมู่
“นี่เป็คุณหนูสี่มู่นี่หน่า นางเป็ถึงสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในอาณาจักรซีหยวน ข้าชื่นชมนางนัก” ฉินมู่เยว่มองมู่หลิงจูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ตอนที่ข้าอยู่ชายแดนนั้น ได้ยินข่าวพี่ลี่แต่งงานกับคุณหนูสามจวนอัครเสนาบดีมู่ จึงนึกว่าเป็สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งอย่างมู่หลิงจู มาทีหลังได้สืบจนแน่ชัด กลับรู้ว่าเป็พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นต่างหาก”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มโดยไม่เปิดปาก สายตาจับจ้องไปที่มู่หลิงจู อยากชมการแสดงของนาง
หลังจากซูปี้ชิงผู้เป็แม่ของมู่หลิงจูจากไปแล้ว ฐานะและความสำคัญของนางลดฮวบจากหน้ามือเป็หลังมือ บัดนี้เป็โอกาสที่นางสามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ คิดแล้วอยากนางคงเตรียมตัวมาเป็อย่างดี
ฉินมู่เยว่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้แยแสก็ไม่ได้โมโหโกรธา กลับเอ่ยถามต่อไปว่า “ได้ยินว่าเมื่อก่อนพี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นร่างกายอ่อนแอ ไร้ความสามารถ ถูกกักบริเวณอยู่ในจวน หลายปีมานี้ไม่ได้ย่างกายออกนอกจวน ดังนั้นคนภายนอกแทบลืมไปว่าคุณหนูสามมู่ยังมีตัวตนอยู่”
“แต่ว่าวันนี้ดูแล้ว ข่าวลือที่แพร่สะพัดล้วนเป็เื่โกหกพกลมทั้งเพ พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นงดงามเฉกเช่นมวลบุปผา ช่างแตกต่างจากข่าวลือพวกนั้นโดยสิ้นเชิง”
คำพูดของฉินมู่เยว่ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร ได้แต่หันหน้มการแสดงและเปรยขึ้นว่า “วันนี้เ้าทานน้ำผึ้งหรือยัง?”
“ยังเลย แต่วันนี้แค่เห็นพี่ลี่แต่งเ้าเป็พระชายาพลันเกิดความรู้สึกดีใจแทนขึ้นมา ใช่แล้ว เ้าต้องระวังน้องสาวสี่ให้มาก แรกเริ่มนางตั้งใจใกล้ชิดพี่ลี่ ได้เข้ามาแสดงความเป็มิตรกับข้าหวังให้ช่วยเหลือ ดีที่ข้าไหวตัวทันจึงไม่ได้ให้นางสมหวัง” ฉินมู่เยว่กระซิบกระซาบข้างหูมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับรู้ ในใจไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่มีต่อนางอย่างไร
เพียงแต่เมื่อครู่ที่ได้สนทนาพาศัย พบว่าคุณหนูฉินผู้นี้นิสัยโผงผาง พูดจามากเกินไปหน่อย แต่ยังไม่พบความปรารถนาร้ายในตัวนาง ดูแล้วมู่อวิ๋นจิ่นคงมองฉินมู่เยว่ในแง่ร้ายมากจนเกินไป
……
มู่หลิงจูเดินไปกลางลานหันไปทำความเคารพรอบด้าน ก่อนเริ่มทำการแสดง สายตาของนางปราดมองฉู่ลี่ แต่เขากลับกำลังก้มหน้าก้มตาทำบางอย่าง ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ทำให้มู่หลิงจูเกิดความผิดหวังขึ้นมาภายในจิตใจ
“เจิ่นสงสัยมาตลอด สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรซีหยวน วันนี้จะแสดงอะไรกัน”
ฮ่องเต้ซีิแย้มสรวลขึ้นมองมู่หลิงจูอย่างใจจดใจจ่อ ถึงแม้ทราบดีว่าท่านแม่ของมู่หลิงจูทำเื่ที่ให้อภัยมิได้ แต่อย่างไรเสีย นางเป็ถึงสตรีที่มีความสามารถแห่งอาณาจักรซีหยวน จึงขอวางเื่ในอดีตของนางลงก่อน
เมื่อมู่หลิงจูเดินไปอยู่กลางลานและทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ฝ่าาเห็นขันทีด้านหลังยกโต๊ะยาวที่จัดวางกระดาษ พู่กัน หมึกและจานฝนหมึก ทุกคนนึกว่ามู่หลิงจูจะแสดงการเขียนอักษร ทว่านางกลับหยิบผ้าไหมขึ้นมาพันปิดบังสายตา
จากนั้น นางเอื้อมมือหยิบพู่กันบนโต๊ะยาว จุ่มหมึกพอหมาด บรรเลงตวัดพู่กันลงบนกระดาษด้วยท่าทางที่ทุกคนต่างมองด้วยความตกตะลึง
เป็ที่รู้กันทั่วว่าคุณหนูสี่มู่ความสามารถมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดนึกถึงว่าจะสามารถปิดบังสายตา บรรเลงเขียนตัวอักษรได้เช่นนี้
ไม่นานนัก มู่หลิงจูวางพู่กันลง เปิดผ้าไหมที่บังสายตาออก หยิบกระดาษยกขึ้นมาให้ทุกคนได้ดู เป็สำนวนจีนที่ว่า “เสียงอวิ๋นรุ่ยชี่”[1] ตัวอักษรที่เขียนได้พริ้วไหว ราวกับหมู่เมฆาล่องลอย ดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง
ตัวอักษรทั้งสี่เขียนได้วิจิตรเป็ธรรมชาติ จนทุกคนในที่นั้นแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็ฝีมือของสตรีที่อายุเพียงสิบหก หนำซ้ำยังปิดบังสายตาบรรจงร่ายเขียนอีกต่างหาก
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ คนตระกูลมู่ล้วนมีแต่คนความสามารถสูงส่งกันทั้งนั้น” ฮ่องเต้ซีิตรัสชื่นชม พลางหันมองไปที่อัครเสนาบดีมู่ที่นั่งอยู่มิห่างด้วย
ท่านอัครเสนาบดีมู่ได้หน้าได้ตา ยืดอกมองรอบข้างอย่างภาคภูมิ ทุกผู้คนในที่นั้นต่างเริ่มมองนางเปลี่ยนไปทันที
เดิมทีกังวลเื่งานแต่งของมู่หลิงจูเป็ที่สุด ประเดี๋ยวผ่านพ้นค่ำคืนนี้ คงมิต้องมานั่งเป็กังวลใจอีกต่อไปแล้ว
ในตอนนี้ ฉินมู่เยว่ที่นั่งดูอยู่กลับหัวเราะแห้งๆ ขึ้นมา “เชอะ อาศัยงานเลี้ยงเฉลิมฉลองของข้า ชุบตัวจนมีอนาคตใหม่เลยสิน่ะ”
ฉินมู่เยว่เอ่ยเสียงไม่ดังมาก คนที่ได้ยินมีเพียงมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังฉินมู่เยว่ต่อว่าต่อขาน พลันนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นกับตัวนางเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นได้ จึงกลั้นหัวเราะไว้มิไหว
การแสดงทุกชุดในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันนี้ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ทุกคนที่มาร่วมงานได้เสพสุขกันอย่างเต็มที่
“งานเลี้ยงเฉลิมฉลองในค่ำคืนนี้ เจิ่นตั้งใจจัดให้มู่หนานและเยว่เอ๋อร์โดยเฉพาะ แม้มู่หนานมิได้อยู่ที่นี่ แต่เจิ่นจะมอบรางวัลให้ไม่น้อยไปกว่าเยว่เอ๋อร์” สิ้นเสียงตรัสของฮ่องเต้ซีหยวน หัวหน้าขันทีลู่ผายมือ “ประกาศราชโองการ”
“คุณหนูฉินรับราชโองการ”
ฉินมู่เยว่ลุกขึ้นไปคุกเข่าหน้าพระที่นั่งฝ่าา ท่านแม่ทัพฉินผู้เป็บิดาของนางลุกขึ้นไปคุกเข่าเคียงข้างเช่นกัน
“ฝ่าาทอดพระเนตรเห็นความกล้าหาญของมู่หนานและมู่เยว่ รวมถึงความสามารถในการทำศึกป้องกันอาณาจักรซีหยวน เป็ที่ประจักษ์ต่อทุกผู้ทุกนาม บัดนี้แต่งตั้งให้ฉินมู่หนานเป็ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าจู่โจม ฉินมู่หานเป็รองผู้บัญชาการ และอดีตท่านแม่ทัพฉินเป็ขุนนางขั้นหนึ่ง มอบที่ดินหนึ่งหมื่นหมู่[2] จวนสามหลัง และเงินอีกหนึ่งหมื่นตำลึงทอง จบราชโองการ!”
“ฝ่าาอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
……
หลังจากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ มู่อวิ๋นจิ่นที่กำลังจะลุกขึ้นหันไปถามฉู่ลี่ว่าจะเดินทางกลับด้วยกันหรือไม่ ทว่าได้เห็นฉินมู่เยว่มาคว้าแขนฉู่ลี่ด้วยความดีอกดีใจ
“พี่ลี่ ฝ่าาแต่งตั้งให้น้องเป็รองผู้บัญชาการแล้ว น้องเป็สตรีคนแรกแห่งอาณาจักรซีหยวนที่ออกรบทำศึก พี่ลี่เห็นว่าน้องเก่งกาจหรือไม่?”
ฉินมู่เยว่พยายามโปรยเสน่ห์ใส่ ฉู่ลี่ทำเพียงพยักหน้ารับเพียงเล็กน้อย จากนั้นส่งสายตาไปที่มู่อวิ๋นจิ่นที่กำลังจะลุกขึ้นกลับจวน
“เปิ่นหวงจื่อ[3]จะกลับจวนพร้อมกับเ้า”
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้าลง หันกลับมามองฉู่ลี่ ด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
“เยว่เอ๋อร์ได้เวลากลับจวนแล้ว” ท่านแม่ทัพฉินเอ่ยปากบอกฉินมู่เยว่ที่อาลัยอาวรณ์ฉู่ลี่อยู่
ฉินมู่เยว่เห็นอดีตท่านแม่ทัพฉินมาตามจึงพยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย “เ้าค่ะ ท่านปู่”
ฉินมู่เยว่มองฉู่ลี่กับมู่อวิ๋นจิ่นด้วยใบหน้าชื่นมื่น “พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น วันนี้พอแค่นี้ก่อน อีกสองวันข้าจะไปเยี่ยมถึงที่จวนแน่นอน”
“ได้สิ” มู่อวิ๋นจิ่นตอบตามมารยาท
หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับจวน ตลอดทางเดินออกจากวังหลวง ฉู่ลี่เดินติดกับมู่อวิ๋นจิ่นเบียดชิดเกิน และมีติงเซี่ยนถือโคมไฟนำทาง
มู่อวิ๋นจิ่นมิอาจกลั้นหัวเราะจึงพรวดออกมา “ทำไมกัน คุณหนูฉินไม่รู้เื่ที่เ้ามองไม่เห็นในที่มืดอย่างนั้น?”
ฉู่ลี่ส่ายหน้า “นางไม่รู้เื่นี้”
“ห๊ะ? ไม่รู้เหรอ? ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้ พวกเ้าสองคนสนิทกันจนอาภรณ์ยังใส่เหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเื่นี้นางไม่รู้” มู่อวิ๋นจิ่นประชดประชัน ขณะที่ในหัวผุดภาพที่สองคนนั้นอยู่ใกล้ชิดกัน
ฉู่ลี่ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นหลังฟังน้ำเสียงมู่อวิ๋นจิ่น “เ้าหึงหวงข้าขึ้นแล้ว?”
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดนิ่ง ถลึงตาใส่ฉู่ลี่ด้วยความโมโห “ถ้าข้าหึงเ้าคงฉีกอาภรณืที่เ้าสวมวันนี้ออกตั้งนานแล้ว ไม่รอให้ถึงป่านนี้ถึงพูดขึ้นหรอก”
หลังสิ้นเสียง มู่อวิ๋นจิ่นสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไป
ด้านติงเซี่ยนที่ช่วยฉู่ลี่ถือโคมไฟนำทาง หลุดขำออกมาเสียงดัง ก่อนเหลือบตามองฉู่ลี่อย่างระแวง พบว่าฉู่ลี่ยิ้มน้อยๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
มู่อวิ๋นจิ่นประชดประชันเรียบร้อย ได้หันไปแสยะยิ้มให้ฉู่ลี่
หลังจากเดินขึ้นรถม้า ฉู่ลี่ได้ส่งเบาะนั่งนิ่มๆ ให้กับมู่อวิ๋นจิ่นด้วยมือ
“ขอบคุณพี่ลี่” มู่อวิ๋นจิ่นรับมารองไว้ที่หลัง
ฉู่ลี่หรี่ตาลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง “เปิ่นหวงจื่ออยากให้เ้าเรียกแบบเดิมดีกว่า”
มู่อวิ๋นจิ่นอึ้งไปชั่วขณะ คำพูดของฉู่ลี่ทำให้นางเกินความคาดหมาย แต่พอนึกทบทวนจึงคิดขึ้นมาได้ ความหมายที่เขา้าสื่อสาร คือจะบอกว่าคำเรียกว่า “พี่ลี่” อาจให้ฉินมู่เยว่ใช้เรียกเพียงผู้เดียวเท่านั้น
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะท้องขดท้องแข็งจนมือไปเคาะรถม้าอย่างไม่ตั้งใจ “คำพูดเล่นขององค์ชายหก ไม่ตลกสักนิดเลยเพคะ!”
[1] เสียงอวิ๋นรุ่ยชี่ เป็ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมฆากระทบแสงหลากสีระยิบระยับละลานตา เป็สัญลักษณ์แห่งความโชคดีมีวาสนา
[2] หมู่ เป็มาตราวัด 1 หมู่ เทียบประมาณ ศิษย์พี่เหวินหย่วน6 ตารางเมตร
[3] เปิ่นหวงจื่อ สรรพนามที่องค์ชายใช้เรียกแทนตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้