หลินหยางมีเพียงคำถามเดียวเท่านั้นที่อยากจะถามเฉินเฉาเกอ“นี่เ้ายังเป็คนอยู่หรือเปล่า?”
เฉินเฉาเกอตอนนี้ถูกหลินหยางกดดันจนอึดอัดรู้สึกจุกในลำคอจนพูดไม่ออก
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่บนชั้นพิพากษาในนรกอยู่ก็ไม่ปานความผิดบาปทั้งมวลล้วนถูกหลินหยางแปรเปลี่ยนมาเป็แรงกดดันอันหนักหน่วงที่ส่งมาผ่านทางสายตาของเขาจนเฉินเฉาเกอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกกลืนหายไป
“จ...เ้า...เ้าพูดบ้าอะไรของเ้า!”เฉินเฉาเกอถึงกับพูดติดอ่าง
เื่ราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้มันอยู่นอกเหนือจินตนาการเขามากเกินไป
“เ้ายังเป็คนอยู่หรือเปล่า!!”
“มารดามันเถอะ เ้าหูหนวกอยู่หรืออย่างไรทำไมไม่ตอบ!!”
หลินหยางถามซ้ำอีกครั้งเหมือนกับกำลังตบหน้าเฉินเฉาเกอซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
“เหอะ เรียกไอ้สวะนั่นว่ามนุษย์นี่ถือว่าหยาบคายมาก”
เหล่าคนของอาณาจักรชูอวิ๋นต่างพากันด่าทอสาปแช่งเฉินเฉาเกอมันทั้งไม่สำนึกบุญคุณยังไม่พอ ยังคิดจะทำตัวเป็ลูกทรพีฆ่าพ่ออีก นับว่าชั่วช้าจนไม่อาจหาคำใดมาเปรียบเทียบมันได้อีกแล้ว
แต่คำถามของหลินหยางก็ถูกขัดขวางเสียก่อน
ซ่างกวันหงและหลินไป๋ชวนเริ่มลงมือแล้ว
พวกเขาไม่มีทางยอมปล่อยให้หลินหยางแค่คนเดียวมาทำลายแผนการทั้งหมดของพวกตนลงหรอกพวกเขาต่างหากที่เป็ใหญ่ในที่แห่งนี้แค่ดาบเล่มเดียวกับนกหนึ่งตัวก็คิดจะทำตัวเป็วีรบุรุษกู้โลกแล้วหรือ?
ฝันไปเถอะ!
ซ่างกวันหงเรียกเอาอาวุธของตัวเองออกมา
เป็ดาบใหญ่ที่มีขนาดยาวเกือบสองเมตรส่วนของใบมีดสีแดงหม่นๆ ที่อยู่ติดกับด้ามดาบนั้นมีหัวกะโหลกหัวหนึ่งกับใบมีดเอาไว้ส่วนคมของมันนั้นมีร่องรอยที่เกิดจากคราบเืสดๆ เปรอะเปื้อนเอาไว้เป็จำนวนมาก
ดาบเล่มนี้เป็ดาบที่มีชื่อเสียงอย่างมากในราชอาณาจักรโล่ยื่อ
“คมอสูรกระหายเื”เป็อาวุธระดับวิถีราชันขั้นกลางที่มีคุณภาพสูง
ไม่น่าเชื่อว่าซ่างกวันหงที่ดูผอมแห้งคนนั้นกลับชอบใช้ดาบใหญ่ที่ดูดุดันอำมหิตแบบนั้นเป็อาวุธแค่ดูจากคราบเืจำนวนมากที่เปรอะเปื้อนอยู่ตรงส่วนคมของดาบก็รู้แล้วว่าอสูรอัคคีผู้นั้นเคยใช้ดาบนี้ฆ่าคนอย่างโเี้จนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“หุบปากไปซะ!!”
ซ่างกวันหงพลันตวัดดาบออกไปทีหนึ่ง
พลังงานอันชั่วร้ายที่อัดแน่นอยู่ในตัวดาบอยู่แล้วก็รวมเข้ากับพลังฟ้าดินนอกรีตที่ตัวเขาฝึกฝนขึ้นมาเองจนรวมเป็หนึ่งดาบคมอสูรกระหายเืก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาในทันใดพลังงานอันแสนชั่วร้ายนั่นถูกฟันออกไปกลายเป็คลื่นดาบโปร่งใส พุ่งเข้าใส่หลินหยางอย่างรุนแรง
การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้ดูดุดันอำมหิตอย่างที่คิดไว้แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่ดูลึกลับน่ากลัวจนชวนขนลุก
หลังคลื่นดาบถูกฟันออกไปแล้วอุณหภูมิภายในห้องก็ลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็งทันที โคมไฟในห้องพลันดับลง
เหล่าทหารองครักษ์เองก็รู้สึกราวกับว่าดวงิญญาของตัวเองกำลังถูกคลื่นดาบนั่นดูดออกไป
การโจมตีของยอดฝีมือระดับสูงสุดของอวิ้นหลิงขั้นกลางพร้อมกับดาบระดับวิถีราชันขั้นกลางนี้มันแข็งแกร่งจนไม่สามารถหาคำอธิบายใดอย่างแท้จริง
และที่แย่หนักไปกว่านั้นคือหลินไป๋ชวนเองก็ลงมือด้วยแล้วเช่นกัน
เทพยุทธ์ผู้นี้ก็เป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นกลางที่เคยสยบหลี่จิ้งจนต้องถอยไปได้ครั้งหนึ่ง
เมื่อครู่เขาถูกหลินหยางด่าเสียจนแทบคลั่งและยิ่งรับไม่ได้กับคำถามที่มันถามเฉินเฉาเกอว่า ยังเป็คนอยู่หรือเปล่า ด้วย
เขาพลันชกหมัดออกไปจนเกิดเป็ลมพายุอันเกรี้ยวกราดสายหนึ่งซึ่งเป็พลังที่มีลักษณะคล้ายกับของซ่างกวันหงถึงแม้มันจะไม่ได้มีรูปร่างเหมือนหัวกะโหลกอันน่าหวาดกลัวแต่ความรู้สึกชั่วร้ายที่พลังนี้ปล่อยออกมานั้นเหมือนกันจนเดาได้ไม่ยากว่าพลังของทั้งสองนั้นน่าจะมีที่มาแหล่งเดียวกัน
แค่ท่าพิฆาตของซ่างกวันหงก็รับมือยากมากพออยู่แล้วคราวนี้ยังมีหมัดของหลินไป๋ชวนเข้ามาอีก ยิ่งรับมือยากเข้าไปใหญ่
เหล่าขุนนางก่อนหน้านี้ยังรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างนั้นก็ต้องกลับมาเป็กังวลจนหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
สื่อซือิที่เป็ผู้นำเหล่าขุนนางข้าราชการช่วยกันส่งเสียงให้กำลังใจหลินหยางเหมือนเหล่าทหารองครักษ์นั้นพวกเขาพลันรู้สึกถึงความอันตรายที่หลินหยางกำลังเผชิญ จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเตือนว่า
“ระวังตัวด้วยผู้าุโหลิน...”
เพียงแต่คราวนี้สื่อซือินั้นรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างก่อนนั่นก็คือเหล่าคนของตระกูลเวินที่ควรจะเป็เป็ห่วงหลินหยางมากที่สุดนั้นพวกเขากลับไม่แสดงความเป็ห่วงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
เขาหันขวับไปมองก็พบว่านอกจากเวินติ่งเทียนแล้วเหล่าคนของตระกูลเวินทั้งหมดนั้นกลับทำแค่ยืนกุมมือสองข้างพร้อมกับมองไปทางหลินหยางด้วยสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น
โดยเฉพาะสาวน้อยรูปงามผู้หนึ่งนั้นตอนนี้กำลังมองไปที่หลินหยางแววตาเป็ประกายราวกับว่านางกำลังมองดูเ้าชายของตัวเองที่กำลังขี่ม้าขาวมาช่วยพวกนางอย่างงดงาม
หมายความว่าอย่างไรกัน?
ทำไมถึงยังนิ่งได้ขนาดนี้อยู่เล่า?
ในขณะที่สื่อซือิที่กำลังสงสัยอยู่นั้นท่าพิฆาตทั้งสองกระบวนท่าก็ได้พุ่งเข้ามาประชิดตัวหลินหยางแล้ว
หั่วเอ๋อร์รีบบินถอยไปยังด้านหลังทันทีแต่มันไม่ได้บินหนีเพราะรู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่มันบินไปพลางบ่นพึมพำไปพลางว่า “ไอ้เวรเอ๊ย คราวนี้ข้าคงรับมือไม่ไหวแล้ว ผลงานสำคัญคงจะโดนเ้าหลินอี้น้อยแย่งไปหมดแน่ๆเลย...”
ส่วนหลินหยางในตอนนี้พลันเปลี่ยนชุดเกราะของตัวเองกลายเป็ชุดเกราะสีเงินขาวทันที
ชุดเกราะชุดนี้มีลักษณะคล้ายกับชุดเกราะิญญาทมิฬอยู่หลายส่วนแต่บริเวณส่วนข้อต่อเช่น เข่า ศอก เป็ต้นจะมีส่วนปลายแหลมที่ยื่นออกมาอย่างคมกริบ เป็ชุดเกราะออกศึกที่แค่ดูจากภายนอกก็รู้สึกว่ามันแข็งแกร่งมากแล้ว
ชุดเกราะสีขาวนี้สร้างขึ้นมาจากส่วนผสมของวัตถุดิบระดับสี่ประมาณสิบชนิดภายนอกชุดเกราะมี “เส้นชีพจรราชัน” จำนวนมากพันกันยุ่งเหยิงเส้นชีพจรเหล่านี้จะทำหน้าที่ผสานพลังฟ้าดินที่แฝงอยู่ในวัตถุดิบแต่ละชิ้นให้เป็หนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์
และนี่ก็คือชุดเกราะราชันเหล็กขาวที่หลินหยางใช้เวลาในการสร้างมันนานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ
เป็สุดยอดผลงานที่ก้าวข้ามยุคสมัยนี้ไปแล้วโดยสมบูรณ์
ในจังหวะที่หลินหยางกำลังเปลี่ยนชุดอยู่นั่นเองท่าพิฆาตของทั้งซ่างกวันหงและหลินไป๋ชวนก็มาถึงตัวเขาแล้ว
บริเวณหน้ากากส่วนที่ปกปิดดวงตาที่แต่เดิมโปร่งใสก็พลันเปล่งแสงสีเหลืองออกมาผู้คนราวกับมองเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากนั่นกำลังแย้มยิ้มอย่างเ็า
พลังฟ้าดินสีเหลืองเข้มเปล่งออกมาจากทั่วร่างของเขาจากนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็กำแพงอันแข็งแกร่งดุจผืนพสุธาแผ่นหนึ่งกั้นขวางการโจมตีเอาไว้
พลังฟ้าดินธาตุพสุธา - ป้องกัน!
หลินหยางประสานมือเป็รูปกากบาทอยู่ตรงบริเวณอกจากนั้นก็ต้านรับการโจมตีนั่นเอาไว้โดยไร้ซึ่งความหวั่นเกรง
ตึง!
ไม่มีเสียงะเิดังโครมครามเกิดขึ้น
ได้ยินแต่เพียงเสียงที่ดังขึ้นราวกับมีค้อนเหล็กสองอันทุบลงบนผืนแผ่นดินการโจมตีสุดน่ากลัวและทรงพลังทั้งสองพลันถูกพลังฟ้าดินธาตุพสุธาสลายทิ้งจนมลายหายไปสิ้น
ตึกตึกตึก
หลินหยางถูกผลักถอยหลังไปสามก้าวแล้วจึงทรงตัวได้
นอกจากตระกูลเวินแล้ว คนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนตกตะลึงจนเหวอไป
โดยเฉพาะซ่างกวันหงและหลินไป๋ชวนที่กำลังมองดูหลินหยางด้วยสีหน้าอย่างกับคนเห็นผี
อ...ไอ้หนูนี่... มันรับได้?
ไม่ใช่แค่รับได้อย่างเดียวเท่านั้นแถมมันยังไร้ซึ่งาแ อย่างมากสุดก็ถูกผลักถอยหลังไปสามก้าวเท่านั้น
นั่นมันชุดเกราะบ้าอะไร!!!
แต่หลินหยางไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูได้ใเลยแม้แต่น้อยพลังฟ้าดินสีเหลืองที่ถูกสร้างเป็กำแพงรอบตัวเขาค่อยๆ แตกสลายไปราวกับดินที่แห้งและแตกออกจากนั้นดวงตาทั้งสองของเขาพลันะเิแสงสีเพลิงออกมาอย่างรุนแรง
พลังฟ้าดินธาตุอัคคี - โจมตี!!
ถ้าหากซ่างกวันหงหยุดมาสังเกตชุดเกราะของหลินหยางดูดีๆละก็ มันต้องใจนอ้าปากค้างแน่นอน
เพราะนี่คือยุทธภัณฑ์ระดับวิถีราชันชิ้นแรกของทวีปชี่อู่ที่สามารถปล่อยพลังฟ้าดินออกมาได้สองธาตุพร้อมกันชุดเกราะที่หลินหยางใช้เวลาในการสร้างนานขนาดนั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสุดยอดผลงานที่ก้าวข้ามยุคสมัยไปแล้วอีกชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่มีใจจะไปสนใจเื่แบบนั้นแล้วได้ยินแต่เสียงะเิของเปลวเพลิงพุ่งขึ้นฟ้าอย่างมหาศาล
หลินหยางพลันเปลี่ยนเป็เทพอัคคีในเกราะเหล็กแทบจะทันทีประกายเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นพุ่งทะยานสูงถึงสามเมตรกว่าแทบจะชนกับเพดานของพระตำหนักแห่งนี้แล้ว
แม่เ้า!
แรงกดดันแบบนี้ทำเอาเหล่าคนของตระกูลซ่างกวันนั้นใจนเผ่นหนีกันไปหมดแม้แต่คนของฝั่งชูอวิ๋นเองก็ยังหน้าถอดสี
สื่อซือิกล่าวออกมาว่า “ผู้าุโหลินระวังอย่าไปเผาโดนเพดานนะ! นั่นน่ะเป็สิ่งที่บรรพบุรุษที่อดีตจักรพรรดิเคยหลงเหลือไว้ในอดีตเมื่อนานมากๆแล้ว!”
ดูท่าทาง
พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายอะไรอีกแล้วอีกทั้งยังคิดจะเก็บรักษาวัตถุโบราณไว้อีก
แต่ก็ไม่รู้ว่าหลินหยางได้ยินหรือเปล่าเห็นแต่เพียงเทพอัคคีผู้เกรี้ยวกราดนั่นกำลังบุกทะลวงไปเบื้องหน้าโดยทุกก้าวที่เขาเดินออกไปล้วนทิ้งรอยเท้าที่มีเปลวไฟลุกโชนเอาไว้ด้วยพลังไฟที่ะเิออกมานั่นราวกับูเาไฟที่กำลังปะทุออกมาเข้าไปกดดันศัตรูตรงหน้าโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
หลินหยางในตอนนี้ไม่จำเป็ต้องใช้เพลงดาบเฟิ่งอู่หวังหลีอีกต่อไป
แค่พลังฟ้าดินธาตุอัคคีของชุดเกราะิญญาเหล็กขาวเมื่อรวมเข้ากับวิชาร่างสถิตภูตอัคคีแล้วเขาแทบจะไร้ความหมาย พลังโจมตีที่ปล่อยออกมานั้นอยู่ที่ประมาณหนึ่งแสนกว่าชั่ง
ซึ่งนั่นเป็พลังของระดับเซียนเทียนขั้นท้ายแล้ว
โอ้โห
หลินหยางสะบัดดาบออก พลังฟ้าดินธาตุไฟก็เปล่งออกมาจากดาบเฟิ่งอู่จนมีเปลวเพลิงยื่นออกมายาวราวห้าเมตรกว่าจากนั้นก็ฟาดฟันใส่บนลำตัวของหลินไป๋ชวน
ตูม
เทพยุทธ์ที่เป็ดั่งตัวตนอันแข็งแกร่งเด็ดขาดของอาณาจักรชูอวิ๋น
กลับถูกฟาดจนตัวม้วนคล้ายกิ้งกือ ดวงตาทั้งสองมันแทบจะกระเด็นออกมาจากนั้นก็กระอักเืขึ้นฟ้าไปร่างกายของเขาถูกซัดปลิวกระเด็นออกไปนอกพระราชวังทันทีราวกับว่าวที่สายป่านขาด
ช่างเป็ยอดฝีมือที่น่าสงสารจริงๆใครจะคิดว่าเขาในวันนี้กลับต้องออกจากที่แห่งนี้ไปด้วยวิธีสุดอนาถแบบนี้...
นอกจากนี้
พลังดาบอันรุนแรงของหลินหยางนั้นยังก่อให้เกิดคลื่นลมแรงดุจพายุอันเกรี้ยวกราดพัดเอาเหล่านักฆ่าชุดดำที่ก่อนหน้านี้อุตส่าห์หนีรอดไปได้แล้วปลิวว่อนขึ้นฟ้าราวกับเศษผ้าถูกพัดกระเด็นออกไปจากพระตำหนักแห่งนี้
ส่วนไอ้สวะจอมทรยศอย่างหวังิชงที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีโอหังอวดดีสุดขีดนั้น ตัวมันที่มีระดับพลังแค่ระดับชุ่ยถี่นั้นก็ถูกสายลมอันเกรี้ยวกราดนี้เป่าจนพุ่งไปกระแทกเข้ากับเสาค้ำต้นหนึ่ง
ส่วนหัวถูกกระแทกจนกะโหลกแตก เืสดๆสาดกระเซ็นไปทั่ว ตายอนาถคาที่ในทันที
หลังการโจมตีครั้งนี้จบลง
เหล่าอำนาจมืดที่ทำตัวอำมหิตสุดแสนก็เหลือแค่สองพ่อลูกตระกูลซ่างกวันเฉินเฉาเกอ และผู้าุโระดับอวิ้นหลิงของตระกูลซ่างกวันอีกหนึ่งคนเท่านั้น
แต่นี่เป็แค่จุดเริ่มต้นของการบุกโจมตีของหลินหยางเท่านั้น
เอานี่ไปกิน!!
หลังจากนั้นการโจมตีของหลินหยางก็ดุดันยิ่งกว่าเดิม
แต่ละดาบที่ฟาดฟันออกไปนั้นหนักแน่นดุจขุนเขา ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้เลย
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวพลังดาบสั่นะเืผืนพสุธา ส่วนพื้นของพระตำหนักกว่าครึ่งถูกทำลายจนแหลกละเอียดทำเอาสื่อซือิรู้สึกเ็ปยิ่งนัก
“ไอ้หยานั่นมันพื้นที่สร้างขึ้นจากหยกเขียวอายุกว่าห้าร้อยปีเลยนะ...”
ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าพวกซ่างกวันหงได้ยินคำพูดแบบนี้เข้าไปแล้วจะรู้สึกอย่างไรแต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่มีเวลามาสนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้วในหัวพวกมันตอนนี้กำลังคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถหนีเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของหลินหยางได้
หลบเร็ว!!
ทั้งสี่คนส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนกะโขึ้นฟ้าหลบการโจมตีสุดน่าสะพรึงกลัวของหลินหยางไปได้อีกครั้งหนึ่งอย่างเฉียดฉิว
แต่หลินหยางนั้นกำลังรอพวกเขาอยู่นานแล้ว
หนึ่งหมัด หนึ่งฝ่ามือ
อัดกระแทกใส่บริเวณหน้าอกของซ่างกวันอวิ๋นและผู้าุโอีกคนหนึ่งเต็มๆโดยไม่พลาดเป้า ซัดเอาสองคนนั้นพุ่งทะยานออกไปนอกพระตำหนักอย่างรุนแรง
ส่วนเฉินเฉาเกอนั้น บนตัวของไอ้สวะนี่บัดนี้มีพลังอันดำมืดสุดชั่วร้ายกำลังแผ่กระจายออกมาดูท่าทางมันเองก็ได้เรียนรู้วิชานอกรีตแบบเดียวกับของพวกหลินไป๋ชวนแล้วเหมือนกันทำให้พลังฝีมือของมันในตอนนี้เทียบเท่ากับระดับอวิ้นหลิงขั้นต้นแล้ว
แต่นั่นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
หลินหยางพลันเข้าไปทักทายเฉินเฉาเกอทีหนึ่ง
รอยเท้าข้างหนึ่งของหลินหยางพลันถูกประทับลงบนใบหน้าของเฉินเฉาเกออย่างแนบสนิทโดยไม่มีบิดพลิ้วนอกจากจะสามารถเหยียบจนจมูกของไอ้ชั่วนี่จนแหลกละเอียดได้แล้วใบหน้าของมันก็ถูกเหยียบจนยุบลงไปด้วยเช่นกันเสียงกระดูกแหลกละเอียดนั่นดังลั่นไปทั่วทั้งพระตำหนัก
กร๊อบ กร๊อบ
เฉินเฉาเกอถูกถีบจนกระเด็นตามพวกพ้องของมันออกไปแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้