“ฉันไปพูดตอนไหนคะ ฉันไม่เคยคิดฟ้องอะไรใครทั้งนั้น แล้วอยู่ ๆ มาขึ้นเสียงใส่กันแบบนี้ คุณอารมณ์เสียมาจากที่อื่นหรือเปล่า?” เป็ครั้งแรกที่ผมเห็นมยุราเถียงกลับ เธอเองก็คงสุดทนแล้วเหมือนกัน แทนที่ภูมิพลจะได้สติ เขากลับเดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบเอากล่องข้าวมาวางไว้บนโต๊ะ พลันชี้มือใส่กล่องข้าวที่ว่าแล้วเอ่ยขึ้น
“งั้นนับจากวันพรุ่งนี้ คุณก็กลับมาทำอาหารกลางวันให้ผมเหมือนทุกวัน ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว อยากทำให้ผมมากนัก ก็ทำเลย”
“ค่ะ” เธอตอบรับโดยไม่ตอบโต้ ผมรู้ว่าเธอเสียใจแค่ไหน ที่เห็นกิริยาของสามีอย่างนั้น ก่อนเขาจะพุ่งตัวเข้ามาหาเธอแล้วดึงแขนเธอขึ้นด้วยความโกรธ
“เราสองคนแต่งงานกัน ไม่ใช่เพราะความรักคุณเองก็รู้” เขามองเธอตรง ๆ แล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงเข้ม
“แต่ถ้าคุณสร้างปัญหา หรือทำให้ผมต้องสูญเสียพรรณีไปล่ะก็ อย่าหาว่าผมไม่เตือน” สิ้นเสียงของภูมิพล ผมที่ยืนฟังอยู่เหมือนถูกมีดแหลม ๆ กรีดเข้ากลางใจ น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาพร้อมกำมือแน่นจนสั่นระริก
“เราแต่งงานกันเพราะความเหมาะสม ฉันรู้ค่ะ แต่ที่คุณทำอยู่ตอนนี้ แน่ใจเหรอคะว่ายังมีความเป็สุภาพบุรุษอยู่” เธอมองไปยังมือเขา ที่กำแขนเธอแน่น และเหมือนเขาจะได้สติกลับมาจึงค่อย ๆ ปล่อยมยุราออก ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปยังกล่องยาที่วางอยู่ แล้วนิ่งงันไปครู่
“เท้าคุณไปโดนอะไร”
‘หึ’ ผมได้แต่หัวเราะในลำคอเบา ๆ ผู้ชายอย่างเขาหลงหญิงอื่นจนหน้ามืดตามัว ไม่เคยสนใจดูแลภรรยาตัวเอง มยุราค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่ง แล้วตอบ
“งานแต่งลูกสาวผู้ใหญ่เสรี คุณกลับก่อน ฉันก็เลยต้องเดินกลับค่ะ” เธอไม่สาธยายอะไรมากนัก ผมจึงหันมองไปยังภูมิพลที่กำลังทำท่าแปลกใจ
“ว่าไงนะ?” มยุราไม่ตอบ เธอหันกลับไปเก็บขวดยาเข้ากล่องอย่างเงียบ ๆ
“ทำไมไม่ให้ใครมาส่ง เดินกลับมาเองเนี่ยนะ”
“คุณบอกว่าจะไปรับ ถ้าฉันให้คนอื่นมาส่ง ฉันก็ผิดอีกไม่ใช่เหรอคะ?” เธอตอบ ก่อนแววตาของเขาสว่างขึ้นเล็กน้อย เหมือนคนรู้สึกตัว แต่ยังไร้สำนึก
“ส่วนเื่ที่คุณกลับมาต่อว่าฉัน ฉันไม่ได้เป็คนฟ้องพ่อกับแม่คุณ จะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่คุณนะคะ” หลังจากมยุราพูดจบ เขาก็เบี่ยงตัวเดินออกจากบ้านไป
เป็ครั้งแรกที่ผมยิ้มให้กับมยุรา แล้วยกมือให้เธอ ที่กล้าลุกขึ้นมาเถียงกลับผู้ชายเลว ๆ อย่างเขา ทว่าชื่นชมมยุราได้เพียงครู่เดียว ร่างผมก็ถูกพลังบางอย่าง ดูดตามเขาออกมาอยู่ในรถโบราณคู่ใจคันเดิม สังเกตได้ว่าท่าทางของเขาดูกังวลอย่างมาก สีหน้าแววตาสัดส่ายไปมาเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง กุหลาบช่อโตวางอยู่ด้านข้าง
ถ้าให้เดา...กุหลาบช่อนี้ก็คงเป็ของพรรณีอีกเหมือนเคย ที่เขาเข้าไปต่อว่ามยุรา ก็เพราะโมโหที่ทำให้พรรณีโกรธ โมโหที่ลงกับใครไม่ได้ก็เลยลงกับภรรยาตัวเอง ผมเลื่อนสายตามองกุหลาบสีแดง พร้อมเสียงเพลงเย็น ๆ บรรเลง
จะว่าไปภูมิพลเป็ผู้ชายรักเดียวใจเดียว เป็คนรักที่ดีของพรรณี แต่เขาไม่เคยเป็สามีที่ดีของมยุราเลยสักครั้ง ผมถอนหายใจแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่กำลังแล่นไปเรื่อย ๆ ผ่านสถานที่ต่าง ๆ ไม่คุ้นตา ผ่านสะพานไม้ ผ่านโรงน้ำแข็ง ก่อนจอดลงที่ตลาดแห่งหนึ่ง ผู้คนเวลานี้เดินกันพลุกพล่านเพื่อมาจับจ่ายใช้สอย ก่อนเครื่องยนต์ดับลงพร้อมเสียงเพลงที่เงียบไปพร้อมกัน ทำให้ผมหันมองไปยังภูมิพล ชายหนุ่มหล่อเหลารูปร่างสูงสง่า ทว่าใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ผมเหมือนถูกแรงบางอย่าง ผลักให้เตินตามเขาเข้าไปในตลาดก่อนจะเห็นใบหน้าของภูมิพลซีดลง เมื่อมองไปยังแผงขายขนมที่ว่างเปล่า
“ขอโทษนะครับ วันนี้พรรณีไม่มาขายขนมเหรอครับ” ผมเห็นเงาในสายตาเขา แสดงความเ็ปออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่คนที่เ็ปกว่า คงเป็ผมที่ยังยืนอยู่ตรงนี้....
“ไม่เห็นนะ แต่ปกติพรรณีไม่เคยหยุดขาย ป้าคิดว่าอาจป่วย เย็น ๆ ว่าจะไปดูซะหน่อย อยู่ตัวคนเดียวแบบนั้นน่าเป็ห่วง” ยายแก่ ๆ พูดพลางจัดผักหน้าแผงไปด้วย ในกิริยาสบาย ๆ ทว่าหันมองไปยังภูมิพล คำตอบของคุณยายยิ่งทำให้เขาเป็ห่วงพรรณีมาก ๆ จึงไม่รีรอ หันตัวกลับไปยังรถโบราณของตัวเอง พร้อมร่างผมถูกผลักตามไปอีกครั้ง
คราวนี้ด้วยความรีบร้อน เขาไม่ทันได้เปิดเพลงเย็น ๆ เ่าั้อีก หากแต่เหยียบคันเร่งมุ่งตรงไปยังซอยเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตลาดมากนัก ก่อนจะจอดสนิทหน้าห้องเช่าไม้เล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะเอาไว้กันลมกันฝนเท่านั้น เพราะทำจากไม้แปะ ๆ ค่อนข้างเก่า คราวนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อกับแม่ของคุณภูมิพล ถึงอยากให้เขาแต่งงานกับมยุรา เพราะฐานะทั้งสอง เหมาะสมและคู่ควร แตกต่างจากพรรณี ที่อยู่ตัวคนเดียวและเป็เพียงแม่ค้าขายขนม ในตลาด สิ่งเดียวที่เธอเหนือกว่า ก็คือความรักที่ภูมิพลมอบให้เท่านั้น....
ผมเดินตามเขาเข้าไปในห้องเช่าเล็ก ๆ เห็นพรรณีนั่งหลบอยู่ในมุมมืดของห้อง เธอร้องไห้ตัวสั่นระริก เสียงสะอื้นไห้เล็ก ๆ ลอดออกมาให้ผมยืนมองอย่างเงียบ ๆ และพบว่ามันไม่ได้ต่างจากความเ็ปที่มยุราได้รับ
ก่อนภูมิพลจะยื่นดอกกุหลาบช่อใหญ่ให้เธอเพื่อขอโทษอย่างอ้อม ๆ ทำให้เธอรู้สึกตัวแล้วปาดน้ำตาออก หันมองมายังเขา พลันปัดกุหลาบช่อนั้นทิ้งไป
“คุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากถูกพ่อกับแม่คุณต่อว่า ว่าทำอนาคตคุณเสียหาย ฉันก็แค่แม่ค้าขายขนม ที่กำพร้าพ่อแม่อยู่ตัวคนเดียว จะไปสู้ภรรยาของคุณที่เป็ถึงลูกสาวกำนันได้ยังไง?” เธอพรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นออกมา หากแต่ถูกภูมิพลเข้าไปกอดเธอไว้แน่น
“ผมไม่ไป ไม่มีวันทิ้งคุณ!” เรียวแขนอันแข็งแกร่งของเขา โอบกอดพรรณี พร้อมน้ำตาเอ่อล้นออกมา พวกเขาเ็ป! แต่พวกเขาไม่มีวันรู้ ว่าผมเ็ปมากกว่าเป็สิบเท่า...
“แล้วยังไงคะ จะอยู่กันยังไง”
“ก็อยู่แบบนี้”
“อยู่แบบนี้งั้นเหรอ...ดูสิคะ บ้านเช่าที่ถูกสักกะสีแปะไปทั่ว บางวันขายขนมได้แค่สิบห่อ ฉันจะทำให้คุณเลื่อนยศได้ยังไง มีแต่จะดึงคุณลงมา ไม่มีอะไรส่งเสริมคุณได้สักอย่าง พ่อกับแม่คุณพูดถูก ฉันไม่มีอะไรสู้ภรรยาคุณได้...กลับไปซะ!” เธอไม่พูดเปล่า แต่พยายามผลักเขาออกจากห้องเช่า พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อย่ามาเจอกันอีก เราสองคนอย่าได้เจอกันอีกเลย...” ดูเหมือนคำพูดของพรรณี ทำให้เขาชะงักนิ่ง ผมคิดว่าเขาคงเ็ปที่ถูกคนรักตัดสัมพันธ์ เพราะแววตาแดงมองตรงไปยังพรรณีแล้วนิ่งชะงักไป ราวกับโลกของเขากำลังพังทลายลงต่อหน้า
“คุณกำลังบอกเลิกผมงั้นเหรอ”
“ค่ะ อย่าได้เกี่ยวข้องกันอีก” พูดจบ เธอก็ปิดประตูใส่หน้าเขาทันที!
“ถึงแล้วครับ” เสียงของคุณหมอนาวินเอ่ยขึ้นทำให้ความรู้สึกที่หลุดเข้าไปในภวังค์กลับมาในโลกปัจจุบัน ไม่รู้ว่าผมขับรถมาถึงร้านได้ยังไง เพิ่งรู้ตัวว่ากำพวงมาลัย เท้าเหยียบเบรกอยู่ ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ พบว่าเป็ร้านอาหารขนาดกลาง ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าไรนัก
“เป็อะไรหรือเปล่า?” คุณหมอนาวินเอ่ยถาม และผมก็ฝืนยิ้มพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพื่อเรียกสติตัวเอง
“คุณชอบร้านนี้เหรอ?” ผมมองเข้าไปยังร้านอาหารแล้วหันไปถามเขา
“รสชาติอาหารอร่อย ราคาไม่แพง คุณลองชิมดูแล้วจะติดใจ” เป็ประโยคยาว ๆ ที่คุณหมอพูดกับผม จากนั้นผมจึงดับเครื่องแล้วเดินตามเขาเข้าไป ระหว่างนั้นสังเกตเห็นท่าทางการเดิน บุคลิก การแต่งกาย แทบไม่ต่างจากคุณภูมิพลเมื่อชาติก่อนสักนิด อยู่ ๆ ก็ทำให้หวนนึกถึงพรรณี เธอเองก็เหมือนกัน รูปลักษณ์ไม่ต่างจากชาติที่แล้ว จะมีก็แค่ผมที่เปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็เพศ เป็หน้าตา หรือแม้แต่นิสัย...
“นั่งโต๊ะนี้แล้วกัน จะได้เห็นบรรยากาศด้านนอกด้วย” เขาเอ่ยขึ้น ทำให้ผมยิ้มแล้วเดินมาย่อตัวลงนั่งยังเก้าอี้ แน่นอนว่าอาหารที่เขาสั่ง ยังเป็เมนูต้มมะระ ไข่เจียว เมนูธรรมดา ๆ ที่มยุราเคยทำให้ในอดีต
“คุณเอาอะไรเพิ่มอีกไหม?” เขาหันมาถาม
“ไวน์สักแก้วก็ดี”
“เวลานี้น่ะเหรอ?” ผมพยักหน้า เขาหันไปสั่งไวน์ พร้อมอาหารเพิ่มอีกสองอย่าง ซึ่งผมไม่ได้สนใจนัก ว่าเขาสั่งอะไรไปบ้าง รู้เพียงแต่ว่า ผมต้องทำดีกับเขาให้มาก ให้เขาไว้ใจ....
ภายในร้านมีแค่โต๊ะผมกับอีกสองโต๊ะ ที่ห่าง ๆ กัน เปิดเพลงเก่า ๆ รวมถึงบรรยากาศคล้ายไทยย้อนยุค ผนังตบแต่งด้วยภาพขาวดำ พร้อมกลิ่นหอมของสมุนไพรในครัวลอยเข้ามาเตะจมูกเป็ระยะ ผมหยิบแก้วน้ำจิบเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคุณหมอนาวิน ที่นั่งตรงข้ามในเสื้อเชิ้ตสีขาว ผิวพรรณเนียนละเอียดเมื่อต้องแสงไฟในร้าน
“คุณอยู่ยังไงคนเดียว ไม่เหงาเหรอ?” ผมอยากรู้จักตัวตนเขาให้มากกว่านี้ จึงเอ่ยถาม
“ไม่มีเวลาเหงา ส่วนใหญ่ผมอยู่กับคนไข้ เคยบอกคุณแล้วหนิ” เขายิ้ม ดวงตานิ่งสงบ
“พูดตรง ๆ เลยนะ ถึงผมจะมีเพื่อนเยอะ แต่ไม่รู้ทำไม พออยู่ใกล้คุณหมอแล้ว มันรู้สึกอบอุ่นแปลก ๆ เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน... คุณหมอรู้สึกแบบนั้นบ้างไหม?” ผมยกมือขึ้นกอดอกเล็กน้อย ก่อนเขานิ่งไปครู่หนึ่ง พร้อมมือคลึงแก้วน้ำช้า ๆ ไม่รู้ว่าใจคิดอะไร แต่สุดท้ายกลับยิ้มแล้วตอบ
“พรรณีก็เคยพูดแบบนั้น!” ผมสะอึกวูบ หากแต่เก็บซ่อนไว้ภายใต้รอยยิ้ม แล้วตอบกลับ
“คุณสองคนเหมาะสมกันดี”
“คุณเองก็เหมาะสมกับพรรณีเหมือนกันนะ ที่เคยขอเธอจากผม เปลี่ยนใจแล้วเหรอ?”
“ถ้างั้น ผมก็ต้องอยู่ใกล้คุณหมอบ่อย ๆ ใช้คุณหมอเป็สะพานเพื่อใกล้กับเธอ คุณหมอเตรียมคิดค่าเสียเวลาได้เลย” เขาหลุดยิ้ม แล้วมองหน้าผมนิ่ง ให้ตายเถอะ สายตาแบบนี้แม้ใจแข็งก็หวั่นไหวได้เหมือนกัน