หลิวเหรินกุ้ยมองหวงเสียวหู่ออกจากประตูบ้านไปด้วยแววตายิ้มแย้ม แล้วเอ่ย “น้องสาม ข้าว่าเ้าหูจื่อเริ่มเป็ผู้เป็คนแล้วนะ”
หลิวซุนซื่อนั่งลงข้างๆ จางกุ้ยฮัวด้วยความสนิทสนม “นั่นสิ น้องสาม พริบตาเดียว หูจื่อก็อยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้ของเราเกือบสี่ปีแล้ว เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ถึงวัยที่ควรพูดเื่แต่งงานแล้ว”
จางกุ้ยฮัวตอบว่า “สมควรแก่เวลาพูดเื่แต่งงานแล้ว”
“อะไรกัน ยังไม่ได้มีการพูดคุยอีกหรือ?” หลิวซุนซื่อได้คำตอบที่้าแล้ว จึงดีอกดีใจ
จางกุ้ยฮัวไม่ได้คิดมาก จึงตอบว่า “ข้าไม่เคยได้ยินท่านป้าพูดถึงเื่นี้”
นางรู้สึกว่าบิดามารดาของหวงเสียวหู่คงไม่เห็นหญิงสาวในหมู่บ้านสามสิบลี้อยู่ในสายตา และคงต้องหาหญิงสาวจากตระกูลผู้ดี เช่นนี้จึงจะเหมาะสมกันเป็กิ่งทองใบหยก
“การจะพูดเื่แต่งงานก็ต้องดูความเหมาะสมของทั้งสองฝ่าย” หลิวซานกุ้ยฟังอยู่ด้านข้างรับรู้ถึงความผิดปกติ
หลิวเหรินกุ้ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “น้องสามพูดถูกต้อง ใครบ้างจะไม่พูดถึงเื่ความเหมาะสม”
“ว่ากันว่าบุรุษต้องสู่ขอคนที่ด้อยกว่า สตรีต้องแต่งกับคนที่สูงส่งกว่ามิใช่หรือ?” หลิวซุนซื่อได้ยินก็ไม่พอใจ จูเอ๋อร์ของนาง ถึงอย่างไรก็คู่ควรกับหวงเสียวหู่ทุกด้าน!
จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าเื่นี้ไม่สมควรพูดกันต่อ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ดูความจำข้า มัวแต่คุยกัน ตอนนี้เวลาสายมากแล้ว ข้าควรเตรียมตัวทำอาหารก่อน”
หลิวจื้อเป่ากําลังะโไปทั่ว “ท่านแม่ ข้าอยากกินเนื้อ แล้วก็ ข้าเห็นบ้านอาสามแขวนเป็ดเค็มไว้ด้วย ข้าอยากกินด้วย!”
“ได้ น้าสามจะไปเอามาทำให้เ้า”
สำหรับหลิวจื้อเป่าซึ่งอายุเพียงสี่ขวบเศษ จางกุ้ยฮัวเอ็นดูเขาพอสมควร
เพียงแค่เขาเอ่ยปาก นางก็รับปากทันที
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองหลิวจื้อเป่าที่ตัวเริ่มกลมขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะะโว่า “เ้าอ้วนเป่า ได้ยินว่าเ้าเล่าเรียนแล้วหรือ?”
ดวงตาของหลิวจื้อเป่าตัวขาวเบิ่งออกกว้าง เขาเกลียดที่สุดเวลามีคนถามถึงเื่เรียน
“ยังไม่รีบบอกกับเต้าเซียงอีกว่าเ้ารู้อักษรอะไรบ้าง?” หลิวซุนซื่อภูมิอกภูมิใจ บุตรชายสองคนที่ได้เล่าเรียนกันหมด ในพื้นที่ละแวกนี้นับว่าเป็เื่ที่น่าป่าวประกาศยิ่งนัก
หลิวจื้อเป่าทำปากแคบลงและตอบว่า “อาจารย์คนนั้นน่ารําคาญมาก เอะอะก็เอาไม้ไผ่ตีมือคนอื่น เจ็บจนหยิบตะเกียบกินข้าวไม่ได้”
ใบหน้าของหลิวซุนซื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลิวเหรินกุ้ยหัวเราะและพูดว่า “เด็กหนอ อาจารย์สอนตำราคนไหนบ้างที่ไม่ลงโทษเด็ก ตอนนั้นข้าเองก็เคยถูกตี น้องสาม ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเ้าถูกตีเยอะกว่า เสียดายนัก เ้าเป็คนที่ไม่ชอบเล่าเรียน ตอนนั้นท่านแม่กังวลกับเ้าไม่น้อย”
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงพูดไม่ออก พ่อแสนดีของนางมีความสามารถอ่านผ่านตาและไม่ลืม ช่างเถิด เื่นี้เอาไว้แอบภูมิใจกันภายในครอบครัวดีกว่า
จากนั้นครอบครัวของหลิวเต้าเซียงก็มองไปที่ครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยที่ดูเหมือนคนโง่
ใครจะรู้ คนหัวเราะทีหลังดังกว่า!
จางกุ้ยฮัวลุกไปทำอาหาร ส่วนหลิวชิวเซียงก็เดินตามหลังเหมือนหางน้อยของมารดา หลิวเต้าเซียงไม่ยอมไปจึงเกาะอยู่ข้างหลิวซานกุ้ยไม่ไปไหน จางกุ้ยฮัวเองก็ตามใจนาง ไม่บอกให้นางไปทำงาน
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกไป หลิวซุนซื่อ้าลุกขึ้นไปที่ห้องครัว หลิวเต้าเซียงก็เอ่ยปาก “ป้ารอง พวกท่านเดินทางจากตำบลมาคงเหนื่อยแล้ว รีบมานั่งพักดีกว่า ในเมื่อเป็แขก ก็ไม่บังอาจให้พวกท่านไปช่วยงานในครัวหรอก”
เพียงคำพูดลอยๆ ก็ดักทางคนที่อยากลุกขึ้นแล้ว
หลิวซุนซื่อไม่ขยับ หลิวจูเอ๋อร์คนี้เีก็ไม่ขยับ หากสามารถนอนเอนได้ก็ไม่มีทางลุกขึ้นมานั่งเด็ดขาด
หลิวเหรินกุ้ยยิ้มตาพริ้มแล้วเอ่ยกับหลิวซานกุ้ย “น้องสาม เ้าเลี้ยงลูกสาวได้ดีมาก ดูสิ เข้าใจอะไรขึ้นเยอะนัก”
ช่างน่าชิงชังนัก หลักแหลมอย่างกับลิง เ้าแผนการเช่นนี้หากออกเรือนไปบ้านไหน คงสามารถเป็ภรรยาหลวงได้แน่นอน
หลิวซานกุ้ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ลูกสาวข้าเป็เด็กดีทุกคน”
ไม่สำคัญว่าคนเขาจะสรรเสริญจริงๆ หรือไม่ แต่หลิวซานกุ้ยก็ถือว่านั่นเป็คําชม
หลิวเหรินกุ้ยยิ้มอีกครั้ง แต่รอยยิ้มนั้นไม่เป็ธรรมชาติเหมือนเมื่อก่อน “ใช่สิ น้องสาม ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเ้าจูงลากลับมาจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ บ้านเ้าซื้อลาแล้วหรือ? กุ้ยฮัวมีบุญ เ้าก็มีน้องเมียที่ได้ดี นี่เป็เื่ดียิ่งนัก มีลา จะได้ทำนาได้สบายขึ้นมาหน่อย”
“เฮ้อ ไม่อยากจะเอ่ย ก่อนหน้านี้ข้าเห็นน้องสามเหมือนกลับมาจากที่นาของท่านพ่อกับท่านแม่” หลิวซุนซื่อเห็นั้แ่แรก เพียงแต่สองสามีภรรคู่นี้เลือกที่จะเอ่ยถึงลาขึ้นมาตอนนี้
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “ใช่แล้ว ตอนที่แยกครอบครัวก็คุยกันไว้ว่า ข้าจะช่วยท่านพ่อท่านแม่ทำนาฤดูใบไม้ผลิให้เสร็จ”
สำหรับการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง จึงจะรอดูเมื่อถึงเวลานั้น!
“ข้ายังไม่ได้ถามเลย ท่านพ่อกับท่านแม่ไปไหนหรือ? ตอนที่พวกข้ากลับมา ที่ประตูมีการลงกลอนไว้” หลิวเหรินกุ้ยอาศัยจังหวะเข้าเื่อย่างไหลลื่น
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “พี่รองไม่รู้หรือ? พี่ใหญ่ส่งคนนำเกวียนวัวมารับท่านพ่อกับท่านแม่ไปพักที่ตัวเมืองจังหวัด”
“ท่านแม่เพิ่งไปตอนฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วไม่ใช่หรือ?” หลิวซุนซื่อไม่พอใจ
“ป้ารอง ข้าจำได้ว่าป้าใหญ่คงใกล้คลอดแล้ว!” หลิวเต้าเซียงยังจำเื่นี้ได้
หลิวเหรินกุ้ยยิ้ม “ฮ่าๆ หลานข้าความจำดียิ่งนัก พอคำนวณวันแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็ใกล้จะคลอดแล้วจริงด้วย”
เมื่อหลิวซุนซื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ฉุกคิดได้แล้วแอบส่งสายตาให้หลิวจูเอ๋อร์
“ท่านพ่อ ท่านปู่กับท่านย่าไปในเมืองแล้ว พวกเราจะพักที่ไหน!” หลิวจูเอ๋อร์ได้รับการส่งสัญญาณ จึงรีบหันไปถามหลิวเหรินกุ้ย
เมื่อนางวางแผนมาเช่นนี้ เหมือนหลิวเหรินกุ้ยจะลืมคำพูดเมื่อครู่ไป จึงตอบ “แน่นอนว่าต้องพักที่…”
เดิมทีเขาจะตอบว่าบ้านเดิม แต่ประตูบ้านลงกลอนอยู่ หากบอกว่าขอยืมอาศัยบ้านน้องสาม เขาเองก็ดูแคลนจากใจ ดูจากตัวบ้าน อิฐก็เก่าแก่หลายสิบปี มีเพียงหลังคาหญ้าฟางที่เปลี่ยนใหม่ ส่วนกำแพงบ้านที่ก่อใหม่ก็ยังพอดูได้
หลิวเหรินกุ้ยรู้สึกตระหนักถึงข้อเท็จจริง
น้องสะใภ้สามไม่ได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงตามข่าวลือที่แพร่มา หากว่ายี่สิบถึงสามสิบตำลึงก็คงถึง
“แน่นอนก็ต้องพักที่บ้านท่านย่าสิ ก็แค่ประตูบ้านลงกลอนไม่ใช่หรือ หากท่านปู่ย่าอยู่บ้าน จะไม่ให้ครอบครัวลุงรองเข้าบ้านเลยหรือ? ตอนนั้นบอกว่าแยกบ้าน แต่ไม่ได้บอกว่าแยกบ้านเดิมด้วยนี่นา” หลิวเต้าเซียงแลดูหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าพวกนางจะมาขอเข้าพัก
หลิวจูเอ๋อร์เบะปาก ใครจะไปอยากอาศัยในบ้านซอมซ่อหลังนี้กัน “ท่านพ่อ ท่านย่ากำลังสร้างบ้านใหม่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดบทจะไปก็ไปทั้งอย่างนี้!”
“หลานจูเอ๋อร์คงไม่รู้ ตอนนี้เป็ฤดูทำนาที่ค่อนข้างยุ่ง ไม่มีเวลามาสร้างบ้านหรอก” หลิวซานกุ้ยสามารถทำให้หลิวจูเอ๋อร์หุบปากได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
หลิวเหรินกุ้ยถามอีกครั้ง “ข้าวของครอบครัวเราทิ้งไว้หน้าประตูบ้าน ท่านแม่ไม่ได้ให้กุญแจไว้กับเ้าจริงหรือ?”
จะเป็ไปได้อย่างไร?
หลิวฉีซื่อไม่เคยชอบหลิวซานกุ้ย ยิ่งเป็ไปไม่ได้เลยที่จะเอากุญแจไว้ในมือเขา
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “ไม่แต่อย่างใด ท่านพ่อเพียงแค่บอกกล่าวกับข้าเมื่อวาน ว่าวันนี้จะไปตัวเมืองจังหวัด แต่ไม่ได้บอกเวลาใด เมื่อข้าไปที่บ้านท่านพ่อ ประตูก็ลงกลอนแล้ว”
หลิวเต้าเซียงไม่้าให้ครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยอาศัยอยู่ในบ้านของนาง แม้จะเป็เพียงการยืมอาศัยก็ตาม จึงเอ่ย “ท่านย่าคงไม่คิดว่าครอบครัวลุงรองจะกลับมา เพราะยังห่างจากเทศกาลเชงเม้งอีกนาน ป้าใหญ่ใกล้คลอดแล้ว ไม่รู้ว่าท่านปู่ท่านย่าจะกลับมาหรือไม่”
หลิวซุนซื่อเบ้ปาก “ข้าว่าเหรินกุ้ย หากไม่ได้จริงๆ เราก็เรียกให้คนมาช่วยทุบกลอนทิ้งไปก็สิ้นเื่! ถึงอย่างไรก็เป็แค่กลอนสองอัน อย่างมากก็แค่ไปหานายช่างเหล็กที่คุ้นเคยในตำบล แล้วบอกว่าทำกุญแจบ้านหาย เขาจะไม่ช่วยเปิดเชียวหรือ?”
เหตุใดหลิวซุนซื่อถึงกล้าพูดเช่นนี้ เพราะนางรู้ว่า แม้ว่าหลิวฉีซื่อจะรู้ว่าครอบครัวของนางทุบกุญแจ แต่นางก็แค่ให้หลิวจื้อไฉออกไปรับหน้าแทนแล้วพูดคุยเอาใจสักหน่อย หลิวฉีซื่อก็คงคลายโมโห อย่างมากคงด่าตนเองไม่กี่ประโยค
หลิวเหรินกุ้ยกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “คงทำได้เพียงเช่นนั้น ข้าว่า น้องสามเพิ่งจะจัดการบ้าน ครอบครัวเราก็โผล่มากะทันหัน คงเบียดกันไม่ไหว กลับไปพักที่บ้านท่านแม่จะสะดวกกว่า”
แน่นอนว่าต้องสะดวกกว่าอยู่แล้ว หลิวซุนซื่อสามารถเอาเนื้อหมูที่บ้านมารดากลับมากินได้ทุกเมื่อ แล้วยังไม่ต้องจ่ายเงิน ทำกินกันชามเบ้อเริ่มและกินกันอย่างอิ่มหนำทั้งครอบครัว
แต่ถ้าอาศัยที่บ้านน้องสาม คงไม่สะดวกเช่นนั้น อีกทั้งแม้ว่าซุนซื่อจะเอาเนื้อกลับมา ก็ต้องแบ่งมาให้ครอบครัวนี้ครึ่งหนึ่ง
หลิวซานกุ้ยไม่ได้รั้งครอบครัวนี้ไว้ ท่าทีของภรรยากับลูกๆ เขาเองก็เห็นชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่แยกครอบครัว หลิวฉีซื่อก็ลำเอียง พี่น้องของเขากลับไม่มีใครออกมาช่วยพูดแม้แต่คนเดียว
“พี่รองจะไปตำบลตอนนี้หรือ ข้าจะไปใส่เกวียนลา ตอนนี้ว่างอยู่พอดี ข้าจะส่งพี่ไปในตำบล ไม่แน่ว่าพอจบเื่จะได้กลับมากินอาหารค่ำทัน” หลิวซานกุ้ยเอ่ย
หลิวเหรินกุ้ยไม่ทันได้ตั้งตัวไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเหตุใดน้องสามจึงทำตัวดีเช่นนี้
แต่เขาก็มีแผนในใจอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงแทบจะทนรอให้หลิวซานกุ้ยเอาเกวียนลาไปส่งเขาที่ตำบลไม่ได้
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ หลิวซานกุ้ยก็นำเกวียนลาพาหลิวเหรินกุ้ยกลับมา
หลังจากไปสอบถามก็ได้ความว่า เรียกให้นายช่างสะเดาะกลอนช่วยเปิดกลอนในบ้านเดิมทุกอัน
ไม่รู้ว่าเงินของหลิวฉีซื่อที่ซ่อนอยู่ในบ้านจะสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่
หลิวเต้าเซียงประเมินว่าหมูเค็มปลาเค็มที่หลิวฉีซื่อเก็บไว้ หากไม่ได้ถูกหนูแทะกิน ก็คงตกไปอยู่ในท้องของครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยอย่างแน่นอน
นางวางแผนไว้ว่าหลังจากที่ครอบครัวจัดการงานทุกอย่างลงตัว จะต้องไปซื้อเมล็ดทานตะวันคั่วในตำบลมาหลายชั่งหน่อย และซื้อพุทราจีนกลับมาชงน้ำชา จากนั้นก็นั่งเก้าอี้ที่บ้าน นอนตากแดดแล้วดูฉากสนุก!
คนเรา บางครั้งก็ต้องใช้ชีวิตให้สาแก่ใจสักที!
เื่ที่ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยย้ายกลับมา ในหมู่บ้านสามสิบลี้นั้นลือกันเพียงชั่วขณะ ไม่นานนักข่าวก็ซาไป
วันเวลาผ่านไปอย่างค่อยเป็ค่อยไป หลิวซานกุ้ยได้กลับมาที่ตำบลเพื่อเล่าเรียนต่อ ทว่ามีสองตัวเล็กห้อยตามมาด้วย ซึ่งหลิวเหรินกุ้ยยัดเยียดมาให้
เขาบอกว่าทั้งสองยังเด็กอยู่ อีกทั้งเห็นว่าหลิวซานกุ้ยเป็อาที่รักใคร่เอ็นดูหลาน จึงยกเื่รับส่งหลิวจื้อไฉกับหลิวจื้อเป่าเข้าเรียนให้เป็หน้าที่ของน้องสาม
ให้เข้าเรียนยังพอว่า แต่หลิวซานกุ้ยต้องพาไปพร้อมกัน ่บ่ายเขาต้องเดินทางสองเที่ยวเพื่อรับทั้งสองคน
มีครั้งหนึ่งหลิวเต้าเซียงทนไม่ไหวจริงๆ จึงแอบไปบ่นกับจางกุ้ยฮัว “ท่านแม่ ลุงรองกับป้ารองหน้าด้านเกินทน พี่จื้อไฉกับเ้าอ้วนเป่าเป็ลูกบ้านไหนกันแน่”
จางกุ้ยฮัวเอื้อมมือออกไปและลูบหน้าผากของนาง ยิ้มแล้วตอบ “ฝีปากคมคายของเ้าไปฝึกมาจากผู้ใดกัน คนเราห้ามคิดเล็กคิดน้อย ในสายตาผู้อื่น พ่อเ้ากับลุงรองถึงแม้จะหักกระดูกก็ยังมีเส้นเอ็นเชื่อมกันอยู่ ในเมื่อลุงรองเ้าเอ่ยปากแล้ว พ่อของเ้าจะไม่รับปากได้หรือ หากไม่รับปาก คนข้างนอกที่ไม่รู้เื่คงเอาไปลือแน่ เ้าก็บอกเองว่าอาจารย์กัวเคยบอกไว้ ท่านพ่อของเ้าต้องระวังเื่ชื่อเสียงของตนเองในละแวกนี้ ต่อไปเวลาสอบ เื่ชื่อเสียงก็จะถูกนับคะแนนด้วย”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นจึงพักความโมโหไว้แล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ เมื่อใดเราถึงจะไปรับท่านยายมา ข้าคิดถึงท่านยายแล้ว”
“อีกไม่กี่วัน พ่อเ้าบอกแล้วว่า รอจื้อเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ปิดภาคเรียน เขาจะรีบนำเกวียนลาไปรับยายเ้ามา”
หากไม่ใช่เพราะในครอบครัวยังต้องมีคนดูแล จางกุ้ยฮัวแทบอยากจะปรี่ออกไปรับด้วยตนเอง
-----
