หลังจากเกิดเสียงโห่ร้องอย่างดังขึ้นแล้วบรรยากาศโดยรอบก็กลับมาสงบอีกครั้ง
สีหน้าของสวี่เหว่ยหรานและป๋ายหลี่ม่อมีอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไปทว่าทั้งคู่ล้วนมีสีหน้าร้อนรนสิ่งที่พวกเขากลัวก็คือการที่ฮวาหรูเสวี่ยจะยอมรับข้อเสนอนี้ งานชมดอกฉยงฮวาได้จัดขึ้นมาเป็พันปีแล้วและนี้ก็เป็ครั้งแรกที่มีคนเสนอคำขอเช่นนี้ออกมา
เซียวซู่ซู่ผู้นี้ช่างต่างกับผู้อื่นจริงๆ ทำให้คนทั้งหลายล้วนไม่อาจคาดเดาได้
แน่นอนว่าป๋ายหลี่ม่อนั้นรู้สึกร้อนรนเป็ที่สุด เพราะว่าเขาได้พลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่อยากจะสูญเสียอะไรไปอีก
แต่ว่าต่อหน้าคนชนชั้นสูงและบุคคลผู้ทรงอำนาจของทั้งสามแคว้นเขาก็ไม่อาจขอคืนคำเกี่ยวกับการถอนหมั้นตรงนั้นได้เช่นนั้นไม่เพียงแต่เขาป๋ายหลี่ม่อจะขายหน้าจนสิ้นกระทั่งแคว้นอ้าวอวิ๋นเองก็จะขายหน้าเพราะเขาเช่นกัน
เพราะฉะนั้นเขาทำได้เพียงแค่มองดูอย่างร้อนรนทำอะไรไม่ได้
เมื่อเทียบกับหนานกงม่อเขากลับมีสีหน้านิ่งเฉย อีกทั้งยังจ้องมองสตรีที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นนางสวมชุดขาวบริสุทธิ์ไม่หรูหราแต่กลับสง่างาม อีกทั้งนางยังมีท่าทางเรียบร้อยมีมารยาทสมกับที่เป็กุลสตรี
ความจริงแล้วคำขอของเซียวซู่ซู่มิถือว่าเกินไปนักเพียงแต่ว่าั้แ่โบราณมาไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยขอเช่นนี้มาก่อนเพราะฉะนั้นจึงทำให้ผู้คนในที่นั้นยากจะยอมรับได้
เซียวมี่มองไปทางหลานสาวของตนที่กำลังคุกเข่าอยู่นางมีสีหน้าสงสารและเ็ปใจเพราะนางก็เข้าใจความรู้สึกของเซียวซู่ซู่เช่นกัน
นางกำมือแน่นก่อนจะเดินไปเบื้องหน้าจากนั้นก็สะบัดชายกระโปรงและคุกเข่าลงเช่นกัน “หม่อมฉันขอให้ฝ่าาทรงเข้าใจถึงสถานภาพที่ซู่ซู่ได้เผชิญ” ประโยคนี้ ความจริงแล้วทุกคนล้วนเข้าใจเป็อย่างดี
ในขณะที่ชื่อเสียงของเซียวซู่ซู่โด่งดังไปทั่วหล้าข่าวที่นางถูกองค์ชายเก้าแห่งแคว้นอ้าวอวิ๋นถอนหมั้นก็ถูกแผ่กระจายออกไปเช่นกัน
แต่ว่าไม่มีใครหัวเราะเยาะสกุลเซียว กลับเย้ยหยันป๋ายหลี่ม่อว่ามีตาหามีแววไม่ สมบัติล้ำค่ากลับไม่รู้จักรักษา
สำหรับฮวาหรูเสวี่ยแล้ว เดิมนี่เป็สิ่งที่ที่นางปรารถนา แต่นางเพียงรอให้ทุกคนโดยรอบสงบลงเสียก่อนจึงจะยอมพยักหน้า
ตอนนี้เซียวมี่เองก็คุกเข่าอยู่ ยิ่งเหมาะจะเป็โอกาสให้นางได้ซื้อใจประชาชน หลายปีมานี้ราชสำนักได้กดขี่ข่มเหงสกุลเซียวอย่างเห็นได้ชัดถ้าอยากจะดึงมาเป็พรรคพวกอีกก็เกรงว่ายังคงยากลำบากอยู่มากนัก ใช้โอกาสในตอนนี้ เป็อะไรที่เหมาะสมยิ่ง
“ได้ข้าอนุญาตให้คุณหนูเล็กสกุลเซียวแต่งงานได้อย่างอิสระ นับจากนี้ราชสำนักจะไม่ยุ่งโดยเด็ดขาด”
เสียงของฮวาหรูเสวี่ยก้องกังวานแฝงไปด้วยบารมีอำนาจทำให้ผู้คนในที่นั้นได้ยินกันอย่างชัดเจน
เสียงโห่ร้องด้านล่างดังขึ้นอีกครั้ง
เซียวซู่ซู่และเซียวมี่ถวายความเคารพอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าา”
ยายหลานหันมาสบตากัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะรีบเก็บสีหน้าอารมณ์ของตน
แม้ว่าฮวาหรูเสวี่ยจะทำเช่นนี้ถือเป็การให้ผลประโยชน์อย่างดีกับสกุลเซียวแต่ว่าผลประโยชน์ที่สูงกว่ายังคงอยู่ในกำมือของฮวาหรูเสวี่ยนางไม่อยากทำให้แคว้นป่ายฮวาต้องตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะเซียวซู่ซู่
การให้อิสระเช่นนี้กับนางกลับทำให้อ้าวอวิ๋นและโยวเจิ้นมิอาจหาเื่ราชสำนักของแคว้นป่ายฮวาได้ ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกส่งต่อไปให้กับสกุลเซียว
แต่ที่ทำให้ฮวาหรูเสวี่ยปวดหัวยิ่งกว่าคือบุตรชายของตนฮวาเชียนเย่ ที่เดิมก็เป็คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อีกทั้งยังไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกออกมาผ่านทางใบหน้า นี่ก็เป็สิ่งที่นางปลูกฝังเขามาั้แ่เล็กและฮวาเชียนเย่ก็ได้ทำตามที่นางสั่งสอนเป็อย่างดีมิเคยทำให้นางผิดหวังแม้แต่น้อย
แต่ครั้งนี้ กลับทำให้นางมีโทสะอยู่บ้างเพียงเพราะสตรีคนเดียวเขากลับแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนั้นกระทั่งเหลยอวี๊เฟิงยังดูความคิดของเขาออก ความพยายามและตั้งใจตลอดหลายปีนี้ของนางก็ถือว่าสูญเปล่าจริงๆ
คนที่จะทำการใหญ่ จะมัวแต่มาสนใจความรักแบบหนุ่มสาวได้อย่างไร
สตรีต่อให้เก่งกาจแล้วอย่างไร นางก็เป็ได้เพียงสิ่งที่มาขวางกั้นเขาจากการยึดครองแผ่นดินเท่านั้น ผู้คนไม่รู้ถึงความทะเยอทะยานของฮวาหรูเสวี่ยหลายปีมานี้ทุกอย่างที่นางทำล้วนเพราะมีแผนการชั่วร้ายทั้งนั้น
จนกระทั่งเซียวซู่ซู่ค่อยๆก้าวลงจากเวทีหยกขาวเสียงร้องด้านล่างถึงจะเบาลงบ้าง ทว่ายังคงมีเหล่าคุณชายอ๋องน้อยจำนวนไม่น้อยที่โวยวายว่าไม่ยุติธรรมเดิมคิดว่าครั้งนี้จะสามารถรับเอายอดบุปผากลับบ้านไปได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หนึ่งผู้ที่คว้าชัยมาครั้งนี้จะเป็สตรีจากแคว้นป่ายฮวาสตรีที่ทำได้เพียงแต่งเข้ามิใช่แต่งออก สองทางราชสำนักป่ายฮวากลับอนุมัติคำขอของนางให้นางแต่งงานได้อย่างอิสระ
เช่นนั้นการเดินทางมาเมืองอวิ๋นอันไกลโพ้นนี้ก็ถือเป็เพียงแค่การมาดูงานเลี้ยงครึกครื้นแต่เพียงเท่านั้น
ในบรรดาสตรีผู้ที่ครองอันดับสองก็คือฮวาเชียนจือ นางเป็ถึงธิดาของฮ่องเต้หญิงเป็ผู้มาสืบทอดตำแหน่งในอนาคต ยิ่งไม่มีใครกล้ามีความคิดอันใดต่อนาง
ตอนนี้โทสะของผู้คนกำลังลุกโชนแต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้เท่าใดนัก เพราะฉะนั้นด้านล่างจึงมีเสียงบ่นรำพึงรำพันของผู้คนดังออกมาเบาๆ เท่านั้น
เซียวซู่ซู่ขมวดคิ้วเบาๆนางรู้สึกอารมณ์ไม่ดีอยู่บ้าง ก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินไปทางตำแหน่งที่คนสกุลเซียวกำลังนั่งกันอยู่
เซียวเอินรีบรุดไปด้านหน้าเพื่อพยุงนางพลางเอ่ยออกมายิ้มๆ “ยินดีกับน้องเล็กด้วย ที่ได้สมใจปรารถนา”
แน่นอนว่าในใจของเซียวซู่ซู่มีความสุขเป็อย่างมากทว่านางก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆก่อนจะนั่งลงที่เดิมด้วยท่าทางสบายๆ
นางเองก็รู้ว่าที่ฮวาหรูเสวี่ยตอบรับอย่างมีความสุขนั้นมิใช่เพราะว่าเซียวมี่ออกหน้า แต่เป็เพราะนางอยากจะหลอกใช้ตนเท่านั้น
อย่างไรเสียสิ่งที่นาง้าก็คืออิสระเสรี ชาตินี้นางจะต้องควบคุมชะตาชีวิตด้วยมือของตนเองฮวาหรูเสวี่ยคิดอยากจะหลุดพ้นจากความกดดันของทั้งสองแคว้นแต่นางและสกุลเซียวกลับไม่แน่ว่าจะหลุดพ้นออกไปได้
สรุปแล้วก็ทำได้เพียงแค่ดูสถานการณ์ต่อไปเรื่อยๆศึกมาก็ค่อยออกรบ น้ำมาก็ค่อยเอาดินกลบก็แล้วกัน
ตอนนี้นางมองเห็นสีหน้าที่บูดบึ้งของป๋ายหลี่ม่อก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา ทำผิดต่อเซียวซู่ซู่ก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสุขสบายอีก เวลานี้นางแค่อยากจะเห็นท่าทีเสียใจต่อการกระทำของตนเองจากป๋ายหลี่ม่อเท่านั้น
“ป๋ายหลี่ม่อครั้งนี้คงไม่กล้าใช้อำนาจบีบคั้นอีกแล้วกระมัง”เซียวเอินเองก็มีสีหน้าเคียดแค้นปรากฏขึ้นเขาจ้องไปทางแคว้นอ้าวอวิ๋นอย่างไม่สบอารมณ์ "เหอะวันนั้นที่สกุลเซียว เขาทำท่าทางประหนึ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา วางอำนาจบาตรใหญ่ทำให้คนรู้สึกโมโหยิ่งนัก"
ตอนนี้ถึงเวลาที่ป๋ายหลี่ม่อเองก็ต้องโมโหแล้วกระมัง
“ซู่ซู่ทำได้ดีมาก” เซียวจู๋เองก็เดินหน้าขึ้นมาตบเบาๆลงบนบ่าของเซียวซู่ซู่
ตอนนี้เื่ราวความแค้นในอดีตได้ถูกทิ้งไปหมดแล้วสกุลเซียวในตอนนี้ได้รวมใจเป็หนึ่งเดียว
บรรยากาศปรองดองรักใคร่เช่นนี้ทำให้ในใจของเซียวซู่ซู่ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้งรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หยั่งลึกมากขึ้นในดวงตาทั้งสองก็มีประกายระยิบระยับปรากฏขึ้น
นางชอบทุกอย่างในตอนนี้จริงๆต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับแคว้นอ้าวอวิ๋นและแคว้นโยวเจิ้น นางก็ไม่กลัวเพราะว่าด้านหลังของนางมีสกุลเซียว มิได้เป็เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่ตัวคนเดียวเช่นนั้นอีก
เมื่อคิดถึงเื่ราวต่างๆ ในชาติก่อนอยู่ๆเซียวซู่ซู่ก็แหงนหน้าขึ้นไปมองเหลยอวี๊เฟิงที่ยืนอยู่ข้างฮวาหรูเสวี่ยแวบหนึ่งและก็พบว่าเหลยอวี๊เฟิงเองก็กำลังมองมาทางตนก่อนที่คนทั้งสองจะเบือนสายตาหนีไปทางอื่นพร้อมกัน
แต่คนทั้งสองกลับมีความคิดที่ต่างกันออกไป
จากเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ความรู้สึกที่เหลยอวี๊เฟิงมีต่อเซียวซู่ซู่นั้นมิใช่เพียงแค่ความสนใจอีกต่อไป และเซียวซู่ซู่ที่รีบเบือนสายตาหนีนั้นก็เพราะว่ากลัวจะแสดงความคิดในใจของตนออกมา เพราะเมื่อเห็นเหลยอวี๊เฟิงและฮวาเชียนจือทำให้นางอดมิได้ที่จะนึกถึงม่อเวิ่นเฉิน บุรุษที่ทำให้นางทั้งรักทั้งแค้น อยากจะปล่อยวางแต่ก็ทำไม่ได้
ฮวาเชียนจือเองก็มองไปทางเซียวซู่ซู่ดวงตาที่สงบนิ่งกลับแฝงไปด้วยคลื่นลมที่โหมกระหน่ำที่ต้าเยียนมีซูฉีฉีคอยเตรียมจะแย่งทุกอย่างไปจากตนตลอดเวลากระทั่งความปรารถนาสุดท้ายของตนก็ไม่อาจสำเร็จลงได้ กลับมาที่แคว้นป่ายฮวาเดิมคิดว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนกับในอดีตอีก ไหนเลยจะรู้ว่าที่นี่กลับมีเซียวซู่ซู่
ความนิ่งสงบเช่นนั้นช่างเหมือนกับสตรีผู้นั้นเหลือเกินทำให้บางครั้งนางก็รู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
แต่เมื่อเพ่งดูอย่างละเอียดเซียวซู่ซู่ก็คือเซียวซู่ซู่ ซูฉีฉีก็คือซูฉีฉี อย่างไรเสียนางก็เห็นกับตาว่าดาบได้แทงทะลุหัวใจของซูฉีฉีอีกทั้งนางก็ได้ะโลงเหวลึกแล้ว แต่ความกระวนกระวายในใจกลับรู้สึกยากที่จะกลับมาสงบได้อีก
อีกทั้งยังมีสถานการณ์ที่ซับซ้อนของแคว้นป่ายฮวาทำให้นางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่จะเผชิญหน้า เดิมทีการกลับมาของนางก็เป็เพียงแค่ฉากบังหน้าเท่านั้นนางเองก็เป็คนฉลาดย่อมเข้าใจถึงแผนการของฮวาหรูเสวี่ย อีกทั้งยังเห็นถึงอำนาจของฮวาเชียนเย่ที่ไม่ว่านางจะพยายามชั่วชีวิตก็มิอาจเทียบเทียมได้
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าทำไมต่อหน้าขุนนางนับร้อยฮวาหรูเสวี่ยถึงมิได้เปิดเผยฐานะของตน เพราะฮวาหรูเสวี่ย้าจะใช้นางเป็หมากตัวหนึ่งในการเบี่ยงเบนความสนใจของเหล่าขุนนางเท่านั้น สถานะเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจแต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้