บทที่ 48 เด็กคนนี้ซื่อตรงเกินไปแล้ว, ตราพระคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์โบราณ!
ณ หอคัมภีร์, สำนักชิงเยวียน
หอคัมภีร์เป็อาคารแปดเหลี่ยมสูงตระหง่านนับร้อยจ้าง ซ้อนกันเป็ชั้นๆ มีเหล่าศิษย์เข้าออกไม่ขาดสาย ทันทีที่หลี่โม่ปรากฏตัวหน้าประตู สายตานับไม่ถ้วนพลันจับจ้องมายังเขา
“นั่นศิษย์สายตรงหลี่ใช่หรือไม่?”
“ศิษย์พี่หลี่ช่างดูดีโดยแท้ ยิ่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนเป็พิเศษ มิอาจเทียบได้กับศิษย์สายตรงคนอื่นที่มักวางท่าเ็า”
“ที่เอวของเขานั่นกระบี่เพลิงสีชาดใช่หรือไม่? ได้อาวุธลี้ลับั้แ่อายุน้อยเพียงนี้ วิชาดาบย่อมไม่ธรรมดาเป็แน่”
“เมื่อวานนี้ ไม่ทราบเกิดอันใดขึ้นกับถ้ำเทพศาสตรา จู่ๆ เส้นชีพจรธรณีก็ะเิขึ้นก่อนกำหนด”
“เฮ้อ... บัดนี้ใต้ชั้นสามของถ้ำเทพศาสตราถูกผู้าุโหานเฮ่อผนึกไว้แล้ว เกรงว่านับจากนี้จะไม่มีศิษย์ผู้ใดได้ยลอาวุธลี้ลับอีก”
“แม้แต่ผู้าุโหลายท่านยังมิได้อาวุธลี้ลับเลยด้วยซ้ำ เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเหล่าศิษย์แต่แรกอยู่แล้ว”
เสียงกระซิบกระซาบนั้นมิได้ดังนัก ทว่าหลี่โม่ก็ยังคงได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ
“ผู้าุโหานเฮ่อช่างรวดเร็วเสียจริง”
“แม้ตาเฒ่าจะรักหน้าตา ทว่าเื่งานก็เชื่อถือได้โดยแท้”
ขณะครุ่นคิด หลี่โม่ก็เดินมาถึงเคาน์เตอร์ ณ ชั้นหนึ่ง เมื่อเ้าหน้าที่ศิษย์ชั้นในเห็นเขา ก็แย้มยิ้มทักทายว่า
“ศิษย์สายตรงหลี่ ท่านจะไปยังชั้นห้า เพื่อรับรางวัลจากการทดสอบภายในสำนักใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” หลี่โม่พยักหน้า พร้อมยื่นป้ายประจำตัวที่เอวออกไป
“เอ่อ... ศิษย์สายตรงหลี่ขอรับ ที่ชั้นห้ามีแต่วิชาการต่อสู้ระดับกลางเท่านั้นนะขอรับ” เ้าหน้าที่ศิษย์ชั้นในเตือนพลางคิดในใจ วิชาการต่อสู้ระดับกลางที่เหมาะสมสำหรับศิษย์ชั้นในนั้น ก็หาที่เหมาะยากแล้ว ยิ่งศิษย์สายตรงเช่นหลี่โม่มิควรขาดแคลนของเหล่านี้ ควรได้รับสิ่งที่ดีกว่ามิใช่รึ?
หลี่โม่แย้มยิ้มทว่ามิได้เอื้อนเอ่ย เ้าหน้าที่ศิษย์ชั้นในพลันนึกขึ้นได้ว่า ศิษย์สายตรงหลี่ผู้นี้แม้เป็ศิษย์สายตรง แต่ก็มีผู้าุโซางอู่เป็อาจารย์... พลันทุกสิ่งก็ดูเป็ปกติไปสิ้น
“ท่านสามารถเลือกวิชาการต่อสู้ระดับกลางได้สองวิชา เชิญตามสะดวกขอรับ”
มิช้านาน อีกฝ่ายก็บันทึกข้อมูลเรียบร้อย หลี่โม่จึงหันหลังเดินขึ้นไปยังชั้นบน
ที่ชั้นสองของหอคัมภีร์ ยังคงมีเหล่าศิษย์สำนักชิงเยวียนอยู่มิใช่น้อย สามชั้นล่างสุดเป็ที่เก็บวิชาการต่อสู้ที่ไม่เป็ที่นิยม รวมถึงชีวประวัติและตำราเบ็ดเตล็ดต่างๆ มากมาย หลี่โม่มิได้หยุดพัก เขาก้าวขึ้นบันไดต่อไปเรื่อยๆ อย่างมิเร่งร้อน
ณ ชั้นสี่ ผู้คนเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ที่นี่เก็บวิชาการต่อสู้ระดับล่าง รวมถึงความรู้แขนงต่างๆ อาทิ การปรุงยา การตีเหล็ก และการเลี้ยงสัตว์อสูร ผู้ที่กำลังพินิจตำราอยู่ ณ ที่แห่งนี้ส่วนใหญ่เป็เหล่าศิษย์ชั้นในทั้งสิ้น หลี่โม่สังเกตเห็นบางอย่างเข้า มีตำราเกี่ยวกับพ่อครัวด้วย! ทว่าเมื่อหยิบขึ้นมาพลิกดูได้มิเท่าใด หลี่โม่ก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะวางมันคืน ณ ที่เดิม
“มิน่าเล่า โรงอาหารของสำนักชิงเยวียนรสชาติมิใคร่ดีนัก” หลี่โม่พึมพำ ตำราเล่มนี้สู้ตำราอาหารที่เขาได้รับจากการลงทุนผลตอบแทนมิได้เลยแม้แต่น้อย
ณ ชั้นห้า ผู้คนที่นี่เบาบางลงไปอีก มีเพียงศิษย์ที่ทำภารกิจของสำนักสำเร็จ และสะสมผลงานได้ตามกำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถขึ้นมายังที่แห่งนี้ได้
“วิชาค้อน...” หลี่โม่เดินไปยังส่วนที่เก็บวิชาการต่อสู้ประเภทอาวุธ เขาสุ่มหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วพึมพำว่า “วิชาค้อนเพลิงชุบเหล็ก... นี่มันใช้สำหรับการตีเหล็กนี่นา”
“ค้อนพยัคฆ์คำราม...เหมาะกับค้อนด้ามยาวเช่นนั้นรึ? ไม่ค่อยเข้าท่าเลย...”
เอาเถิด ดูท่าว่ามิเพียงแต่หลี่โม่เองจะไม่ใคร่ชอบใช้ค้อนทุบผู้คน หอคัมภีร์แห่งนี้แม้จะรวบรวมสรรพวิชาไว้มากมาย ทว่ากลับหาวิชาค้อนดีๆ ไม่ได้สักกี่วิชา ก็จริงอยู่ ในยุทธภพได้ยินแต่เื่ของเทพกระบี่ ปรมาจารย์ดาบ เซียนทวน เคยได้ยินชื่อผู้ใดที่มีคำว่า “ค้อน” อยู่ในฉายาบ้างเล่า? วิชาค้อนก็ถือว่ามิเป็ที่นิยมอยู่แล้ว และค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ที่เป็ค้อนด้ามสั้น ก็ยิ่งหายากในหมู่ของหายากยิ่งนัก
“ศิษย์พี่หลี่!” ในเพลานั้นเอง เสียงเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยก็ดังมาจากไม่ไกลนัก เมื่อหันกลับไป ก็เห็นมู่หรงเซียวกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่แต่ไกล
“เ้าก็มาเลือกวิชาการต่อสู้ด้วยหรือ?” หลี่โม่ถามด้วยความประหลาดใจ ตระกูลยอดเขาศาสตราก็มั่งคั่งมหาศาลอยู่แล้ว ไฉนศิษย์สายตรงถึงยังต้องมาเลือกวิชาการต่อสู้ที่หอคัมภีร์ด้วยตนเองอีกเล่า?
“ศิษย์พี่หลี่เข้าใจผิดแล้ว” มู่หรงเซียวหัวร่ออย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “ข้ายังมิได้บอกอาจารย์เลย” เขาอธิบายสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ครั้นหลี่โม่เปิดเนตรทิพย์ลิขิตฟ้าอีกครา ก็เข้าใจได้ฉับพลัน
[ขอบเขต: ปราณโลหิตเจ็ดเส้นชีพจร]
[คำประเมิน: บิดาเป็มนุษย์ มารดาเป็ัคำรามที่แปลงกายเป็มนุษย์ อุปนิสัยดีงาม ทว่าได้รับผลกระทบจากสายเืของตน หากสามารถรวมข้อดีของทั้งสองได้ อนาคตจักไร้ขีดจำกัด หากรวมข้อเสียทั้งสอง อาจเป็ภัยแก่โลกได้]
[เหตุการณ์ล่าสุด: ได้รับผลกระทบจากสายเื ่นี้จิตใจว้าวุ่น ฝันร้ายมิได้หยุดหย่อน ฝันเห็นมือของตนเปื้อนโลหิตมาหลายวัน เขาจึงอยากหาวิชาบำเพ็ญจิตที่ช่วยให้จิตใจสงบลง]
“อาจารย์ยังมิรู้ว่าสายเืครึ่งอสูรของข้ามาจากัคำราม...” มู่หรงเซียวถอนหายใจด้วยสีหน้ากังวล
“เ้าถึงมาที่หอคัมภีร์ด้วยตนเองเช่นนั้นรึ?” หลี่โม่ทำสีหน้าประหลาดใจ
มู่หรงเซียวพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ หากท่านไต่ถาม ข้าก็มิอยากกล่าวเท็จ ทว่าก็มิกล้าเอ่ยความจริง เช่นนั้นก็มิบอกท่านไปเลยจะดีกว่า...”
หลี่โม่ “.....”
ท่านผู้าุโหานเฮ่อช่างมีเมตตาเสียจริง เพียงเอ่ยอ้อมค้อมสักหน่อย ขอวิชาบำเพ็ญจิตสักเล่มคงมิใช่เื่ยากเย็นอันใด อาจจะประทานวิชาบำเพ็ญจิตระดับสูงให้เลยด้วยซ้ำ เด็กผู้นี้ช่างซื่อตรงเกินไปจริงๆ!
“วิชาบำเพ็ญจิตน่าจะหาได้ไม่ยาก” หลี่โม่ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ทว่าเ้าอย่าหวังว่าแค่วิชาบำเพ็ญจิตระดับกลางจะสามารถกดข่มสายเืของเ้าได้นะ”
“แล้วจะทำเยี่ยงไรดีเล่า...เอ๊ะ?” มู่หรงเซียวมีสีหน้าลำบากใจ มิรู้จะทำเช่นไรดี พลันตำราเล่มหนึ่งก็ถูกยัดใส่มือเขา
“นี่มัน...” มู่หรงเซียวอุทาน
“เกราะทองคุ้มกาย... วิชาบำเพ็ญกายระดับสูงน่ะ”
“หา?” มู่หรงเซียวอ้าปากค้างด้วยความงุนงง มิเข้าใจว่าศิษย์พี่หลี่จักยื่นวิชาบำเพ็ญกายมาให้เขาด้วยเหตุใดกัน
“จักสงบจิตสงบใจ ไฉนต้องเป็เพียงแค่วิชาบำเพ็ญจิตเล่า?” หลี่โม่มองเด็กน้อยผู้โชคร้ายอย่างเอ็นดูพลางอธิบายว่า
“วิชาบำเพ็ญกายระดับสูงนี้มาจากสำนักพุทธะ ซึ่งบรรจุหลักธรรมคำสอนของพุทธะไว้ เป็วิชาที่บำเพ็ญทั้งกายและใจ หากเ้าฝึกเกราะทองคุ้มกายจนเชี่ยวชาญแล้ว เหตุใดจักต้องหวาดหวั่นอันใดกับจิตใจที่ว้าวุ่น?”
“เกราะทองคุ้มกาย...” ดวงตาที่เคยหม่นหมองของมู่หรงเซียวพลันสว่างไสว ทว่ามิช้านาน เขาก็รู้สึกกระสับกระส่าย ดึงชายเสื้อของตน ราวกับอยากจะเอ่ยอันใดทว่าก็มิอาจเอ่ยออกมาได้...
“ไม่ต้องวิตกไป” หลี่โม่ตบกระบี่เพลิงสีชาดที่เอวพลางกล่าวว่า “ข้าได้นำอาวุธลี้ลับมาจากยอดเขาศาสตรา ซึ่งล้ำค่ากว่าวิชาบำเพ็ญกายระดับสูงมาก ถือเป็การตอบแทนน้ำใจแก่กัน”
อันที่จริงแล้ว มิใช่เพียงกระบี่เพลิงสีชาดเท่านั้น เมื่อเรามอบสิ่งของไป แม้อีกฝ่ายอาจได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อย ทว่าเรามักจะได้รับประโยชน์ใหญ่หลวงกว่าเสมอ
“ยอดเขาศาสตราก็คือยอดเขาศาสตรา จะนับเป็การตอบแทนน้ำใจได้อย่างไรเล่าขอรับ...”
“ศิษย์พี่หลี่ ข้าติดบุญคุณท่านอีกแล้ว” มู่หรงเซียวเม้มปากแน่น ความซาบซึ้งเอ่อล้นจนมิอาจเอ่ยเป็ถ้อยคำได้ เห็นกิริยาเขาแล้ว คาดว่านอกจากเื่การมีบุตรแล้ว หลี่โม่จักเสนอสิ่งใด เขาก็คงมิขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย
“เมื่อท่านลงจากเขาไปกระทำภารกิจของสำนัก อย่าลืมแจ้งแก่ข้าด้วยนะขอรับ”
“ภารกิจสำนัก...”
รวมถึงศิษย์สายตรงด้วย เหล่าศิษย์ทุกคนของสำนักชิงเยวียนจักต้องกระทำภารกิจของสำนักทั้งเล็กและใหญ่เป็ประจำ นี่เป็ข้อบังคับอันจำเป็ ด้วยหากสำนักชิงเยวียนมิได้กระทำอันใด เพียงตั้งอยู่เฉยๆ ณ ที่แห่งนี้ ก็คงมิมีผู้ใดยกย่องให้เป็อันดับหนึ่งของสำนักในแคว้นจื่อหยางได้หรอก
“่นี้ข้าก็มีแผนจะลงจากเขาเช่นกัน” หลี่โม่รับปาก “ถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนเ้าแล้ว” ตระกูลมู่หรงมีอิทธิพลมิใช่น้อยในเมืองจื่อหยาง ถือเป็เ้าถิ่นคนหนึ่ง ไม่ว่าหลี่โม่จักกระทำภารกิจสิ่งใด ก็สามารถอำนวยความสะดวกให้ได้เป็แน่
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปทำความเข้าใจเกราะทองคุ้มกายก่อน!” มู่หรงเซียวจึงเผยรอยยิ้มอย่างโล่งอกออกมา
[ยินดีด้วยเ้าของระบบ! ท่านลงทุนวิชาบำเพ็ญกายระดับสูงให้แก่มู่หรงเซียวสำเร็จ และช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์อันเกิดจากสายเืของตน]
[ตราพระคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์โบราณ]: "เมื่อประทับลงบนวิชาการต่อสู้ใดๆ จะสามารถทำให้วิชานั้นได้รับการวิเคราะห์ พัฒนา และยกระดับคุณภาพของวิชาการต่อสู้ได้ ซึ่งสามารถยกระดับวิชาการต่อสู้ได้สูงสุดถึงระดับยอดวิชา"
“ของวิเศษเสียจริง!” วิชาบำเพ็ญกายระดับสูงสามารถยกระดับเป็ยอดวิชาได้แล้ว แถมเขายังสามารถเลือกประเภทของยอดวิชาที่้าได้ด้วย! ผลตอบรับที่มู่หรงเซียวมอบให้ในครานี้ ช่างเกินความคาดหมายยิ่งนัก!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้