ไป๋หว่านหนิงะโเสียงดัง “อย่านะเ้าคะท่านพ่อ อย่าฆ่าท่านแม่เลยนะเ้าคะ”
ไป๋เสียนอันมองไป๋หว่านหนิงด้วยสายตาเย็นเยียบ หากไม่ใช่เพราะใบหน้านั้นคล้ายคลึงกับไป๋เสียนอันอยู่หกถึงเจ็ดส่วน
เกรงว่าคนที่จะต้องถูกทิ้งในเนินหลุมศพคงไม่ใช่ลู่เป๋าเหยาเพียงคนเดียวแล้ว
“เหลาเหยี่ย ข้าสำนึกผิดแล้ว อย่าฆ่าข้าเลยนะเ้าคะ”
“เด็กไม่อยู่แล้ว พวกเราสามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ อย่าฆ่าข้าเลยนะเ้าคะเหลาเหยี่ย”
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้ามันแพศยา เหตุใดเ้าถึงไม่ตายไปเสีย? ข้าจะสาปแช่งเ้า ข้าจะรอเ้าอยู่เบื้องล่าง ฮ่าๆๆๆ...”
เสียงนั้นค่อยๆ ห่างออกไป ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูอ่อนแรงลง ทว่าถ้อยคำที่ใช้กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากไป๋หว่านหนิงแล้ว ทุกคนในจวนสกุลไป๋ล้วนแล้วแต่ถูกนางสาปแช่ง
ไป๋เสียนอันโมโหจนตัวสั่น “ยังไม่ลากไปตีให้ตายอีก! ตีให้ตายเสีย!”
เสียงนั้นค่อยๆ ห่างออกไปจนกระทั่งไม่มีผู้ใดได้ยินอีก ไป๋เสียนอันดูราวกับชราลงสิบปีก็ไม่ปาน เขามองไป๋เซี่ยเหออย่างเหนื่อยล้า “เ้าตามข้ามาที่ห้องหนังสือ”
ไป๋เหล่าฮูหยินเดินตามไป๋เสียนอันออกไปทันที ก่อนจะจากไป นางหันมามองไป๋เซี่ยเหอด้วยแววตาลึกล้ำอยู่ครู่หนึ่ง
ยังเป็คนเดิม ทว่าไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกแล้ว
ไป๋หว่านหนิงลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะเดินมาตรงหน้าไป๋เซี่ยเหอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชังจนบิดเบี้ยว เบ้าตาของนางแดงก่ำ
“เ้าพอใจแล้วหรือยัง? ตอนนี้เ้าพอใจแล้วหรือยัง?”
ไป๋เซี่ยเหอมองไป๋หว่านหนิงอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่ได้เป็คนทำให้แม่ของเ้าท้อง เกี่ยวอะไรกับข้ากัน!”
คำกล่าวของไป๋เซี่ยเหอไม่เข้าหัวไป๋หว่านหนิงแม้แต่น้อย “จะไม่เกี่ยวกับเ้าได้อย่างไร? หากเ้าตาย เื่ทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
“...”
สมองคงไม่ได้มีปัญหาหรอกกระมัง?
ดวงตาของไป๋หว่านหนิงแดงก่ำราวกับถูกมารสิงก็ไม่ปาน ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เผยความเด็ดขาดออกมา ก่อนจะยื่นมือไปบีบคอของไป๋เซี่ยเหอ
“เ้าต่างหากที่สมควรตาย เ้าตายไปเสียเถิด!”
“เฮือก!”
สายตาของไป๋เซี่ยเหอเย็นเยียบจนถึงขีดสุด เดิมทีนางก็ไม่มีความผูกพันกับคนในจวนสกุลไป๋อยู่แล้ว จะไว้ไมตรีไปไย?
เสียงกระดูกหักดังขึ้น หลังจากไป๋หว่านหนิงส่งเสียงครวญคราง นางก็ใช้อีกมือที่ไม่ได้รับาเ็คว้าตัวไป๋เซี่ยเหอเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง ด้วยความแน่วแน่ที่จะพินาศไปด้วยกัน
“เ้ามันบ้า!”
ไป๋เซี่ยเหอกล่าวพร้อมกับสับมือเข้าที่หลังคอของไป๋หว่านหนิงอย่างโเี้ นางถลึงตามองไป๋เซี่ยเหออย่างไม่ยินยอม
“ไป๋เซี่ยเหอ ข้าจะไม่ปล่อยเ้าไปแน่”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
จากนั้นไป๋เซี่ยเหอก็เดินออกมาด้านนอกเพื่อไปยังห้องหนังสือ ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ อากาศเบาบางกว่าปกติ ราวกับอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะที่ทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกก็ไม่ปาน
เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ไป๋เซี่ยเหอก็มองเห็นบุรุษผู้นั้นกำลังยืนหันหลังให้นาง
“มีธุระอะไรหรือ?”
ไป๋เสียนอันมุ่นคิ้วก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่แม้แต่จะเรียกพ่อเชียวหรือ?”
“แล้วท่านเคยทำหน้าที่ที่พ่อควรทำบ้างหรือไม่?”
เขาปล่อยปละละเลยบุตรสาวของตนโดยไม่สนใจไยดีมาตลอดหลายปี แม้แต่บ่าวรับใช้ในจวนยังสามารถทุบตีก่นด่านางได้ตามอำเภอใจ
ไป๋เสียนอันไม่มีอะไรจะพูด “ได้ยินว่าเ้ารู้หนังสือ ทั้งยังช่วยชีวิตฝ่าาไว้ด้วยหรือ?”
“อืม”
“เ้าร่ำเรียนวิชาแพทย์จากที่ใด?”
“แม่ของข้าทิ้งสมุดบันทึกไว้ให้ข้า” ไป๋เซี่ยเหอตอบด้วยท่าทีเ็าและห่างเหิน
ดวงตาของไป๋เสียนอันเป็ประกายทันที น้ำเสียงก็ฟังดูอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย “แม่ของเ้าทิ้งของไว้ให้เ้าอย่างที่คิด นอกจากสมุดบันทึกแล้วยังมีอะไรอีก?”
ไป๋เซี่ยเหอระแวดระวังขึ้นมาทันที “มีเพียงสมุดบันทึกเท่านั้น”
“เป็ไปไม่ได้!” ไป๋เสียนอันบันดาลโทสะโดยพลัน “ยังมีภาพอีกภาพหนึ่ง!”
“ภาพหรือ? ภาพอะไร?”
ไป๋เซี่ยเหอไม่เคยเห็นภาพที่ว่ามาก่อนเลยจริงๆ
ไป๋เสียนอันพิจารณาท่าทีของไป๋เซี่ยเหออย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่านางดูเหมือนไม่ได้โกหก ก็ล้มเลิกความพยายามที่จะซักถามต่อ
“ช่างเถิด ไม่มีอะไร”
เขากล่าวต่อทันที “ในเมื่อตอนนี้เ้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของฝ่าา ทั้งยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับฮองเฮาอีก จำเอาไว้ว่าต้องเอ่ยถึงจวนสกุลไป๋ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าาและฮองเฮาให้มาก หาผลประโยชน์ให้จวนของเรามากหน่อย”
เขากล่าวอย่างสมเหตุสมผล ราวกลับลืมไปแล้วว่าจวนสกุลไป๋ปฏิบัติต่อไป๋เซี่ยเหออย่างไรตลอดหลายปีมานี้
เมื่อเห็นว่าไป๋เซี่ยเหอยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร ความไม่สบอารมณ์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาสะบัดแขนเสื้อ “เ้าไปเถิด เห็นแล้วหงุดหงิด”
ไป๋เซี่ยเหอกลับไม่ยอมจากไป นางเอ่ยปากถามอย่างกะทันหัน “เมื่อปีนั้นแม่ของข้าถูกพิษได้อย่างไร? แล้วถูกพิษอะไร?”
จู่ๆ ท่าทีของไป๋เสียนอันก็ดูไม่เป็ธรรมชาติขึ้นมา เขามุ่นคิ้วแล้วรีบพูดจากลบเกลื่อนทันที
“ผ่านไปนานปานนี้แล้วข้าจะจำได้อย่างไร? เป็เด็กเป็เล็กจะถามมากความไปไย? รีบออกไปเสีย ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
ไป๋เสียนอันหันหลังทันที ไป๋เซี่ยเหอจ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างเ็า แววตาฉาบไปด้วยจิตสังหาร
เื่ราวเมื่อปีนั้นมีปัญหาอย่างที่คิด เพียงแต่เื่พรรค์นี้จะรีบร้อนไม่ได้
จันทร์กระจ่างขึ้นสูงอยู่กลางฟ้า
เงาเรียวบางสะท้อนแสงเทียนเป็เงาวูบไหวบนกระดาษปิดหน้าต่าง
ทันใดนั้นเปลวเทียนก็ดับลง
เงาร่างสีดำสายหนึ่งพุ่งออกจากเรือนสุ่ยฉิงในไม่กี่อึดใจต่อมา
ในเมื่อรู้แล้วว่าเรือนของตนมีสายลับของฮั่วเยี่ยนไหวอยู่ ไป๋เซี่ยเหอย่อมกระทำการด้วยความระมัดระวัง
ยามราตรีคือข้อได้เปรียบของนาง
ตอนนี้นางดูราวกับควันสีครามก็ไม่ปาน กลมกลืนอยู่ในความมืดโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น
สำหรับทหารรับจ้างผู้หนึ่งแล้ว การซ่อนร่องรอยคือเงื่อนไขจำเป็ขั้นพื้นฐาน
นางเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โดยที่เสี่ยวเอ้อร์รู้สึกเพียงราวกับว่ามีลมแรงสายหนึ่งพัดผ่านเท่านั้น
แต่ไม่เห็นอะไรอยู่เบื้องหน้าเลย
‘ก๊อกๆ’
ประตูถูกเปิดออกจากข้างใน ซึ่งเป็ใบหน้าอันคุ้นเคยของจิ่วหานนั่นเอง
“นายท่าน”
ไป๋เซี่ยเหอพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตู
จิ่วหานรู้สึกใกับการกระทำของสตรีตรงหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมใดๆ
นางรู้หรือไม่ว่าการที่หนุ่มสาวที่ยังไม่ออกเรือนอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็อย่างมาก?
เหตุใดนางถึงดูเหมือนไม่กังวลอะไรเลย ทั้งยังสงบนิ่งถึงเพียงนี้?
ไป๋เซี่ยเหอมองเขา ประโยคแรกที่เอ่ยคือ “ข้า้าอำนาจและ้ามีกิจการเป็ของตนเอง”
ปลาใหญ่กินปลาเล็กคือกฎของธรรมชาติ
ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ไม่อาจละเมิดกฎข้อนี้ได้
สีหน้าของจิ่วหานดูใ นับั้แ่ได้พบไป๋เซี่ยเหอในคืนนั้น เขาก็รู้ว่านางเป็สตรีที่มีความทะเยอทะยานและมากความสามารถ
ไม่อาจใช้สายตาที่มองคนธรรมดามองนางเป็อันขาด
“แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเงินนะขอรับ”
แน่นอนว่าสิ่งที่เหมือนกันก็คือ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน เมื่อไม่มีเงิน การจะก้าวเดินสักก้าวก็ลำบาก
เพียงแต่
“เงินไม่ใช่ปัญหา”
“ปัญหาคือเ้าไม่มีเงินต่างหาก”
คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจ แม้กระทั่งไม่ได้รับความโปรดปรานใดๆ หากคิดจะจ่ายเงินสักก้อนเพื่อสร้างอำนาจและเป็เ้าของกิจการนั้นย่อมเป็ไปไม่ได้แน่ เว้นเสียแต่จะไปแย่งชิงมา!
ไป๋เซี่ยเหอมองจิ่วหานด้วยสายตาแปลกประหลาด “มีเสื้อผ้าหรือไม่? ข้าขอชุดใหม่”
“มีขอรับ” จิ่วหานรู้จุดประสงค์ของไป๋เซี่ยเหอทันที เขายื่นเสื้อผ้าชุดใหม่ชุดหนึ่งให้นาง
เสื้อผ้าของจิ่วหานดูหลวมอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่บนร่างของไป๋เซี่ยเหอ ทว่าถึงอย่างไรก็ดูเป็ระเบียบเรียบร้อยเช่นเดียวกัน
“ไปกัน”
“ไปไหนขอรับ?” นี่มันดึกแล้ว
“้าเงินไม่ใช่หรือ? ไปกับข้าสิ”
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นทั้งสองเดินลงมาจากชั้นสองก็รู้สึกงุนงงทันที เห็นอยู่ชัดๆ ว่าห้องนั้นมีคนพักอยู่คนเดียว เหตุใดถึงลงมาสองคนได้เล่า?
เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าอาคารที่เสียงดังจอแจและคึกคัก จิ่วหานก็รู้สึกประหลาดใจสุดขีด
“บ่อนพนันหรือ?”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางเป็คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนและถูกเรียกว่าเศษสวะ ทว่านอกจากจะไม่ต้องพูดถึงเื่วรยุทธ์ที่สูงล้ำอย่างน่าแปลกประหลาดแล้ว ยังนึกไม่ถึงว่าจะเล่นการพนันเป็ด้วย
นางร่ำเรียนมาจากที่ใดกัน?
ช่างเป็เ้านายที่ลึกลับจริงๆ
“บ่อนพนันว่านก้วน!”
เป็บ่อนพนันอันดับต้นๆ ในเมืองหลวง ผู้ที่สามารถย่างกรายเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ได้ ล้วนแล้วแต่เป็คนใหญ่คนโตที่มั่งคั่งและสูงศักดิ์ทั้งสิ้น
เรียกได้ว่าต้องมีสถานะทางสังคมที่สูงมาก
ทว่าพวกเขาทั้งสองต่างสวมอาภรณ์สีดำเพื่ออำพรางรูปลักษณ์ ส่วนใบหน้าก็ดูไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับคำว่าร่ำรวยเลย
จิ่วหานที่ติดตามอยู่เื้ัของนางเอ่ย “นายท่าน ท่านมีเงินเข้าไปในสถานที่เช่นนี้หรือขอรับ?”
ไป๋เซี่ยเหอปรายตามองเขา “ข้าดูเหมือนพกเงินมาด้วยหรือ?”
จิ่วหานซวนเซจนแทบล้มลงกับพื้น แย่แล้วสิ ดูเหมือนเขาจะประเมินเ้านายคนนี้สูงเกินไป
ถึงอย่างไรนางก็เป็เพียงเด็กสาวที่อายุสิบกว่าปีเท่านั้น
ดังนั้น จิ่วหานจึงเริ่มอธิบายให้ไป๋เซี่ยเหอฟังด้วยท่าทีจริงจัง คำว่าว่านก้วนของบ่อนพนันว่านก้วน คือว่านก้วนที่มาจากคำว่าตระกูลร่ำรวย
ไม่ร่ำรวยแล้วจะกล้าย่างกรายมาที่บ่อนพนันว่านก้วนได้อย่างไร?
“จะทำเงินจากบ่อนพนันแห่งนี้ ข้า้าเพียงหนึ่งเหรียญทองแดงเท่านั้น!”
น้ำเสียงของนางแจ่มชัด ทว่ามีความเย่อหยิ่งและมั่นใจในตนเองแฝงอยู่ด้วย
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้