*ผู้แต่งข้ามตอน 131 ไปเป็ 132 เลยค่ะ คนแปลจึงขอเขียนเป็สองอันไปเลยเพื่อความไม่สับสนนะคะ อย่าถามว่าเพราะอะไรเพราะคนแปลก็งงเหมือนกันค่ะ...ฮ่าๆๆ
----------
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา
“เ้าเป็ใครกันนะ กล้ามากำแหงอวดดีหน้าสำนักเ้าด่าน ไม่รักษากิริยามารยาท นั่งทำกร่างเกะกะ ที่แท้ก็แม่ทัพกร่างด้อยปัญญาผู้อื้อฉาวนี่เองสินะ”
เสียงทิ่มแทงไม่เป็มิตรดังมาจากด้านข้าง
เวินหว่านเดิมทีนั่งสบายอารมณ์อยู่แท้ๆ พอได้ยินคำนั้นก็ขมวดคิ้ว รู้ได้ในทันทีว่าคนที่พูดคือใคร ใบหน้าเผยแววรำคาญใจเมื่อตอบไป “ทำไม ไอ้ทึ่ม คันตูดอีกแล้วหรือวะ? ไสหัวไปทางอื่นเลยไป ไม่มีแก่นสารก็อย่ามาจุ้นกวนอารมณ์ข้า ระวังพ่อจะกระทืบเอ็งเข้าให้”
“เ้า...”
แม่ทัพชนชั้นสูงอายุน่าจะประมาณยี่สิบกว่าปี ยืนโมโหอยู่นอกศาลา
ดูจากบทสนทนาของคนทั้งคู่แล้ว เวินหว่านคงมีความสัมพันธ์กับแม่ทัพชั้นสูงคนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ถุย แม่ทัพไม่เข้าเื่มีความกล้าแต่ด้อยปัญญา” แม่ทัพชนชั้นสูงส่งเสียงเย็นในลำคอ ั์ตามีแวววับวาม กับใบหน้าที่แสดงออกว่าไม่เข้าใจเวินหว่านอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้เองที่เ่ิูเดินออกมาจากในสำนักทันเวลาพอดี
“เหล่าเวิน จัดการเื่เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” เ่ิูโบกป้ายนามอักขระในมือ ซึ่งทำสัญลักษณ์ของด่านโยวเยี่ยนไว้เป็ที่เรียบร้อย นี่ก็หมายความว่าเ่ิูเป็คนของทัพแห่งด่านโยวเยี่ยนโดยสมบูรณ์
เวินหว่านยืนขึ้นมา “ไวขนาดนี้เชียว? เข้าพบใต้เท้าเ้าด่านแล้วหรือ?”
เ่ิูส่ายหน้า “ไม่ได้เจอหรอก คุณชายหลิวเป็คนต้อนรับข้าน่ะ”
“อ้อ” เวินหว่านพยักหน้า ไม่อาจรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็โบกมือพลางว่า “ไปกันเถอะ”
แม่ทัพชั้นสูงเมื่อได้ยินบทสนทนานั้นแล้ว จึงปรายตามองเ่ิู ก่อนเผยรอยยิ้มเย็นอย่างดูถูก ฉับพลันก็ยกขามาขวางหน้าเ่ิูเอาไว้ ทำเท้าคางถาม “มาใหม่เหรอ?”
เ่ิูกวาดตามองเขาทีหนึ่งจึงพยักหน้ารับ
“ในเมื่อมาใหม่ข้าผู้นี้ก็จะสั่งสอนเ้าไว้ หลังจากนี้อย่าอยู่ใกล้กับเ้าโง่งมดีแต่ใช้กำลัง ศัตรูจองล้างจองผลาญคนนี้อีก ไม่เช่นนั้นแล้ว เ้าได้มีปัญหามาเยือนถึงบ้านแน่” แม่ทัพชั้นสูงเอ่ยน้ำเสียงยากจะทนฟัง
เ่ิูรู้สึกงงงวย
เขามองเวินหว่านแล้วถาม “ศัตรูเ้าหรือ?”
“มันน่ะเรอะ? จะมีปัญญาพอเป็ศัตรูข้าได้? เป็ได้แค่ไอ้ขี้ขลาดพอถึงาจริงก็หนีแค่นั้นแหละ โดนข้าเก็บกวาดไปไม่รู้กี่รอบ ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนหนุนหลังมันแน่น ข้าได้ฆ่ามันตายไปนานแล้ว ไม่มีค่าควรให้พูดถึงด้วยซ้ำ” เวินหว่านลูบจมูกตัวเองยามตอบอย่างถือตัว
เ้าจะพูดตรงเกินไปหรือเปล่า?
เ่ิูด่า “เ้าพูดว่ามากรุยทางให้ข้า ข้าว่าเ้ามาสร้างศัตรูให้ข้ามากกว่ามั้งนี่”
เวินหว่านหัวเราะชั่วร้าย
เ่ิูตบไหล่แม่ทัพชั้นสูงพลางยิ้ม “เ้าวางใจได้ ข้าไม่ใช่ประเภทเดียวกับเ้าเขลานี่แน่”
แม่ทัพชั้นสูงก้าวถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างรังเกียจเล็กๆ เขาปัดไหล่ตรงส่วนที่เ่ิูตบ แล้วหัวเราะเย็นเยียบ “งั้นเ้าก็เข้าใจสินะ”
ใครจะรู้ว่าพูดไม่ทันขาดคำ เ่ิูก็หัวเราะอย่างใสซื่อไร้พิษภัยพลางเสริม “แต่ว่านะ ข้าเองก็จะสั่งสอนเ้าไว้อย่างหนึ่งเหมือนกัน อย่าเที่ยวไปเล็งเป้าทำเกะกะระรานคนอื่น จะดีที่สุดก็อย่าหนีทัพให้ข้าเห็นในสมรภูมิเสียล่ะ ไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกที่หนุนหลังเ้าอยู่จะแข็งขั้นไหน ข้าก็จะฆ่าเ้าให้ตายเสีย ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่า ข้าไม่เหมือนเ้าที่ทำกร่าง กล้าคิดไม่กล้าทำนี้แน่”
แม่ทัพชั้นสูงนิ่งสนิท
ฉับพลันจึงเข้าใจแล้วว่า คำพูดของเ่ิูจงใจทำให้เขาเป็ตัวตลก
“หยุดอยู่นั่นแหละ!” แม่ทัพสูงศักดิ์โกรธจากก้นบึ้ง เขาดึงเ่ิูที่กำลังจะเดินไปในทันที ก่อนเผยยิ้มเย็น “พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ผุดมาจากดงไหนฮะ? กล้าพูดเช่นนี้กับข้า? ไม่รู้หรือไงว่าข้าเป็ใคร?”
เมื่อครู่เขาได้ยินว่า เ่ิูมารายงานตัวที่ด่านโยวเยี่ยนเป็ครั้งแรก แต่ไม่ได้พบกับใต้เท้าเ้าด่าน แต่เป็ท่านชายหลิว ทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการที่ตำแหน่งสุดแสนจะธรรมดา ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่าเ่ิูมิใช่คนใหญ่คนโตอะไร น่ากลัวว่าจะเป็แค่ตัวละครบทเล็กๆ โดนส่งให้มาที่นี่เท่านั้น เขาถึงได้เอาอิทธิพลนายทัพเข้าข่มอย่างถือดี
เื่พรรค์นี้เขาทำมาเยอะเกินไป เยอะจนชำนาญ
แต่เ่ิูได้ฟังแล้วกลับอยากขำ
แม่ทัพชั้นสูงคนนี้ ไม่ต่างกับพวกชนชั้นสูงเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อในสำนักกวางขาวเลย
ทำไมในกองทัพถึงยังมีคนชั้นสูงประเภทนี้อยู่ได้นะ?
“ในเมื่อเ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ชักอยากถามว่าเ้าเป็ใครแล้วล่ะ” เ่ิูไม่รีบร้อนไปไหนแล้ว เขาหันกายกลับมาชำเลืองมองเขาอย่างสบายอารมณ์
“เฮอะๆ ฟังให้ดีแล้วกัน ข้าคือแม่ทัพรบกองโจรฝ่ายซ้ายหลินหลาง” แม่ทัพชั้นสูงเชิดหน้ามองเ่ิูจากที่สูง เขาว่าต่อ “เป็ไงเล่า? ตำแหน่งทหารระดับนี้ มีคุณสมบัติมากพอให้เ้าก้มหัวคุกเข่าคำนับแล้วหรือยัง?”
ทัพประจำการณ์ของด่านโยวเยี่ยนแบ่งเป็ทัพหน้ารุกแนวหน้า ทัพปีกซ้าย ทัพปีกขวาและทัพหลัง
และนายกองชั้นกลางที่ขึ้นตรงกับแม่ทัพรบกองโจร ต้องมีร้อยคนขึ้นไป มีอำนาจออกคำสั่งทหารให้จู่โจมแต่เพียงผู้เดียว ตำแหน่งในด่านโยวเยี่ยนนับได้ว่าสูงไม่เบา
เ่ิูฟังแล้วก็หัวเราะร่า
เขาส่ายป้ายสลักนามทหารในมือพลางเอ่ย “ที่แท้ก็ใต้เท้าหลินแม่ทัพรบกองโจรนี่เอง ข้านี่ไม่มีความเคารพยำเกรงเอาเสียเลย ข้าเ่ิู ทูตถือดาบตรวจการณ์ มารายงานตัวเอาป่านนี้ ไม่รู้ว่าต้องคุกเข่าคำนับให้ใต้เท่าหลินหรือเปล่าหนอ?”
หลินหลางได้ยินแล้วก็อึ้งค้าง
เขาจ้องป้ายนั้นแทบเป็แทบตาย ใบหน้าพลันแดงข้างเขียวข้าง สุดท้ายจึงก้มหน้าไม่กล้าสบตาเ่ิู
ทูตถือดาบตรวจการณ์!
เด็กคนนี้ เป็ทูตถือดาบตรวจการณ์ตัวจริง!
หลินหลางร่ำร้องเป็บ้าในใจ
ตำแหน่งทหารเช่นทูตถือดาบตรวจการณ์นี้ เป็ตำแหน่งพิเศษอย่างมากในด่านโยวเยี่ยน แม้จะเป็นายทัพระดับกลาง แต่กลับไม่ขึ้นตรงต่อทัพใดไม่ว่าจะซ้ายขวาหรือหน้าหลัง แล้วก็ไม่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของสำนักเ้าด่านด้วย แต่ฟังคำสั่งจากฮ่องเต้แห่งอาณาจักรโดยตรง เป็บทบาทพิเศษคล้ายกับทูตที่ส่งตรงจากฝ่ายกลาโหม
ในด่านโยวเยี่ยนนั้นมีทูตถือดาบตรวจการณ์อยู่สิบคน
แต่ละคนล้วนมีอำนาจมาก หน้าที่คือสอดส่องทหารทุกกรมกอง เป็ตัวแทนของราชสำนักและกองพลลาดตระเวน รักษาระเบียบวินัยและรับรองความซื่อสัตย์ภักดีที่มีต่อราชสำนัก คอยคุ้มครองกฎไม่ให้ถูกละเมิด ตลอดจนรายงานหากมีผู้ใดคิดต่อต้านองค์ฮ่องเต้ เป็ตำแหน่งที่ชั้นแม่ทัพลงไปแห่งสี่เหล่าทัพต้องผ่านการกำกับจากพวกเขา ไม่ว่าจะทำหรือพูดอะไรก็ตามแต่
และสำหรับทหารที่ละเมิดกฎเกณฑ์ พวกเขามีอำนาจในการขับไล่และรายงานเบื้องบนตามหลัง
พูดให้ง่ายก็คือ ทูตถือดาบตรวจการณ์ลำดับชั้นทหารไม่สูง แต่อำนาจกลับมากมายนัก เป็บทบาทน่ากลัวที่ยกขึ้นมาเปลี่ยนสถานการณ์จากหน้ามือเป็หลังเท้าได้เลย
ทว่าเพราะอำนาจพวกเขามากนี่เอง ตำแหน่งทหารตำแหน่งนี้จึงไม่มีทหารติดตาม มีเพียงผู้ติดตามประจำตัวสี่ห้าคนเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการรวมกองกำลัง โดยทั่วไปแล้วทูตถือดาบตรวจการณ์ล้วนคือยอดฝีมือด้านวรยุทธ์ ใช้พลังวรยุทธ์เป็เรี่ยวแรงในการพิพากษา
หลินหลางต่อให้ฝันก็ฝันไม่ถึง ว่าตัวเขาเป็แค่ลมที่อุกอาจเหวี่ยงตัวมาเตะเข้ากับไม้กระดานเหล็กแข็งปั้กขนาดนี้
กับอีแค่ตำแหน่งเล็กๆ อย่างแม่ทัพรบกองโจรแค่นี้ แม้จะมีตระกูลคอยหนุนหลัง แต่อยู่ต่อหน้าบทบาทดุเดือดของทูตถือดาบตรวจการณ์เช่นนี้แล้ว เรียกว่าเป็ได้แค่เต้าหู้เหลว หากทูตถือดาบตรวจการณ์มีใจจะกำจัดเขาแน่แล้ว ชะตาชีวิตน้อยๆ ของเขาต้องโดนเก็บไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว
“ข้า...ข้า...ข้าผู้น้อย...ข้า...”
หลินหลางอ้ำอึ้ง หน้าแดงแจ๋ จะพูดสักประโยคยังพูดไม่ออก
ว่ากันตามจริง เขาในตอนนี้หวาดกลัวจนขาอ่อนหมดแล้ว หากไม่เพราะเห็นแก่ฐานันดรอันมีเกียรติของชนชั้นสูงและจอมยุทธ์แล้วไซร้ ไม่แน่ว่าคงคุกเข่าตุบลงพื้นไปนานแล้ว
เ่ิูหัวเราะลั่น
“ตาขาว” เวินหว่านไม่แม้แต่จะชายตามอง
สองร่างเดินออกไปจากทวารใหญ่แห่งสำนักเ้าด่านแล้วจึงเหาะลา
หลินหลางยืนอยู่บนพื้น สีหน้าทั้งอึดอัดและโฉดชั่ว มองเห็นแผ่นหลังสองคนนั่นแล้วปากก็ขยับไม่รู้กี่พันรอบ สุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนไม่พูดออกมา
วันนี้เขาซวยเสียเต็มประดา
เหงื่อเย็นท่วมตัวค่อยๆ ระเหยหาย ลมหนาวเป่ารดจนเขาตื่นจากภวังค์ขึ้นมาบ้าง
หลินหลางพยายามข่มความกลัวให้มิด เขาลอบเอ่ยกับตัวเอง : ข้าเป็อะไรไป โดนไอ้เด็กมาใหม่ทำกลัวเสียได้...อื้ม ใต้เท้าเ้าด่านไม่มาพบเขาด้วยตัวเอง คิดแล้วอย่างไรซะไอ้เด็กนี่ก็ไม่มีเื้ัคอยหนุนเป็แน่ อยู่กับเวินหว่านเ้ากร่างด้อยปัญญานี่ด้วย เื้ัคงทั่วๆ ไปนั่นแหละ...
เขานั่งพิจารณาอยู่ในศาลา
ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกว่าตัวเองตัดสินถูกแล้ว
“บัดซบเอ๊ย เ่ิูใช่ไหม? อีกนิดก็เกือบจะโดนไอ้เด็กนี่ขู่อยู่หมัดซะแล้ว ฝากไว้ก่อนเถอะ เ้าควรมีเื้ังามๆ เสียนะ ไม่งั้นข้านี่แหละจะสะสางความอับอายในวันนี้...ทูตถือดาบตรวจการณ์คนใหม่ของด่านโยวเยี่ยน ข่าวนี้ต้องแพร่สะพัด ข้าอยากจะรู้เหลือเกินว่าเ้าจะยังยืนนิ่งไม่โงนเงนได้อยู่อีกไหม!”
หลินหลางหัวเราะเย็น
...
...
เวินหว่านพาเ่ิูมาส่งที่สำนักเป็ทางการของทูตถือดาบตรวจการณ์
“สายๆ หน่อยข้าจะมาหาเ้า” เวินหว่านตบบ่าเ่ิูแล้วว่าต่อ “หลายวันมานี่ข้ามัวแต่ตามหาเ้าจนไม่ได้รายงานตัวที่ทัพมาพักหนึ่งแล้ว คงก่อเื่ยุ่งยากไว้กองใหญ่เลยล่ะ ข้ากลับไปสะสางก่อนนะ...อยู่ในด่านโยวเยี่ยนนี่น่าเบื่อมาก เ้าจะค่อยๆ ชินไปเอง”
ว่าจบก็พาผู้ใต้บังคับบัญชาเดินจากไป
ตำแหน่งทหารของเวินหว่านก็เป็แม่ทัพรบกองโจร มีทหารขี่ัหิมะใต้อาณัติอยู่สองร้อย นับเป็ทหารเอกของทัพหน้าได้เช่นกัน แม้เขาจะเพิ่งมาที่ด่านโยวเยี่ยนได้ไม่นาน แต่กลับลงสมรภูมิหนักหน่วงจริงหลายครั้ง ผลการรบงดงาม เป็ดาวดวงใหม่ของแวดวงทหาร่นี้ กระแสเป็ที่จับตา ย่อมจะแข็งแกร่งกว่าหลินหลางเ้าแม่ทัพชั้นสูงดีแต่พึ่งกำลังที่บ้านอยู่แล้ว
เ่ิูส่งเวินหว่านเสร็จแล้วก็ยืนอยู่หน้าสำนัก เด็กหนุ่มรู้สึกปลงอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งปลูกสร้างตรงหน้าเขานี้ เป็สำนักทหารแท้ๆ ความจริงแล้วเป็แค่หอคอยถูกมาตรฐานเข้ากับแบบแผนของด่านโยวเยี่ยนเท่านั้น สูงสี่ชั้น สูงที่สุดในบรรดาสิ่งปลูกสร้างรัศมีพันเมตรจากนี้ สภาพอาคารเน้นความแข็งแรงเป็หลักเหมือนเดิม ลายเส้นชั้นผนังทำขึ้นแบบสุกเอาเผากิน ไม่มีการแกะสลักหรือประดับประดาลายงามๆ มองไปแล้วช่างธรรมดายิ่งนัก
ประตูหน้าทิศอุดรของหอคอย มีอักษรตัวใหญ่สลักอยู่
อาชาขาว
นามแห่งหอคอยนี้คือหอคอยอาชาขาว
แกร๊ก!
ประตูใหญ่แห่งหอคอยถูกเปิดออก
“ใต้เท้า”
ชายหนุ่มร่างผอมหน้าขาวซีด สวมเกราะโซ่พะรุงพะรัง และรองเท้าหนังสัตว์ขนาดใหญ่ เขาเดินเข้ามาจากในประตูใหญ่ เมียงมองเ่ิูอย่างฉงน ก่อนถามอย่างไร้เรี่ยวแรง “ท่านมาตามหาใครหรือ?”
เ่ิูยิ้มพลางตอบ “ข้ามาใหม่ หลังจากนี้ก็อยู่ที่นี่แล้วล่ะ”
“อ๋า? มาใหม่หรือ?” ชายหนุ่มนิ่งไป พริบตาต่อมาก็เข้าใจบางอย่าง ั์ตาะเิแววที่ทำเอาคนมองใในบัดดล เขาถามอย่างอัศจรรย์ใจ “ท่าน...ท่าน...ท่านหมายความว่า ท่านเป็ทูตถือดาบตรวจการณ์คนใหม่หรือ?”
เ่ิูจับต้นสายปลายเหตุไม่ถูกว่าเขาจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น เขายิ้มแล้วพยักหน้าให้
ชายหนุ่มมองเ่ิู ฉับพลันเกิดความซาบซึ้ง ริมฝีปากเปล่งเสียงร้องไห้ฮือ ตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แต่ผงกหัวระรัว จากนั้นก็คุกเข่าโขกหัวให้เ่ิู โขกมากครั้งเข้าก็หัวแตก เืแดงสดพรั่งพรูออกมา...
“ลุกขึ้นเร็ว” เ่ิูยกมือ ใช้กำลังภายในประคองชายหนุ่มขึ้นมา เขาย่นคิ้วถาม “เ้าเป็ใครกันแน่น่ะ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมต้องร้องไห้ด้วย?”
ชายหนุ่มเช็ดน้ำตา ทว่าก็ยังเหลือคราบ เขาตอบตะกุกตะกัก “ผู้น้อย...ผู้น้อยเป็...ทาสกระบี่ของหอคอยอาชาขาว ผู้น้อย...ในที่สุดผู้น้อยก็รอใต้เท้ามาจนได้...ผู้น้อยรออย่างขื่นขมมากขอรับ...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้