เฉียวเยว่รูดปิดถุงเหอเปาที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารอย่างยิ่ง
หรงจ้านยังฉวยถุงเหอเปาน้อยๆ ของนางมาพิศดูแล้วพูดว่า "ฝีมือธรรมดาเช่นนี้ เ้าต้องทำเองแน่ๆ"
ต้องบอกว่าเขาพูดถูกเผง
ดวงหน้าน้อยของเฉียวเยว่แดงซ่าน ทำปากยื่นออกมา "ข้าขายการออกแบบเป็หลัก ท่านเคยเห็นการออกแบบถุงเหอเปาที่ทั้งน่ารักและสะดุดตาเช่นนี้หรือไม่เล่า"
ต้องบอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ เฉียวเยว่พยายามฉวยของของตนเองกลับไป ถุงเหอเปาของนางเป็รูปกระต่าย มีหูยาวๆ น่ารักมาก "กลับไปทำใบใหญ่ให้ข้าด้วยใบหนึ่ง" หรงจ้านไม่พูดเล่น
เฉียวเยว่มองเขาอย่างคาดไม่ถึง รู้สึกว่าคนผู้นี้จะแย่ไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นจะหาภรรยาได้อย่างไร แต่เอาเถอะ คนประหลาดเช่นเขาต่อให้ไม่ขอเื่แบบนี้ก็หาภรรยายากอยู่แล้ว
เมื่อเห็นริมฝีปากน้อยๆ ยื่นออกมาจนแทบจะแขวนขวดซีอิ๊วได้ หรงจ้านก็ทำท่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "เ้าทำถุงเหอเปาให้ข้าหนึ่งใบ ข้ามอบจยาหลัวให้เ้าหนึ่งชิ้น เช่นนี้ก็ไม่ติดค้างกันแล้ว"
หลังจากนั้นก็ส่งถุงเหอเปากับห่อเครื่องหอมยัดใส่มือนาง "โง่จริง"
แล้วหมุนตัวจากไปก่อน
เฉียวเยว่เอียงคอมองเงาหลังของอวี้อ๋อง เห็นซื่อผิงหิ้วแป้งชาดผัดหน้าที่เพิ่งซื้อขึ้นรถม้า ก็เบะปากอย่างเศร้าสลดให้กับเงินของนางที่จ่ายออกไป
ร้านขายแป้งชาดย่อมมีลูกค้าคนอื่นๆ ทุกคนต่างมองเฉียวเยว่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ รู้สึกว่านางน่าสงสารเหลือเกิน
ถึงว่าบุรุษเช่นอวี้อ๋องถึงแต่ไม่ออก!
ระหว่างทางกลับ โม่หลันยังพูดไปตลอดทาง "ช่างไร้มารยาทเสียจริงๆ เงินในถุงเหอเปาของเ้าไม่เหลือแม้แต่แดงเดียว ทำไมถึงไม่ละอายใจบ้าง ฮึ ฮึ"
เฉียวเยว่ส่ายหน้ายิ้ม แต่ไม่เอ่ยอันใด
ผู้อื่นไม่รู้ แต่ใจของนางนางย่อมรู้ดี แม้ว่าอวี้อ๋องจะใช้เงินของนางจนหมดถุง แต่จยาหลัวที่เขามอบให้มีค่าเป็พันตำลึงทอง ดูจากตรงนี้ เงินในถุงเหอเปาของนางจะมากสักเท่าไรกันเชียว
เพียงแต่เพราะพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาในภายหลัง ทำให้ทุกคนลืมเื่ที่เขาทำตัวเป็เศรษฐีเหมาซื้อเครื่องหอมก่อนหน้านี้ไปแล้ว
"แท้จริงแล้วพี่จ้านเป็คนดีมาก" นางเอ่ยอย่างใจอ่อน
โม่หลันถอนหายใจ "เ้าน่ะปากมีดใจเต้าหู้"
เฉียวเยว่ไม่พูดอันใด เพียงแค่ยิ้มหวาน
ไม่ช้าข่าวที่อวี้อ๋องใช้เงินในถุงของคุณหนูเจ็ดสกุลซูก็แพร่กระจายไปทั่ว ยิ่งเป็เื่แปลกก็ยิ่งแพร่ไปเร็วมาก แต่ไม่ว่าข้างนอกจะพูดกันอย่างไร ไท่ไท่สามก็รู้ว่าครอบครัวของพวกเขาเป็ฝ่ายได้เปรียบ
นางมองเครื่องหอมบนโต๊ะ แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จะส่งคืนไปก็ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน แต่การรับของล้ำค่าจากผู้อื่นก็หาใช่สิ่งที่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็ใช่ว่าเป็ของที่พวกเราซื้อเองไม่ได้ แม้จะเป็ของมีราคา แต่ไม่นับว่าเป็อันใดในสายตาของพวกเขา
นางจิ้มพวงแก้มของบุตรสาว แล้วกล่าวว่า "เ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ไปรับของล้ำค่าเช่นนี้จากผู้อื่นได้อย่างไร"
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก "ใช่ว่าท่านแม่ไม่รู้จักเขาผู้นั้น ข้าสู้เขาชนะเสียที่ไหนกัน"
ซูซานหลางกำลังอ่านตำรา เห็นสีหน้าภรรยาเต็มไปด้วยความสงสัย ส่วนบุตรสาวกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ก็อมยิ้มกล่าวว่า "ไม่เป็ไรหรอก เมื่อผู้อื่นมีน้ำใจ ก็รับไว้เถอะ วันหน้าข้าส่งของขวัญคืนกลับไปก็ได้"
ไท่ไท่สามพยักหน้า "ก็คงทำได้เท่านี้แหละ"
เฉียวเยว่พยักหน้าคล้อยตาม ไท่ไท่สามพลันท้วงติง "ยังมาพยักหน้าอีก เ้าเด็กคนนี้มันน่านัก ชอบก่อเื่อยู่เรื่อย"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน "ท่านแม่ อย่าเป็เช่นนี้สิเ้าคะ"
"เื่เหล่านี้ควรเป็เื่ที่เ้าต้องมากังวลเสียที่ไหน วันหลังเ้าหาของดีมีราคาส่งไปให้อวี้อ๋องก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องวิตกมากเกินไปนัก" ซูซานหลางวางตำราลง แล้วเอ่ยว่า "นี่เป็งานอดิเรกของเ้า เมื่อผู้อื่นมอบให้ก็รับไว้เถอะ อีกอย่างมันก็ไม่ได้โยงมาถึงเ้าเสียที่ไหน เห็นอยู่ว่าเป็เพราะมิตรภาพอันกว้างขวางของกระต่ายอ้วนบ้านเรา"
ซูซานหลางพูดติดตลก เฉียวเยว่พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูทะแม่งๆ ก็เข้าไปสะกิดซูซานหลาง ตัดพ้อเสียงเบา "ท่านพ่อน่าชังนัก"
ซูซานหลางยกยิ้ม "เ้าเห็นหรือไม่ ข้ากำลังพะเน้าพะนอมารดาเ้าอยู่ ที่นี่ไม่มีธุระของเ้าแล้ว เอาล่ะ เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว"
เฉียวเยว่ถูกไล่ออกมาด้วยประการฉะนี้
เื่ผ่านไปโดยสะดวก แต่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถือสาหาความ แต่ใครบางคนกลับไม่คิดเช่นนั้น วันต่อมาเฉียวเยว่ไปสำนักศึกษา ขณะเข้าประตูก็เห็นฉินอิ๋งกลอกตาใส่พลางตั้งแง่รังเกียจ
เฉียวเยว่งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อวานก็เห็นยังดีๆ อยู่ หันมาอีกทีก็กลายเป็เช่นนี้ไปแล้ว ไม่รู้เพราะสาเหตุใด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฉินอิ๋งนั้นตื้นเขิน ไม่นับว่าสนิทสนม ย่อมจะไม่สนใจมากนัก
"ใครบางคนทำตัวไร้ยางอายจริงๆ มีกุลสตรีดีงามคนไหนบ้างรับของมีค่าเช่นนั้นจากผู้อื่น" ฉินอิ๋งจงใจพูดเสียงดัง
เดิมทีนางยังไม่คิดไปถึงขั้นนั้น แต่พอระหว่างทางกลับจวนได้ยินญาติผู้พี่วิเคราะห์เช่นนี้ ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล อยู่ดีๆ เหตุใดต้องรับของขวัญล้ำค่ามากมายจากผู้อื่น อีกอย่างเงินเ่าั้สามารถช่วยเหลือคนยากจนได้อีกตั้งมากมายเท่าไร พวกเขากลับเอามาแลกเครื่องหอม ไม่ว่าเครื่องหอมจะถูกหรือแพงแท้จริงแล้วก็ไม่มีสาระอันใดเลย ตอนนำมาใช้ก็มิได้แตกต่างกันมากนัก แต่การใช้เงินเป็พันตำลึงทองซื้อเครื่องหอมก็หาใช่เื่ดีงามแต่อย่างใด
เมื่อคิดเช่นนี้ฉินอิ๋งก็ยิ่งรู้สึกว่าญาติผู้พี่ของตนเองมีเหตุผล และกล่าวถูกต้อง แม้ว่าซูเฉียวเยว่จะดูไร้เดียงสาและน่ารัก แต่ก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว เกรงว่าอีกสองปีก็คงมีคนมาสู่ขอ ดูจากตรงนี้ในใจก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นางจิ้งจอกซึ่งแฝงเร้นเจตนาไม่ดีในใจ
เฉียวเยว่ยังไม่ตอบ โม่หลันกลับเอ่ยขึ้นก่อน "ผู้อื่นมีความสัมพันธ์แบบไหนเ้าไหนเลยจะรู้? อยู่ดีๆ ก็มาพูดถากถางเหน็บแนมช่างน่าขันเสียจริง"
ฉินอิ๋งหัวเราะหึๆ "มีความสัมพันธ์แบบไหน ก็ความสัมพันธ์ลักลอบคบหาเชิงชู้สาวอย่างไรเล่า"
นึกถึงคำวิจารณ์ของญาติผู้พี่ ฉินอิ๋งก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา แม่นางคนอื่นๆ ในห้องเรียนอีกสองสามคนต่างมองนางด้วยสายตาชอบกล ไม่นึกว่านางจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
ท่านหญิงฉางเล่ออยู่ด้านข้างหัวเราะเยาะหยัน "ไอ้หยา สุนัขกัดสุนัข"
ฉินอิ๋งไม่ค่อยสนิทกับนางมากนัก เพราะเข้ากันไม่ได้ ซูเฉียวเยว่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งกว่าเป็ศัตรูคู่อาฆาต พวกตนทะเลาะกัน นางย่อมจะชมความครึกครื้นอย่างสาแก่ใจ
เฉียวเยว่เงยหน้ามองฉินอิ๋งแล้วกล่าวอย่างวางเฉย "ไหนเ้าพูดอีกทีซิ"
ชั่วขณะที่ฉินอิ๋งหลุดปากออกไปนางก็รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง แต่ไม่ช้านางก็เอ่ยขึ้นอีก "ข้าบอกว่าเ้ากับอวี้อ๋องคบหากันฉันชู้สาว มีสตรีดีๆ คนไหนจะใกล้ชิดกับบุรุษนอกถึงเพียงนั้น" ญาติผู้พี่พูดไม่ผิด
เฉียวเยว่เดินมาข้างกายฉินอิ๋ง นางตัวสูงกว่า ทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังกดดัน เฉียวเยว่แทบจะไม่ต้องคิด สะบัดมือใส่อีกฝ่ายโดยตรง "เพียะ!"
ฝ่ามือนี้ตบเข้ากับใบหน้าของฉินอิ๋งโดยตรง ทำเอาเ้าตัวถึงกับตะลึงพรึงเพริด
เฉียวเยว่ย้ำทีละคำทีละประโยคอย่างเยียบเย็น "ตนเองชอบเกลือกกลั้วกับสิ่งปฏิกูลก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนกับตนเอง อีกอย่างหากข้าได้ยินเ้าพูดพล่ามเหลวไหลอีก ข้าจะตบปากเน่าๆ ของเ้าเสีย อยากจะพูดอะไรก็กลับบ้านไปคุยกับญาติผู้พี่ของเ้าโน่น หากให้ข้าได้ยินอีกแม้แต่ส่วนเดียว ข้าไม่เกรงใจแน่"
"พูดจบก็กลับไปนั่งที่ของตนเอง หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็จะรู้ว่าในใจของเฉียวเยว่ก็เสียใจมาก ถึงนางจะดูเหมือนสงบนิ่ง แต่มือของนางสั่นระริก แม้ระหว่างนางกับฉินอิ๋งจะนับว่าเป็สหายร่วมชั้น แต่ไม่ใช่มิตรสหายที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นางนึกไม่ถึงเลยว่าฉินอิ๋งจะเอ่ยวาจาน่ารังเกียจเยี่ยงนั้นออกมา ตนเองในสายตาของนางเป็คนเช่นไรกันแน่
ฉินอิ๋งถูกตบก็ร้องไห้โฮออกมา "ซูเฉียวเยว่ เ้ามีสิทธิ์อะไรมาตบข้า เ้า..."
"พวกเ้าทำอะไรกัน?"
อาจารย์กู้เดินเข้ามาในห้อง เห็นฉินอิ๋งกุมใบหน้าร้องไห้ ส่วนคนอื่นๆ ต่างทำหน้าเลิ่กลั่ก "ใครบอกข้าได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น"
สายตาเหลือบไปที่เฉียวเยว่ เพราะได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายประโยคนั้น
เฉียวเยว่ลุกขึ้นอย่างไม่ต่ำต้อยไม่ก้าวร้าว "ข้าตบหน้านางเองเ้าค่ะ" นางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นะเื "หากนางยังพูดเหลวไหลส่งเดช ข้าก็ไม่ถือสาที่จะให้บทเรียนซ้ำสอง"
นางหันมากวาดตามองรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันกลับไป แล้วพูดอย่างจริงจัง "อาจารย์เ้าคะ ข้าผิดที่ตบผู้อื่น ข้ายินดีรับโทษ แต่หากยังไม่ครั้งต่อไป ข้าก็ยังคงไม่ปล่อยไปเหมือนเดิม เด็กสาวอายุเพียงสิบขวบกลับมีความคิดสกปรกโสมม วันนี้นางว่าร้ายข้าเช่นนี้ วันหน้าก็ว่าร้ายคนอื่นๆ ได้เหมือนกัน หากไปว่าถูกคนที่ใจเสาะคิดมากไม่รู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง ข่าวลือเลวร้ายคร่าชีวิตคนมานักต่อนัก หากอาศัยว่าตนเองอายุยังน้อยก็สามารถพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ท่านสอนความเป็คนแก่นางแล้ว ข้านี่แหละจะสอนนางเอง"
นี่เป็ยุคสมัยโบราณ หาใช่ยุคปัจจุบัน ชื่อเสียงคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับลูกผู้หญิง วันนี้ฉินอิ๋งใช้ถ้อยคำเช่นนี้มาประณามหยามเหยียดนางโดยไม่ลังเล หากปล่อยให้เหิมเกริมไปมากกว่านี้ ต่อไปวันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะไปทำเช่นนี้กับผู้อื่นอีก
คำกล่าวเช่นนี้ในสมัยโบราณสามารถฆ่าคนได้เลย
ไม่เพียงแต่ฉินอิ๋ง คนอื่นๆ ก็ไม่เคยเห็นซูเฉียวเยว่เป็เช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นต่างพากันเงียบกริบ
อาจารย์กู้จดจ้องทุกคนอยู่เงียบๆ
"นางเอ่ยว่าอย่างไร"
"นางบอกว่าข้ากับอวี้อ๋องมีความสัมพันธ์ชู้สาวเ้าค่ะ" เฉียวเยว่เว้นจังหวะไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "วันหน้าจะเป็เช่นไรมิอาจทำนายล่วงหน้า ข้าไม่กล้าพูดว่าวันหน้าจะไม่แต่งงานกับเขา ใครก็ไม่อาจเห็นเื่ราวในอีกสิบปีข้างหน้า แต่ตอนนี้ ข้ากับพี่จ้านเป็เหมือนพี่ชายน้องสาว ตอนข้าห้าขวบก็รู้จักเขาแล้ว เขาก็ดูแลข้ามาโดยตลอด เห็นข้าเป็ดุจน้องสาวร่วมอุทร ดีกับข้าเสมอมา แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาจะมีความคิดเป็อื่นแอบแฝง ข้าเองก็เช่นกัน ข้าเคารพนับถือเขามาก เ้าจะว่าข้าอย่างไรก็ได้ แต่จะเหยียดหยันคนสำคัญของข้าไม่ได้"
อาจารย์กู้หันไปมองฉินอิ๋ง แล้วถามนาง "เ้าพูดเช่นนี้รึ?"
ฉินอิ๋งปากสั่นเอาแต่ร้องไห้ ไม่กล้าตอบรับ น้ำเสียงของอาจารย์กู้เข้มขึ้นหลายส่วน "เ้าพูดว่าคบหากันฉันชู้สาวหรือไม่?"
ฉินอิ๋งกัดริมฝีปาก ตอบเสียงเบา "แต่เดิมทีความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พิเศษมาก พวกเขา..."
"แล้วอย่างไรเล่า!" อาจารย์กู้ย้อนถาม "เ้าเห็นแล้วหรือ?
"หืม?"
"เ้าเห็นกับตาว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว?" อาจารย์กู้จ้องฉินอิ๋งเขม็ง
ฉินอิ๋งอับจนวาจาไปชั่วขณะ
อาจารย์กู้ทำหน้าเคร่งขรึม "ฉินอิ๋งปากพล่อยเอ่ยวาจาให้ร้ายผู้อื่น เื่นี้ข้าจะแจ้งให้บิดามารดาเ้ารับรู้ ตอนนี้ไปยืนสำนึกผิดที่หน้าประตู ส่วนความประพฤติเสื่อมเสียครานี้ ข้าจะพิจารณาอีกทีว่าเ้ายังมีคุณสมบัติที่จะศึกษาต่อในสำนักศึกษาหรือไม่ ออกไปเสีย"
ฉินอิ๋งเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่นึกว่าจะได้รับผลเช่นนี้
อาจารย์กู้หันไปมองเฉียวเยว่ "เ้าก็ทำไม่ถูก ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร การตบคนก็หาใช่สิ่งที่ถูกต้อง เ้าไปยืนสำนึกผิดหลังห้องหนึ่งวัน และกวาดลานสวนเป็เวลาหนึ่งเดือน เ้ายอมรับหรือไม่"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าตบผู้อื่นเป็ความผิด สมควรได้รับโทษเ้าค่ะ"
หลังจากนั้นก็ไปยืนด้านหลังสุดอย่างอาจหาญ
ท่านหญิงฉางเล่อเห็นทุกคนล้วนเป็เช่นนี้ก็หัวเราะอย่างมีความสุข ได้เห็นพวกนางถูกลงโทษ สะใจเป็บ้า!
อาจารย์กู้หันมามองนาง "สหายร่วมชั้นถูกลงโทษ เ้ากลับเบิกบานเพียงนี้? การมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นหาใช่สิ่งที่สหายร่วมชั้นพึงมี ไปยืนสำนึกผิดหลังห้องสองคาบเรียน"
ท่านหญิงฉางเล่อ : ทะ... ทำไมคนเคราะห์ร้ายต้องเป็ข้าทุกที!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้