เปลวไฟโหมแรงลามลุกไปทั้งท้องทุ่ง สือชียืนอยู่ข้างเปลวไฟ มองเปลวเพลิงนั้นลุกโหมเผาผลาญอย่างบ้าคลั่ง
เปลวเพลิงแผดเผาวัดที่เขาเติบโตมาจนมอดไหม้ เผาผลาญรังนอนของเ้านกหน้ามนุษย์จนวอดวาย เผาผลาญทุ่งหญ้าจนเหี้ยนเตียน แผดเผาแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ปะทุเดือด
ยามที่มันกำลังแผดเผาทุ่งหญ้า ทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ล้วนแต่โดนเผาจนเหลือเพียงอัฐิ ทว่าใบหน้านั้นก็ยังคงหันมามองตน
เขารู้ว่าตนเองคงจะแค่ฝันไป เพราะยามนี้เขานั้นอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นจิง ในวัดเทียนเหรินข้างวังหลวง
ท่านอาจารย์อาพาเขาเดินทางมากับตน เขาได้เห็นทิวทัศน์ ได้พบผู้คนมากหน้าหลายตา แล้วสุดท้ายจึงมาหยุดลงที่วัดแห่งนี้
วัดเทียนเหรินนั้นใหญ่โตนัก
เขาไม่จำเป็ต้องคอยกวาดหิมะทุกวัน ไม่จำเป็ต้องให้อาหารเ้านกหน้ามนุษย์ ทั้งยังสามารถตั้งใจจำพระสูตรเรียนพระธรรมได้
ทว่าเขาไม่ชอบเรียนพระธรรม เขาชอบฟังเสียงศิษย์ในสำนักเชินยามอ่านตำรามากกว่า
เสียงอ่านตำราดังฟังชัดเ่าั้ ไพเราะยิ่งกว่าเสียงระฆังในวัดเสียอีก
สือชีรู้ดีว่าตนกำลังฝันอยู่ ทว่าแม้จะเป็เพียงความฝัน เขาก็ยังไม่อาจควบคุมหยดน้ำตาของตนให้หยุดไหลได้
เขาร่ำร้องอย่างเ็ปใจ เพราะภาพในความฝันเหมือนจริงเหลือเกิน
เขาััได้ถึงความร้อนที่กำลังแผดเผาราวกับตนนั้นอยู่ในกองไฟ เปลวไฟร้อนแรงจนร่างกายเขารวดร้าว มองเนื้อหนังบนใบหน้าของท่านอาจารย์อาค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมเปลวเพลิง เหลือเพียงเถ้ากระดูกสีดำไว้กองหนึ่ง
เขาพลันคิดถึงเด็กสาวคนนั้น เด็กสาวที่มีนามว่าเฉินโย่ว พวกเขานั้นมีความลับที่สัญญากันไว้ว่าใครก็ห้ามพูดออกมา กระทั่งท่านอาจารย์ก็ห้ามบอก
เด็กหญิงคนนั้นที่ร่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ยังลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาถามนางว่าเจ็บหรือไม่ นางกลับส่ายหน้าแล้วกล่าวว่าไม่เจ็บ
เขาว่าน่าจะเจ็บมากกระมัง มิเช่นนั้นท่านอาจารย์อาของเขาจะมีสีหน้าเ็ปถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ทั้งที่ท่านอาจารย์อายามอยู่บนเขาก็ฝึกวิชาหนังเหนียวอยู่ตลอด กระทั่งใช้ไม้ทุบลงไปบนศีรษะท่านอาจารย์อา ท่านอาจารย์อาก็ยังไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ
ทว่ายามอยู่กลางเปลวเพลิง ท่านอาจารย์อากลับร้องโหยหวนอย่างน่าหวาดกลัว
กระทั่งปรากฏแววขุ่นเคืองในดวงตา สือชีก็รู้สึกว่าความขุ่นเคืองนั้นเป็เพราะเขา
เมื่อคิดถึงเด็กหญิงคนนั้นก็เห็นว่านางกำลังยืนอยู่กลางทุ่งหญ้า
เปลวเพลิงที่ลุกโหมขึ้นมา กำลังโลมเลียครอบกายเด็กหญิงตรงหน้าเขาเอาไว้ จนสือชีต้องร้องลั่นออกมา “อย่า อย่า.....”
เขาพลันตื่นขึ้นจากนิทรา
เหงื่อผุดพรายจนศีรษะเปียกชุ่ม ใบหน้าก็ขาวซีดไร้สีเื
แล้วเขาก็เห็นว่าท่านอาจารย์กับศิษย์พี่กำลังนั่งสวดมนตร์อยู่ตรงหน้าตน
“ท่านอาจารย์ ข้าฝันว่าท่านอาจารย์อากับคนอื่นๆ...”
“เ้าเด็กโง่ มันเป็แค่ความฝัน ไม่ต้องเล่ามันออกมา ต่อไปก็อย่ากล่าวถึงมันอีก” ท่านอาจารย์ร่างผอมแห้งราวกับต้นหญ้าในทุ่งหญ้าที่ถูกแผดเผา มีเพียงหนังที่ยังคงยึดติดกับกระดูกเท่านั้น
ศิษย์พี่ก็ยังคงเคร่งขรึมเงียบงันไม่กล่าวอันใด ไม่เหมือนวันก่อนที่มักจะหยอกเย้าเขาเล่น
สิ่งที่เขาฝันนั้นเป็ความจริง
เขารู้ว่าตนนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ
เขาหยิบกระจกออกมา กระจกบานนี้คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้รับมอบเป็รางวัลครั้งที่ไปเข้าเฝ้าฝ่าาในวังหลวง
กระจกใสจนเห็นใบหน้าได้ชัดเจน
ว่ากันว่าเป็องค์หญิงที่คิดค้นมันขึ้นมา บนโลกนี้มีอยู่เพียงไม่กี่บาน
เมื่อกลับมาแล้ว ท่านอาจารย์ก็ยกมันให้เขา ให้เขานั้นตั้งใจสังเกตตาซ้ายของตนให้ดี
เขาจึงเพิ่งรู้ว่าเหตุใด ท่านอาจารย์จึงมักจะให้เขาสวมผ้าปิดตาไว้
เพราะตาซ้ายของเขานั้นมีตาดำถึงสองดวงทับซ้อนกันอยู่
บัดนี้ยามเขาส่องกระจก ตาดำในกระจกนั้นกลับมีดวงหนึ่งเป็สีแดง ส่วนอีกดวงเป็สีดำ สีดำและสีแดงรวมกันเป็หนึ่ง
เขาเห็นเช่นนั้นก็ใเสียจนแทบจะโยนกระจกในมือตนทิ้ง
ในมือเขายังคงถือลูกปัดเม็ดสีฟ้านั้นไว้ ยามนี้ท่านอาจารย์ยังคงโดนหลอกเื่เชือกเส้นนั้น เชือกที่เขาห้อยคอไว้
ในตอนนั้นครั้งแรกที่ท่านอาจารย์เห็นว่าจี้หยกที่เคยมอบให้เขาหายไป ก็โกรธเกรี้ยวนัก
ทว่าเมื่อเห็นว่าเขาแลกมันกับลูกปัดสีฟ้าของเฉินโย่ว ท่านอาจารย์ก็นิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ยามเขาถือลูกปัดนั้นไว้ก็รู้สึกว่าในใจตนนั้นค่อยๆ สงบลง ลูกตาสีแดงก็ค่อยๆ กลับคืนสีดำ เพียงแต่เขานั้นไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้
“ท่านอาจารย์ พวกเรากลับไปูเาศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ท่านอาจารย์อาจะมารับพวกเราหรือไม่ หรือเขาจะเกิดเื่ ข้ามองเห็นเขา”
ภิกษุชราหลับตาลง แล้วจึงยื่นมือมาลูบศีรษะล้านเลี่ยนของเณรน้อยเบาๆ
ตาทั้งสองที่หลับอยู่มีหยดน้ำใสๆ ไหลริน เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
.....
เณรน้อยตื่นแล้ว ฟ้าสว่างแล้ว ประตูเมืองก็เปิดแล้ว
ทุกวันของเมืองหลวงแคว้นเชินที่แสนจะมั่งคั่งมีคนเข้าออกอยู่ไม่ขาดสาย ชวนให้ผู้เห็นความรุ่งโรจน์อย่างสูงสุดของแคว้นอยู่ไม่ไกล
คนที่ต่อแถวรอเข้าเมืองนั้นมีมากมายนัก กระทั่งยามเช้าตรู่ที่ประตูเมืองเพิ่งจะเปิด แถวของผู้คนที่รอเข้าเมืองก็ยาวเหยียดจนมองไม่เห็นปลายแถวแล้ว
แคว้นเชินมีสำนักเชินที่เลื่องลือไปทั้งใต้หล้า
ปัจจุบันมีสามแคว้นหลัก ได้แก่แคว้นเชิน แคว้นซี และแคว้นจิง นอกจากแคว้นใหญ่นี้แล้ว ยังมีแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลอีกจำนวนหนึ่ง
หนึ่งในสามแคว้นใหญ่แคว้นเชินคือแคว้นแห่งพิธีการ ทั้งยังถูกขนานนามว่าเป็แคว้นอันดับหนึ่งที่ทั้งเปิดกว้างต้อนรับคนจากภายนอกเป็อย่างดี กระทั่งความรู้ต่างๆ ก็ล้วนแต่เปิดเผย ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว พวกเขาไม่เคยเก็บงำความรู้ของตนไว้เพียงผู้เดียว
คนจากแคว้นอื่นที่ได้มาเยือนแคว้นเชินล้วนแต่ชื่นชมแคว้นเชินไม่ขาด ทว่าเื้ัอาจจะลอบนินทาลับหลังว่าแคว้นเชินโง่งมหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ แต่เบื้องหน้านั้นเหล่าแคว้นน้อยใหญ่ล้วนแต่ออกปากชมรูปแบบของแคว้นเชิน
อาหลานตระกูลหยินที่รู้เื่การบุกมาของกองทัพจิงก่อนใครนั้น บัดนี้กำลังต่อแถวอยู่เช่นกัน
พวกเขาหลบหนีจากทุ่งหญ้ารกร้างมานานแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ตรงมาเมืองหลวงของแคว้นเชินทันที ด้วยเพราะพวกเขานั้นมีภารกิจที่ต้องทำ จึงได้เผื่อเวลาสำหรับการพักเดินทางเอาไว้แล้ว แต่เพราะด้านหลังมีกองทัพจิงอยู่ เวลาสำหรับการหยุดพักจึงไม่นับว่านานนัก เพียงพอแค่ให้มาถึงเมืองหลวงแคว้นเชินเท่านั้น
เพียงแต่ยามนี้บรรยากาศในรถม้าไม่ค่อยจะดีนัก
หยินสงไม่ได้สวมชุดผ้าไหมหูเตี๋ยอีก ด้วยจำเป็ต้องส่งมันกลับแคว้นซีเท่านั้น เพราะมีแต่ตระกูลหยินของเขาที่สามารถซ่อมแซมมันได้
วันนี้เขาเปลี่ยนมาสวมชุดยาวสีน้ำเงินน้ำทะเลที่น่ามองไม่แพ้กันแทน
ผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงิน ชุดยาวสีน้ำทะเล เรือนผมยาว คิ้วงาม หากว่าบนหลังแบกตำราไว้สักตั้งหนึ่ง เขาย่อมต้องดูเหมือนบัณฑิตที่ออกท่องไปทั่วใต้หล้าเพื่อหาความรู้ที่รูปงามที่สุดเป็แน่
ส่วนหยินสงนั้นวันนี้สวมชุดสีขาวตลอดร่าง ทั้งยังยับยู่ยี่ไปทั้งตัว กระทั่งผ้าคาดเอวก็ยังไม่มัดให้เรียบร้อย
เด็กชายกำลังทำากับท่านอาของตน ที่เขาทำตนเองให้มีสภาพเช่นนี้ก็เพื่อจะแสดงออกว่าตนกำลังไม่พอใจอยู่
ตลอดการเดินทางเด็กชายก็พยายามลอบหนีกลับไปที่ทุ่งหญ้ารกร้างตั้งหลายครั้ง กล่าวว่าตนนั้นจะไปใช้หนี้พนัน ช่างรนหาที่ตายจริงๆ
การค้าของตระกูลเขาถือเป็อันดับหนึ่งในใต้หล้า ข่าวสารต่างๆ ที่ส่งมาย่อมจะต้องรวดเร็วกว่าใคร
หยินหัวเองก็ไม่อาจลงมือตีเ้าหลานชายได้ จึงได้แต่จับตามองเ้าเด็กนี่ไว้ตลอดทาง หวังว่าไปถึงเมืองหลวงแคว้นเชินแล้วก็คงจะดีขึ้น
“อาจะพาเ้าไปเจอองค์หญิงน้อยของแคว้นเชิน นางอายุน้อยกว่าเ้าเพียงเล็กน้อย ทว่าท่าทางดูราวชาว์ ข้าขอรับรองหากเ้าได้เจอนางแล้วจะต้องลืมเด็กหญิงบนหลังม้านางนั้นได้แน่” หยินหัวกล่าวโน้มน้าวหลานชายตนอย่างขมขื่น
ตลอดทางมานี้สตรีที่หมายปองก็ไม่ได้เจอสักนาง ทั้งยังต้องมาเป็พี่เลี้ยงเด็ก ครั้งหน้าหากว่าเขายังจะพาเด็กมาอีก ก็มาเรียกเขาว่าสุนัขได้เลย!
“ข้าไม่อยากเจอองค์หญิงอะไรนั่น ท่านอยากเจอก็เจอไปคนเดียว ข้ารู้แค่เพียงว่าลูกผู้ชายต้องพูดคำไหนคำนั้น กล่าวออกมาแล้วก็ต้องทำให้ได้ หากเจอปัญหาแล้วเอาแต่หนีเช่นนี้จะเป็วีรบุรุษได้อย่างไร!” เด็กชายยังคงนั่งอยู่บนตั่งของตนอย่างเกรี้ยวกราด สะบัดหน้าหนีท่านอารองของตน มองออกไปนอกหน้าต่าง
“เ้าขวัญอ่อน ช่วยอันใดก็ไม่ได้ หากยังอยู่ที่นั่นก็รั้นแต่จะเพิ่มภาระให้พวกเขา เช่นนั้นเ้าจะทำอันใดได้เล่า เ้าไม่เห็นหรือว่าเมืองหลวงแห่งนี้งดงามตระการตาเพียงใด ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนจะเกิดเื่ใหญ่ขึ้น ไม่แน่ว่าเ้าอาจจะเอาแต่หลับหูหลับตากังวลใจไปอย่างเปล่าประโยชน์ อีกเดี๋ยวเมื่อถึงเวลาข้าจะเป็คนพาเ้าไปพบผู้มีพระคุณเอง” แม้หยินหัวจะโกรธหลานชายนัก แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะโน้มน้าวสักหน่อย
หยินสงยังคงนิ่วหน้า เขายังคงไม่เบิกบานใจ ทว่าก็ไม่ได้โต้แย้งคำของท่านอาตน
บ้านเมืองที่เขาเห็นนอกหน้าต่างนั้นช่างเจริญรุ่งเรืองจริงๆ ประตูเมืองสูงตระหง่าน ผู้คนร้องรำอย่างสำราญใจ
ทันใดนั้นก็มีม้าตัวหนึ่งห้อตะบึงเข้ามา จนคนในแถวพากันหลบไปคนละทิศคนละทาง
เหล่าทหารบนกำแพงเมืองก็พลันลนลานควานหาธนู
ทว่ากลับเห็นว่าบนหลังม้านั้นยังมีคนนอนซบอยู่ บนร่างสวมชุดขุนนางแคว้นเชิน หมวกขุนนางบนศีรษะห้อยอยู่ มันขยับไหวตามจังหวะของม้าที่ควบมา
ประตูเมืองพลันเปิดออก ต้อนรับให้เขาเข้าเมือง
คนบนหลังม้าพยายามยันกายให้ลุกขึ้น ขาของเขาเหวอะหวะไปด้วยแผล แม้แต่ร่างก็ยังต้องผูกติดไว้กับม้า ชุดขุนนางนั้นก็ขาดไปหมดแล้ว
ทว่าบัดนี้ชาวแคว้นเชินที่ให้ความสำคัญกับเื่รูปลักษณ์ที่สุด กลับไม่มีใครนึกขันคนตรงหน้าขึ้นมา
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “กองทัพจิงบุกแล้ว ราษฎรถูกฆ่าตาย ทหารชายแดนก็ตายกันหมด ราชสำนักไม่ยอมส่งกองทัพมาสนับสนุนสักนาย ข้าเฉินเจี๋ยอวี๋ ไม่ขอรับหมวกขุนนางจากราชสำนักนี้ไว้ เพียงแต่ขอถามสักเถิดว่าเพราะเหตุใด...เพราะเหตุใด...เพราะเหตุใดเล่า”
ชายชราราวกับเสียสติไปแล้ว บัดนี้จึงได้กรีดร้องอยู่หน้าประตูเมือง
เสียงพิณฟังสบายที่แว่วมาพลันหยุดลง
เหล่าพ่อค้าที่ร้องเรียกคนให้เข้าร้านก็เงียบเสียงลงเช่นกัน
