อาหารเย็นขององค์หญิงเชียนเชียนมิฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ปรุงขึ้นอย่างประณีตละเอียดอ่อนยิ่งนัก เป็ครั้งแรกที่จ้านอู๋มิ่งได้ลิ้มรสเนื้อปลาสัตว์อสูรพันธุ์พิเศษมากมายหลายชนิดในมหาสมุทรวันสิ้นโลก รสชาติสดอร่อย ล้ำเลิศสุดเปรียบปาน อดีตที่ผ่านมา ในระหว่างงานเลี้ยงอัจฉริยะทุกคนล้วนสนทนาปราศรัยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตลอดเวลาอย่างกว้างขวาง ต่าง้าแสดงออกถึงศักยภาพต่อหน้าองค์หญิงเชียนเชียนให้มากๆ วันนี้ั้แ่ทุกคนทราบว่าวันเวลาขององค์หญิงเชียนเชียนเหลือไม่มากแล้ว บรรยากาศตลอดทั้งงานเลี้ยงกลายเป็หมองหม่นหนักอึ้งยิ่งนัก
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกพึงพอใจฝีมือการจัดงานเลี้ยงขององค์หญิงเชียนเชียนยิ่งนัก ด้วยความรู้และความสามารถอันสูงส่งขององค์หญิงเชียนเชียน แม้ต้องโต้วาทีกับเหล่าบรรดาอัจฉริยะก็ไม่ตกเป็รองแต่อย่างใด ความรอบรู้ที่ครอบคลุมกว้างขวาง ทำให้กระทั่งจ้านอู๋มิ่งเองยังต้องทอดถอนใจ รู้สึกว่าน่าทึ่ง ครั้งนี้บรรดาคนเก่งที่มาจากแต่ละสำนักมิได้มีเพียงแค่อัจฉริยะผู้ฝึกฌานนักบ่มเพาะเท่านั้น ยังกอปรด้วยบรรดาศิษย์จากสำนักหลอมโอสถและเหล่าอัจฉริยะทางวิชาค่ายกล การสนทนาถกปัญหาเื่การหลอมโอสถ และรูปแบบป้องกันของค่ายกลของหลายคนทำให้จ้านอู๋มิ่งก็รู้สึกมีส่วนในการเปิดโลกทัศน์มากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งสนใจมากที่สุดก็คือบทสรุปที่ระบุในตอนท้ายเกี่ยวกับม้วนตำราโบราณที่ขาดความสมบูรณ์ การแสดงความคิดเห็นของทุกคนต่อม้วนตำราโบราณที่บกพร่อง มีเื่ถกเถียงกันมากมาย ทำให้ผู้คนจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดโดยมิรู้ตัว
ณ งานเลี้ยงมื้อเย็น คนอื่นๆ ้าดึงดูดความสนใจขององค์หญิงเชียนเชียนด้วยการพูดจาให้มากขึ้น แต่จ้านอู๋มิ่งไม่จำเป็ต้องทำเช่นนั้น เนื่องเพราะเขามีนัดกับองค์หญิงเชียนเชียนหลังงานเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว
ดังนั้น จ้านอู๋มิ่งจึงเพลิดเพลินกับการโต้วาทีของบรรดาคนเก่งจากแต่ละสำนักนิกายใหญ่อย่างเรื่อยๆ สบายๆ มีข้อคิดและการหยั่งรู้เพิ่มขึ้นในใจมิน้อย
สำนักนิกายหลักๆ ทั้งหมดยกเว้นคนของตระกูลหนานกงและสำนักกระบี่ิญญา คนอื่นไม่มีความขัดแย้งกับจ้านอู๋มิ่ง หลังจากฟังจ้านอู๋มิ่งวิเคราะห์ดวงชะตาให้องค์หญิงเชียนเชียนแล้ว ล้วน้ารักษาความสัมพันธ์อันดีกับจ้านอู๋มิ่ง จึงค่อนข้างให้ความเกรงอกเกรงใจ
คนของสำนักกระบี่ิญญาและคนของตระกูลหนานกงดูเหมือนจะมีแผนการตอบโต้ที่มั่นเหมาะแล้ว ไม่ได้สร้างปัญหาขึ้นในงานเลี้ยง การตัดสินใจเช่นนี้ จ้านอู๋มิ่งไม่รู้สึกแปลกใจแต่ประการใด พูดอย่างทั่วไปแล้ว มีเพียงเวลาที่พวกนั้นคิดว่าอีกฝ่ายเป็คนตายแล้วเท่านั้น จึงจะไม่เอาเื่กับอีกฝ่าย การเดินทางสู่น่านน้ำมหาสมุทรวันสิ้นโลกครั้งนี้ จ้านอู๋มิ่งจะต้องไปอย่างแน่นอน และพวกมันจะต้องระดมสรรพกำลังทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อสังหารให้ได้
ในมหาสมุทรวันสิ้นโลก ไม่ว่าจะเป็คนที่ฝีมือสูงส่งร้ายกาจเพียงใด ก็จะถูกสะกดข่มลดทอนลงอยู่ในระดับราชันาขั้นต้นเท่านั้น แต่ว่าในระดับราชันาขั้นต้นเช่นเดียวกัน หากเพียบพร้อมการหยั่งรู้ของจักรพรรดิา ความเชี่ยวชาญพลิกแพลงการใช้ทักษะการต่อสู้แบบเดียวกัน จักรพรรดิาย่อมต้องเหนือกว่า ถ้าตัวประหลาดเฒ่าเ่าั้เข้าไปในสถานที่พำนักขนาดใหญ่ ต่อให้ฐานการบ่มเพาะถูกสะกดข่ม ลดทอนลงอยู่ในระดับราชันาขั้นต้น พลังที่พวกเขาใช้ก็ประเสริฐกว่าราชันาขั้นต้นทั่วไปมากนัก
จ้านอู๋มิ่งยิ่งแสดงออกถึงความร้ายกาจมากขึ้นเพียงไร ความตั้งใจฆ่าเขาของสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เวลานี้การแสดงออกของสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงสงบยิ่ง การเดินทางไปน่านน้ำมหาสมุทรวันสิ้นโลกของจ้านอู๋มิ่งก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น แต่ว่าจ้านอู๋มิ่งมิแยแสสนใจ ขอเพียงฐานการบ่มเพาะระดับขอบเขตราชันาขั้นต้นด้วยกัน เขาเชื่อมั่นว่าตนเองไร้ผู้เทียมทานในระดับขอบเขตเดียวกัน ส่วนเื่การวางแผนลอบใช้ลูกไม้หรือกับดักหลุมพราง พี่ชายเป็บรรพบุรุษทางด้านนี้อยู่แล้ว
……
ศาลาริมน้ำหวนซือ ห้องหนังสือขององค์หญิงเชียนเชียน จ้านอู๋มิ่งชมดูจนพูดไม่ออกอย่างยิ่ง ห้องหนังสือนี้เทียบได้กับหอหนังสือของสำนักบริบาลเดรัจฉานเลยทีเดียว หนังสือทุกประเภทและตำราทุกชนิดวางอยู่ในชั้นวางหนังสือแต่ละชั้นจนเต็ม ก่อนหน้านี้หนังสือเก่าไม่สมบูรณ์นับพันที่เขาเห็นในห้องโถงรับแขก ล้วนเปิดออกอ่านพร้อมกับสหาย หนังสือในศาลาริมน้ำหวนซือมีจำนวนนับหมื่น จะเห็นได้ว่าความรักและโปรดปรานของเ้าเมืองวันสิ้นโลกที่มีต่อองค์หญิงเชียนเชียนนั้นมากมายล้นพ้นจริงๆ นี่ก็คือนำหอเก็บตำราของเมืองวันสิ้นโลกให้เป็ห้องหนังสือสำหรับองค์หญิงเชียนเชียนไปแล้ว?
“ศาลาริมน้ำหวนซือนี้ นี่เป็ครั้งแรกที่เชียนเชียนพาคนนอกเข้ามา” เชียนเชียนยิ้มเรียบๆ คราหนึ่ง จิตใจกว้างขวางอย่างยิ่ง ไม่สนใจว่าจ้านอู๋มิ่งจะเปิดตำราหนังสือลับในห้องหนังสือออกมาอ่านหรือไม่
“ทำให้ข้ารู้สึกปลาบปลื้มใจจริงๆ” จ้านอู๋มิ่งกลับไม่ได้ตื่นเต้นประหลาดใจแต่อย่างใด สถานที่ประเภทนี้ตั้งอยู่ในสำนัก ล้วนเป็เขตหวงห้ามของสำนัก ไหนเลยจะพาคนนอกเข้ามาอย่างสะดวกง่ายดาย องค์หญิงเชียนเชียนนำตนเข้ามาสถานที่นี้ กลับทำให้เขารู้สึกนอกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง กล่าวถึงที่สุดตำรับตำราชุดใดของที่นี่ล้วนอาจเป็สมบัติล้ำค่าหรือตำราลับของเมืองวันสิ้นโลกก็ได้
“ตำราในที่นี้เชียนเชียนล้วนอ่านมาแล้วทั้งสิ้น” ได้ยินคำพูดขององค์หญิงเชียนเชียน จ้านอู๋มิ่งถึงกับตาค้างมึนงง เกรงว่าจำนวนหนังสือในที่นี้จะไม่ต่ำกว่าแสนเล่มเลยทีเดียว กลับล้วนเคยอ่านผ่านตาแล้วทั้งสิ้น องค์หญิงเชียนเชียนผู้นี้ระดับเทพแล้วจริงๆ แต่ว่าเขาก็สามารถเข้าใจได้ ไฉนองค์หญิงเชียนเชียนไม่สามารถฝึกฝนพลังจิติญญาการต่อสู้ได้ แต่สามารถเข้าใจทักษะการต่อสู้ของแต่ละตระกูลและสำนักนิกายดุจกำลังแจกแจงนับสมบัติภายในบ้าน สามารถชี้ข้อบกพร่องในการฝึกฝนบ่มเพาะของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย และการเขียนข้อสรุปเกี่ยวกับตำราโบราณไม่สมบูรณ์เ่าั้อย่างมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนผู้ใด
“อู๋มิ่งยอมรับนับถือแล้วจริงๆ ั้แ่เด็ก อู๋มิ่งเอาแต่ซุกซนเล่นสนุก อยู่บ้านไม่เคยตั้งอกตั้งใจเล่าเรียนเขียนอ่านหนังสือ วันๆ ทำแต่เื่ไร้สาระ เปรียบเทียบกับองค์หญิงขึ้นมาแล้ว เป็คนหยาบกร้านไร้การศึกษาจริงๆ หากว่าให้ข้าอ่านหนังสือตำรามากมายเพียงนี้จริงๆ คาดว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน หนังสือเหล่านี้ก็จะถูกอัคคีภัยแผดเผาวอดวาย สูญหายไปจนหมดสิ้นแล้ว” จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้าฝืนหัวเราะอย่างอับจนปัญญา
องค์หญิงเชียนเชียนหัวเราะแล้ว จ้านอู๋มิ่งกลับเปิดเผยยิ่งนัก นางกล่าวเรียบๆ ว่า “เชียนเชียนร่างกายอ่อนแอั้แ่เล็ก แต่ดีตรงที่ขยันหมั่นเพียร นิสัยรักการอ่านอย่างกว้างขวางและชอบขวนขวายหาความรู้ สิ่งที่อ่านผ่านตาไม่ลืมเลือน ดังนั้น ถึงแม้ั้แ่ยังเด็กจะฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ไม่ได้ ความสนใจกลับมุ่งไปที่การอ่านหนังสือตำราทุกเล่ม เชียนเชียนมุ่งมั่นค้นหาวิธีการรักษาสุขภาพร่างกายของเชียนเชียนตลอดมา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็ตำราลับทักษะการต่อสู้หรือว่าความรู้ด้านการหลอมเม็ดโอสถ มรรคาความรู้ความชำนาญทางการรักษาผู้เจ็บป่วย การสร้างเครื่องมือเครื่องทุ่นแรง หรือเป็วิถีแห่งการก่อตั้งจัดสร้างค่ายกล ตลอดจนค้นคว้าเศษชิ้นส่วนตำราและม้วนคัมภีร์โบราณทุกชนิดถ้วนทั่วทั้งแผ่นดิน ยังคงไม่สามารถค้นพบวิธีการรักษา เชียนเชียนเคยได้ยินมาก่อนว่า ใต้หล้ามีศาสตร์คำนวณชะตาชีวิตอันลึกลับมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง สามารถย้อนทวนฝืนฟ้าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต แต่ว่าศาสตร์แห่งปรมาจารย์นักพยากรณ์ชีวิตลึกลับเกินคาดคิด ถึงแม้ท่านพ่อจะพยายามอย่างหนักจนเืตาแทบกระเด็น เฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญนักพยากรณ์ชีวิตหลายท่านให้เชียนเชียน แต่มิมีผู้ใดสามารถแก้ความทุกข์กังวลของเชียนเชียนได้ ตลอดจนมิกล้าระบุชี้ขาดอาการความเจ็บป่วยของเชียนเชียน มีบุคคลผู้เดียวที่บอกว่ามีวิธีการรักษา สามารถช่วยชีวิตคนก็เพียงท่านพี่จ้านเท่านั้นแล้ว”
จ้านอู๋มิ่งเกิดความรู้สึกทะนุถนอมสงสารขึ้นในใจ สามารถจินตนาการได้ถึงเด็กสาวผู้หนึ่งที่ั้แ่เล็กก็ทราบแล้วว่าตนเองป่วยเป็โรคภัยที่มิอาจรักษาให้หาย ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาวิธีการรักษาตนเองอย่างเงียบๆ ตลอดมา นี่ต้องใช้ความมุ่งมั่นมุมานะมากมายเพียงใด จึงจะสามารถเอาชนะความสิ้นหวังและความหวาดหวั่นต่อความตายสำเร็จ
“พี่จ้าน ท่านใช่ปรมาจารย์นักพยากรณ์ชีวิตหรือไม่?” เชียนเชียนสั่งให้สาวใช้ถอยออกไป รินชาสีเขียวหอมกรุ่นแตะจมูกถ้วยหนึ่งให้จ้านอู๋มิ่งด้วยตัวเอง ถามเสียงเรียบ
จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้าไปมา ยกน้ำชาขึ้นแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “คนที่รู้รสของชา มิแน่ว่าจะต้องเป็คนที่ปลูกชา ก็เหมือนเช่นเดียวกับเชียนเชียน ข้าก็เสาะแสวงหาโอกาสเปลี่ยนชะตาชีวิตตลอดมาเช่นเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงได้รู้สึกสนใจทักษะการพยากรณ์ชะตาชีวิต ที่โชคดีก็คือ ข้าได้รับมรดกตกทอดเคล็ดวิชามาโดยบังเอิญ แต่กลับไร้อาจารย์ ดังนั้นข้าเองก็มิทราบเช่นกันว่าตนเองใช่ปรมาจารย์นักพยากรณ์ชีวิตหรือไม่”
ดวงตาองค์หญิงเชียนเชียนฉายแววแปลกใจขึ้นวูบ ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “พี่จ้านก็เสาะแสวงหาวิธีการย้อนทวนฟ้า เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตลอดมาเช่นกันหรือ?”
“มิผิด เคยมียอดคนผู้หนึ่งวิเคราะห์ชะตาชีวิตข้าเป็ดวงชะตาดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาต เกิดมาเป็ดาวข่มบุคคลที่ใกล้ชิดทุกคน ชีวิตนี้ข้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายตามลำพังจวบจนสุดเส้นทางชีวิต และเสียชีวิตอย่างสิ้นหวัง…” จ้านอู๋มิ่งมิได้ปิดบังแต่อย่างใด กับบุคคลผู้นี้ซึ่งคล้ายกับหลินซีรั่วมากเช่นนี้และมีชะตาชีวิตที่คล้ายคลึงกัน เขาเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจของคนที่ป่วยด้วยโรคเดียวกันชนิดหนึ่ง
“ดวงชะตาดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาตเป็ชะตาชีวิตเช่นไร?” สีหน้าองค์หญิงเชียนเชียนเศร้าหมอง นางััรับรู้ถึงความขุ่นเคืองไม่ยินยอมที่เต็มเปี่ยมในจิตใจของจ้านอู๋มิ่ง บุคคลผู้นี้มีเื่ราวที่ไม่รวบรัดธรรมดา
“หากพูดให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น สามารถนำมาดูเป็จำนวนตัวเลขได้ และก็คือที่เรียกขานกันว่าจำนวนตัวเลขชีวิต ยามชีวิตถือกำเนิดมา สมควรเป็สิบ เรียกว่าดวงชะตาของชะตาชีวิตที่ไร้ข้อบกพร่อง จำนวนตัวเลขชีวิตจากหนึ่งแบ่งออกเป็สอง เรียกว่าธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตา ธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาหลอมรวมกลายเป็จิติญญาชีวิต มีคนที่กำเนิดมาธาตุแห่งชีวิตหก โชคชะตาสี่ มีคนที่กำเนิดมาธาตุแห่งชีวิตห้า โชคชะตาห้า ยังมีคนที่กำเนิดมาชะตาชีวิตแปลกประหลาด ธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาหนึ่ง สัดส่วนของธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาไม่เหมือนกัน วิถีแห่งชะตาชีวิตก็จะแตกต่างกัน ศักยภาพของจิติญญาชีวิตก็ไม่เหมือนกัน ตำนานเล่าขานธาตุแห่งชีวิตหนึ่ง โชคชะตาเก้า หรือบางทีธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาหนึ่ง เรียกว่าคนดวงชะตาเก้าชีวิต ธาตุแห่งชีวิตหนึ่ง โชคชะตาเก้า เป็วิถีโชคชะตาย้อนทวนฝืนฟ้า สรรพสิ่งอับโชคที่ประสบล้วนสามารถจากร้ายกลายเป็ดี เก้าเป็เก้าตาย ยากที่จะพรากจากชีวิตให้ดับสูญ ธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาหนึ่งก็เรียกว่าดวงชะตาเก้าชีวิตเช่นกัน แต่มันคือเก้าชีวิตเทียม…ดวงชะตาดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาตก็คือจำนวนตัวเลขชีวิตเป็เจ็ดโดยกำเนิด ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเช่นไร ธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาหลอมรวมมีเพียงเจ็ด เรียกว่าชะตาชีวิตที่บกพร่องพิกลพิการโดยกำเนิด เป็ผู้เกิดมาควบคู่กันกับภัยพิบัติโดยกำเนิด ดังนั้นคนในตระกูลข้าจึงตั้งชื่อข้าว่าอู๋มิ่ง[1] หมายความว่าไม่มีจำนวนตัวเลขชีวิตที่สมบูรณ์แบบ!” จ้านอู๋มิ่งคิดๆ แล้ว อธิบายความเข้าใจของตนออกมาจากเื่ยากด้วยวิธีที่สามารถเข้าใจง่ายๆ
เชียนเชียนจ้องมองจ้านอู๋มิ่งด้วยความใ ในดวงตานางแฝงความเศร้าสร้อย นางเชื่อมั่นในจำนวนตัวเลขชีวิตที่จ้านอู๋มิ่งกล่าวมาอย่างไร้ข้อกังขา และเห็นใจในชะตาชีวิตของจ้านอู๋มิ่งอย่างยิ่งเช่นกัน หลังจากคิดดูแล้วองค์หญิงเชียนเชียนก็ถามอีกครั้ง “หากจำนวนตัวเลขชีวิตโดยกำเนิดคือสิบ นั่นหมายถึงความสมบูรณ์แบบใช่หรือไม่?”
“มิใช่ จำนวนตัวเลขชีวิตโดยกำเนิดคือสิบ ถือว่าไม่บกพร่องเท่านั้น ้าให้ความสมบูรณ์ต้องฝึกฌานบำเพ็ญเพียรเสริมเติมเต็มหลังจากกำเนิด ผู้คนฝึกฌานบำเพ็ญเพียรก็เพื่อทำให้จำนวนตัวเลขชีวิตบรรลุความสมบูรณ์อย่างแท้จริง” จ้านอู๋มิ่งกล่าวอย่างเชื่อมั่น
“ถ้าเช่นนั้นจำนวนตัวเลขชีวิตที่มีความสมบูรณ์อย่างแท้จริงคือเท่าไร?”
“คู่สิบ!” จ้านอู๋มิ่งกล่าวอย่างเชื่อมั่น
เชียนเชียนประหลาดใจ ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจทักษะการพยากรณ์ชะตาชีวิต แต่นางก็ทราบว่ามันหมายความถึงสิ่งใด ธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาล้วนต้องบรรลุความสมบูรณ์ถึงสิบ เช่นนั้นแล้วจะ่ชิงกับฟ้าดินได้อย่างไร?
“แต่วิถีแห่ง์แรกกำเนิดก็หายไปหนึ่งแล้ว เรียกว่าไม่สมบูรณ์พร้อม แล้วจะเสาะแสวงหาความสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้เช่นไร?”
“วิถีแห่ง์แรกกำเนิดก็หายไปหนึ่งแล้ว เป็เช่นนี้จริงๆ ดังนั้นผู้คนในโลกิยะฝึกฌานบำเพ็ญเพียร ถึงแม้บรรลุขอบเขตตำแหน่งเทพเ้า เกรงว่าก็ยากที่จะบรรลุชะตาชีวิตคู่สิบ จำนวนตัวเลขชีวิตของสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งฟ้าดินก็คือเก้ากับเก้า หายไปหนึ่งตลอดกาล เช่นนี้จึงสามารถอยู่ภายใต้การควบคุมของวิถีแห่ง์ อยู่ในวัฏสงสารของฟ้าดิน หากผู้ใดสามารถแสวงหาเลขหนึ่งที่หายไปนั้นจนพบ จึงสามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เวลาที่ชะตาชีวิตบรรลุคู่สิบก็จะสามารถก้าวข้ามวิถีแห่ง์ได้ ปกครองฟ้าดิน แต่เสียดายที่ยังไม่เคยปรากฏบุคคลเช่นนี้มาก่อน นี่เป็เพียงการคาดการณ์ของข้าโดยพิจารณาจากจำนวนตัวเลขชีวิตเท่านั้น บางทีข้าอาจจะคาดเดาผิดก็ได้ แต่ในเมื่อ่ชิงชะตาชีวิตกับฟ้าแล้ว ได้เข้าสู้เส้นทางการฝึกฌานบำเพ็ญเพียรแล้ว เมื่อเป็เช่นนั้น พวกเราก็ต้องใช้ความสมบูรณ์แบบเป็เป้าหมาย ไฉนจะก้าวข้ามวิถีแห่ง์ไม่ได้เล่า?” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว คลื่นแห่งความทระนงระลอกหนึ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ไม่ว่าชาติภพที่แล้วหรือว่าชีวิตนี้ จุดมุ่งหมายสูงสุดของจ้านอู๋มิ่งล้วนเป็การก้าวข้ามวิถีแห่ง์ ปกครองควบคุมชะตาชีวิตตนเอง
องค์หญิงเชียนเชียนครุ่นคิดอยู่นาน ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง สายตาที่มองดูจ้านอู๋มิ่งคล้ายดั่งแตกต่างจากเดิม นางััได้ถึงสภาวะพลังชนิดนั้นที่แผ่ออกมาจากร่างของจ้านอู๋มิ่งได้อย่างลึกซึ้ง มุมานะและมุ่งหน้าแน่วแน่ไม่ท้อถอย อหังการเหนือฟ้าดิน องค์หญิงเชียนเชียนประหลาดใจยิ่งนัก ที่ความคิดของคนระดับสูงในการมองดูสรรพชีวิตเช่นนี้กลับปรากฏบนร่างชายหนุ่มที่มีอายุไม่ถึงยี่สิบปีผู้หนึ่ง สิ่งนี้ทำให้บนร่างจ้านอู๋มิ่งเพิ่มความรู้สึกอันลึกลับขึ้นมา ไม่แปลกที่จ้านอู๋มิ่งไร้ความวิตกกังวล แม้แต่การเผชิญหน้าสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหนานกงก็ยังกล้าลงมือสังหาร
“ได้ฟังคำพูดของพี่จ้าน เชียนเชียนรู้สึกเหมือนเบื้องหน้ามีหน้าต่างเปิดออกบานหนึ่ง ได้มองเห็นฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมผืนหนึ่ง ยิ่งได้ทราบพี่จ้านมีปณิธานความทะเยอทะยานของวีรบุรุษ ยิ่งมุ่งหวังว่าสักวันหนึ่ง เชียนเชียนจะสามารถได้เห็นพี่จ้านยืนผงาดอยู่บนจุดสูงสุดของชะตาชีวิต หลุดพ้นก้าวข้ามวิถีออกไป” องค์หญิงเชียนเชียนทอดถอนหายใจ มีความมุ่งมาดปรารถนาในใจเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าพอนึกถึงตนเองมีเวลาไม่มากแล้ว ในใจก็เกิดความเศร้าหมองขึ้นมา
จ้านอู๋มิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของเชียนเชียน พลันนึกถึงอารมณ์เศร้าหมองของหลินซีรั่วในอ้อมแขนของตนในวันนั้น รู้สึกปวดใจคราหนึ่ง หลุดปากพูดว่า “เ้าต้องได้เห็น ข้าจะต้องทำให้เ้าได้เห็นวันนั้นอย่างแน่นอน และจะย้อนทวนฝืนฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิตเ้าให้ได้อย่างแน่นอน มอบคืนชีวิตที่สมบูรณ์ให้เ้า!”
องค์หญิงเชียนเชียนจ้องมองจ้านอู๋มิ่งแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น ภายในดวงตาที่เดิมสดใสก็เกิดละอองหมอกขึ้น…
องค์หญิงเชียนเชียนเห็นความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่นในดวงตาของจ้านอู๋มิ่ง สายตาเช่นนี้ นางมิเคยเห็นในดวงตาของผู้อื่นมาก่อน แม้แต่บิดาของตนเอง สายตาที่มองตนก็ยังไม่มีความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้ สิ่งนี้ทำให้จิตใจนางได้ััถึงความอบอุ่นชนิดหนึ่ง ความเงียบสงบชนิดหนึ่ง
ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ร่างกายของตนก็ยิ่งอ่อนแอลง นางเข้าใจกระจ่าง ชีวิตกำลังโรยราผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เหมือนเช่นดั่งบุปผาที่ใกล้จะร่วงหล่นจากกิ่งก้าน กำลังจะมุ่งสู่เส้นทางการดับสูญ แม้ว่านางจะมีอายุเพียงแค่ยี่สิบปี นางเคยพยายามอย่างยิ่งยวด หาวิธีมาแล้วอย่างสุดชีวิต แต่ก็พบว่าความหวังช่างเลือนรางน้อยนิดเต็มที แม้แต่บิดาของตนที่เป็ถึงจอมทรราชแห่งแว่นแคว้นหนึ่ง ก็ยังรู้สึกว่าสิ้นหวังแล้ว
ดังนั้นนางจึงเริ่มเสพสุขกับชีวิต เพลิดเพลินไปกับความรู้ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตนเองเมื่อสื่อสารกับอัจฉริยะของโลกหล้า แต่จวบจนภายหลัง นางพบว่าผู้คนเ่าั้ที่เรียกกันว่าอัจฉริยะ ความรู้กลับตื้นเขินจนคาดมิถึง
จนกระทั่งนางได้เห็นความมั่นคงแน่วแน่ในสายตาจ้านอู๋มิ่ง พลันนางก็พบความหวังกลับมาทันใด นางเต็มใจเชื่อถือชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ที่ต่อสู้กับชะตาชีวิตตลอดมาเช่นเดียวกับนาง ถึงแม้จะไม่ทราบว่าความศรัทธาเชื่อมั่นของชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้มาจากที่ใด
“อ๊า!” ขณะที่องค์หญิงเชียนเชียนกำลังเหม่อลอย ทันใดก็พบว่าจ้านอู๋มิ่งคว้ามือสองข้างของนางมาจับแน่น นางอุทานเสียงเบาขึ้นคราหนึ่ง เพียงแค่ดิ้นรนเบาๆ ก็หลุดออกแล้ว มิใช่นางไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือทรงพลังทั้งคู่ของจ้านอู๋มิ่งแล้ว แต่พลันนางรู้สึกว่าไม่้าดิ้นรนแต่อย่างไร
[1] ไร้ชีวิต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้