วันนี้เมืองหยงโจวมีชีวิตชีวามากเพราะพิธีประชันสาวงามจัดขึ้นในคืนนี้
บรรดาลูกขุนนางตระกูลเศรษฐีแทบทุกคนล้วนมาร่วมงาน แน่นอนว่ายังมีผู้คนมากมายเดินทางมาเพื่อชื่นชมสาวงาม งานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่มีใครไม่ชมชอบ
แม้แต่ผู้ที่เป็เ้าของเหลาอาหารและโรงสุราก็ยังยิ้มแย้มเป็พิเศษ เพราะเป็วันสำคัญที่เกิดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น สุราเก่าเก็บจะขายได้ราคาดีหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับวันนี้
ใน่กลางวัน หอจุ้ยฮวนได้ติดป้ายเพื่อขอบคุณแขกและแจ้งผู้อุปถัมภ์ทุกท่านว่าตอนนี้ที่นั่งเต็มหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนมากมายที่เดินทางมายังด้านหน้าของหอจุ้ยฮวนเพื่อสังเกตการณ์หรือสอบถามเกี่ยวกับพิธีประชันสาวงาม จึงทำให้ถนนด้านหน้าคับคั่งไปด้วยผู้คนและรถม้า แน่นอนว่าสาวงามเป็สิ่งที่ทุกคนชื่นชอบ
ณ ศาลาฉีอวิ๋น
หงหลิงมองดูคุณหนูของนางที่นั่งตัวตรงแล้วกล่าวว่า “คุณหนู วันนี้อยากทำผมแบบไหนเ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อหลุบตาลง “วันนี้ไม่ต้องทำผม”
ไป๋จื่อที่กำลังบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยความงุนงงว่า “วันนี้เป็วันสำคัญ เหตุใดคุณหนูไม่อยากทำผมเล่าเ้าคะ? หญิงสาวเ่าั้ล้วนแต่งกายงดงาม คุณหนูจะน้อยหน้าพวกนางได้อย่างไร? เช่นนั้นให้หงหลิงทำผมแบบเรียบง่ายให้คุณหนูสักหน่อยดีหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้า “ปล่อยไว้แบบนี้เรียบง่ายที่สุดแล้ว ข้าชอบ”
สาวใช้สองคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามความปรารถนาของหญิงสาว
ท้ายที่สุดไป๋จื่อที่ฉลาดกว่าก็พูดติดตลกว่า “ดูเหมือนคุณหนูกำลังคิดถึงใครบางคน เป็คุณชายเย่ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อยิ้มเขินๆ “ข้าไม่ได้คิดถึงเขา”
ไป๋จื่อยิ้มและกล่าวว่า “คุณหนูบอกว่าไม่ได้คิดถึงคุณชายเย่ แต่ดูเหมือนข้าจะเห็นคำว่า ‘เย่’ เขียนอยู่บนใบหน้าของคุณหนูนะเ้าคะ”
อารมณ์ด้านลบทั้งหมดในใจของอวิ๋นจื่อถูกชะล้างออกไปจนหมดเพราะถูกสาวใช้หยอกล้อ นางหัวเราะและกล่าวว่า “พวกเ้านี่จริงๆ เลย! ข้าหิวแล้ว ไปเอาอาหารมาให้ข้าเร็วเข้า”
ไป๋จื่อจากไปอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นหงหลิงหัวเราะคิกคัก อวิ๋นจื่อก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อยจึงเอ็ดนางเบาๆ “เ้าหัวเราะอะไร?”
หงหลิงกล่าวว่า “คุณหนูช่างไร้เดียงสาและน่าเอ็นดูเสียจริง นายท่านเคยบอกว่าคนเราไม่สามารถซ่อนเร้นความรักที่มีต่อใครบางคนได้ แต่นี่มันชัดเจนเกินไปหรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อตบมือเล็กๆ ของหงหลิงและกล่าวว่า “เ้านี่จริงๆ เลย”
นายบ่าวหยอกล้อกันสักพักก็ทานอาหารเช้าอย่างมีความสุข อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าการนั่งรอเฉยๆ น่าเบื่อไม่น้อย นางจึงขอให้หงหลิงนำกู่ฉินมาให้
เมื่อปลายนิ้วัักับกู่ฉิน เสียงเพลงที่คุ้นเคยก็ไหลเอื่อยราวกับสายน้ำไหล
“เรือลำหนึ่งราวกับห้อยอยู่บนแคร่ แต่ลอยอยู่บนคลื่น เปิดม่านผ้าไหมสีเขียวปักรูปเป็ดน้ำยวนยาง เถาเย่จะข้ามน้ำ[1] ส่งแววตาเศร้าสร้อยไปกับสายลมใบไม้ผลิ จอดพักสักครู่หลังพิงมือพาย ถนนจินหลิงเจริญรุ่งเรืองเบื้องหน้า นับเวลาน้ำขึ้นลงเปรียบใจคนที่ยากหยั่งถึง หญ้าคาหอมหวานไม่อาจหวนกลับ ดวงอาทิตย์จะลาลับ จักขับเคลื่อนเรือไปทางใดให้ไกลที่สุด”
เสียงกู่ฉินเหมือนสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
อันที่จริงสภาพจิตใจแบบนี้ไม่เข้ากับวัยของนางเลย ซูเจินยืนอยู่บริเวณทางเดินด้านนอกและฟังอย่างเงียบๆ มันคือท่อนหนึ่งของเพลงซิงฮวาเทียน[2] เป็เพลงที่เศร้าและกินใจที่สุด
ท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวที่มีภูมิหลังครอบครัวที่โดดเด่นกลับไม่มีความสุขอย่างที่คิด!
จู่ๆ ซูเจินก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้วตัวเขาและองค์หญิงเหวินฮวามีบางอย่างเหมือนกัน
เขาตัดสินใจหันหลังและจากไป
หลังจากนั้นไม่นานสาวใช้ของหวังฉีอวิ๋นก็มาแจ้งให้สาวงามทุกคนไปพบนายหญิงที่ศาลาฉีอวิ๋น
อวิ๋นจื่อพยักหน้าเป็การตอบรับ
นับว่านานมากแล้วที่นางไม่ได้เจอหวังฉีอวิ๋น หากซูเจินไถ่ตัวนางออกไป อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าบางทีนางอาจกลับมาหาหวังฉีอวิ๋นที่หอจุ้ยฮวนแห่งนี้ไม่ได้อีกแล้ว
นับั้แ่ชิงเกอตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ หญิงสาวหลายคนเริ่มกลัวนาง และมองว่านางเป็คนที่ไม่ควรยั่วยุเช่นเดียวกับม่านอู่
อวิ๋นจื่อได้ยินเื่นี้แล้ว และนางก็พึงพอใจมาก
ศาลาฉีอวิ๋นในตอนเที่ยงเงียบสงบจนทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกไม่ดี เมื่อหญิงสาวหลายคนได้ยินว่าอวิ๋นจื่อกำลังมา พวกนางก็รีบอ้างว่ามีบางอย่างที่ต้องทำและจากไปทันที สุดท้ายก็เหลือเพียงสองคนคืออวิ๋นจื่อกับหวังฉีอวิ๋น
หวังฉีอวิ๋นแปลกใจมาก ในอดีตวันสำคัญเช่นนี้จะเต็มไปด้วยความคึกคักยกเว้นครั้งนี้ นางสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ป้าอวิ๋น ข้าอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว ข้ารบกวนท่านมากมายเหลือเกิน ขอบคุณป้าอวิ๋นที่ดูแลข้ามาตลอด”
นางเติบโตในวังั้แ่ยังเด็กและมักได้รับคำเยินยอจากผู้อื่นเสมอ แต่นางไม่เคยกล่าวขอบคุณเลย เมื่อได้มาอยู่ในหอจุ้ยฮวน นางยังคงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของผู้คนและความเ็าของโลกภายนอก ประโยคที่นางพูดเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ แต่เมื่อนางพูดออกมามันกลับฟังดูแข็งทื่อ
หวังฉีอวิ๋นเป็นายหญิงแห่งหอจุ้ยฮวนมาหลายปีแล้ว มีบุคคลสำคัญนับไม่ถ้วนที่เยินยอนางเพียงเพราะชื่นชอบสาวงามในปกครองของนาง และมีหญิงสาวนับไม่ถ้วนที่เยินยอนางเพียงเพราะเหรียญเงินในมือของนาง ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ยินคำพูดเ่าั้
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นจื่อนางกลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ตอนนางพบซูว่านหรูนางไม่คาดคิดว่าคนที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นจะให้กำเนิดบุตรีเช่นนี้ได้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกใเล็กน้อย
หวังฉีอวิ๋นสงบสติอารมณ์และกล่าวอย่างสุภาพ “เ้าพูดเื่อะไรกัน? ข้าเอ็นดูเ้าเหมือนลูกหลานคนหนึ่งของข้า คุณชายซูถามถึงเ้าทีไรทำเอาหัวใจข้าสั่นคลอนไปหมด”
หวังฉีอวิ๋นพูดเช่นนั้นเพราะนางกำลังกังวล นางแค่ไม่อยากให้อวิ๋นจื่อจากไปเร็วนัก
อย่างไรก็ตามอวิ๋นจื่อทั้งไร้เดียงสาและซื่อตรง นางเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าหวังฉีอวิ๋นไม่อยากให้นางจากไป ดังนั้นนางจึงกล่าวด้วยความเคารพว่า “ป้าอวิ๋นมีเมตตาต่อข้ายิ่ง ข้าขอขอบคุณท่านจากใจจริง ในวันข้างหน้าถ้าข้า้าพบป้าอวิ๋นข้าควรทำอย่างไรเ้าคะ?”
ใบหน้าของหวังฉีอวิ๋นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ไม่ง่ายเลยที่เ้ากับข้าจะได้พบกันอีก เอาเป็ว่าให้เ้ารับป้ายนี้ไป หากเ้ามาที่ศาลาฉีอวิ๋นย่อมไม่มีใครห้ามไม่ให้เ้าเข้ามา”
จากนั้นหวังฉีอวิ๋นและอวิ๋นจื่อก็ลงมือทานอาหาร ทั้งสองต่างถูกอบรมเื่มารยาทมาเป็อย่างดี จึงทานเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยพร่ำเพรื่อ และไม่มีการพูดถึงพิธีประชันสาวงามที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้
เมื่อทานเสร็จอวิ๋นจื่อก็กล่าวลาอย่างสุภาพ
จากนั้นหวังฉีอวิ๋นก็สั่งให้คนนำอาหารที่เหลือออกไปและกล่าวเบาๆ ว่า “คุณชายซูชอบสร้างปัญหาให้ข้าเสียจริง”
เมื่ออวิ๋นจื่อกลับมาที่ห้องก็รู้สึกกระสับกระส่าย นางจึงให้หงจินไปเตรียมอุปกรณ์คัดอักษร ดูแล้วเวลานี้น่าจะเหมาะแก่การฝึกคัดอักษร
ในที่สุดความมืดก็ค่อยๆ โรยตัวลงมา นี่เป็ค่ำคืนแห่งความคาดหวังของหลายคน
------------------------
[1] เถาเย่จะข้ามน้ำ ตามตำนานนี่คือบทกวีที่เขียนโดยหวังเซียนจื่อถึงนางสนมเถาเย่ในสมัยราชวงศ์จินตะวันออก ในเวลานั้นแม่น้ำชินหวยกว้างและกระแสน้ำไหลเร็ว ทุกครั้งที่เถาเย่ข้ามแม่น้ำและขึ้นเรือนางรู้สึกกลัวมาก หวังเซียนจื่อจึงเขียนบทกวีเพื่อปลอบโยนนาง
[2] ซิงฮวาเทียน เป็บทกวีสมัยราชวงศ์ซ่งของเจียงขุย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้