สิบนาทีต่อมา บนเวทีเหลืออยู่แค่สิบกว่าคน มีกัวไฮว่ หนานกงหลิงโม่ มู่หรงเวยเวย เฉียนตัวตัว โหยวโยวโยว ถังซี ซูเยี่ย หลี่กู่เ้าิ่และฉินเซวียน
“การสอบรอบที่สามง่ายมากๆ เลยค่ะ” พูดจบ พิธีกรก็ให้สตาฟเอาสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือ[1]มาวางไว้เบื้องหน้าของผู้เข้าแข่งขันที่อยู่บนเวทีทุกคน “ในเมื่อเป็การแข่งวิชาการ การสั่งสมความรู้ถือเป็ส่วนหนึ่งความสามารถพื้นฐานก็เป็อีกส่วนหนึ่งดังนั้นการทดสอบสุดท้ายในวันนี้ก็คือการเขียนพู่กัน พวกเราได้เชิญปรมาจารย์อวี้เฟิงอาจารย์เจิ้งคุ่นหลงและคุณหญิงหลินอวี้มาตัดสินการทดสอบรอบสุดท้ายให้กับพวกเราด้วยค่ะ”
เมื่อพิธีกรพูดจบด้านล่างเวทีก็พลันฮือฮาขึ้นมาหลายวันก่อนท่านปรมาจารย์มางานประมูล ก็ทำให้ผู้คนฮือฮาขึ้นไม่น้อยไม่คาดคิดว่าครั้งนี้โรงเรียนฟู่จงจะเชิญท่านปรมาจารย์มาร่วมตัดสินได้อีกส่วนเจิ้งคุ่นหลงก็เป็หนึ่งใน ‘หนานเซวียนเป่ยเจิ้ง’
หลินอวี้เป็ศิษย์ของปรมาจารย์อวี้เฟิง เป็นักธุรกิจในเมืองหลวงทว่าชื่อเสียงด้านการเขียนพู่กันกลับกระฉ่อนกว่าด้านธุรกิจเสียอีกคนจำนวนไม่น้อยเคยขอให้เขาช่วยเขียนพู่กันให้
“ให้ท่านปรมาจารย์มาตัดสิน สวินอวี้คงไม่กล้าเล่นใหญ่ขนาดนั้นหรอกมั้ง” เฉาสิงหลงมองทั้งสามคนที่อยู่บนเวทีแล้วพูดขึ้นด้วยความจนใจ
“เด็กผู้หญิงที่อยู่เป็เวทีนั่นเป็ศิษย์คนสุดท้ายที่ปรมาจารย์อวี้เฟิงเพิ่งรับมาใหม่กัวไฮว่นั่นหลายวันก่อนก็เคยไปที่บ้านของท่านปรมาจารย์พวกเราเคยกินข้าวกันด้วยล่ะ” ข่งอี้ฟู ไม่ผิด เขาคือข่งอี้ฟูศิษย์ของท่านปรมาจารย์
“น้องอี้ฟูด้วยศักยภาพการเขียนพู่กันของนายไปตัดสินก็เกินพอแล้ว” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ ข่งอี้ฟูพูดยิ้มๆ
“‘’ิลี่’ ใครจะหนีอักษรสองตัวนี้ไปได้ล่ะ” ข่งอี้ฟูส่ายศีรษะ “อาจารย์เคยบอกแล้วว่าไม่รับศิษย์แล้วแต่กลับมาเป็ผู้ตัดสินที่นี่พี่หลินอุตส่าห์ทิ้งธุรกิจตัวเองมาดู เหล่าเจิ้งก็น่าจะมาเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์”
“ครั้งนั้นอาจารย์ก็มาเป็ผู้ตัดสินเพราะจะอุ้มชูฉันไม่ใช่เหรอ อาจารย์ช่างจิตใจดีแท้ๆ” ข่งอี้ฟูพูดต่อ แต่แค่สองประโยคสั้นๆของข่งอี้ฟูกลับทำให้ปรมาจารย์เสื่อมเสีย
“อะไรนะบนเวทีมีศิษย์ของท่านปรมาจารย์เหรอกัวไฮว่นั่นก็มีความสัมพันธ์กับท่านปรมาจารย์อีก” ฝูงชนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา “กัวไฮว่นั่นใกล้จะได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อแข่งจริงแล้ว อิจฉาจริงๆ เลย”
“ไม่หรอกมั้งปรมาจารย์อวี้เฟิงจะมาช่วยให้กัวไฮว่เข้ารอบการแข่งขันจริงเหรอแต่ก็เป็ไปได้ยากนะคำถามพวกนั้นถึงจะท่องจำได้ตายตัวแต่ถ้าเขียนพู่กันนี่เกรงว่ากัวไฮว่จะไม่ได้ พวกของปลอมก็คือของปลอมน่ะแหละ” นักเรียนจากต่างโรงเรียนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา
“จะให้กัวไฮว่เข้าการแข่งขันไม่ได้ จะให้มันเข้ารอบที่สามไม่ได้” ฉินอวี้หลงพูดเบาๆ ในลำคอราวกับกุมเส้นชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้
“ปรมาจารย์อวี้เฟิง ในผู้เข้าแข่งขันมีศิษย์ของท่านอยู่แถมยังมีคนที่ท่านรู้จักอีก กลัวว่าจะไม่ยุติธรรมถ้าคุณเป็กรรมการ” ฉินอวี้หลงลุกขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นเสียงดัง
“นี่นักเรียนจากที่ไหนเนี่ย กล้าถามท่านปรมาจารย์ซึ่งๆหน้าท่านปรมาจารย์จะยอมให้เพราะศิษย์ตัวเองได้ยังไงกัน อีกอย่างถ้าเป็ศิษย์ของท่านปรมาจารย์ คนที่เข้าตาท่านปรมาจารย์ได้ก็น่าจะเข้าแข่งขันได้เพราะความสามารถของตัวเองนะ” ผู้คนที่นั่งอยู่แถวหน้าส่ายศีรษะพลางพูดขึ้นกับฉินอวี้หลงที่มีสีหน้าแดงก่ำ
“หลานของฉินเจิ้งเทียนก็เด็กที่พนันในเว็บบอร์ดคนนั้นแหละไม่คิดเลยว่าเหล่าฉินใกล้จะเข้าโลงอยู่แล้วยังจะให้หลานตัวเองมาทำให้ขายหน้าอีก” ผู้าุโอีกรายพูดอย่างจนใจ
“อืม นักเรียนคนนี้ไม่เลวเลยนะ ฉันอาจจะตัดสินเพราะได้รับอิทธิพลในใจก็ได้เสี่ยวอวี้ด้วยอีก เรามาสังเกตการณ์กันเถอะ” ปรมาจารย์อวี้เฟิงลุกขึ้นมาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “สวินอวี้ ฉันว่าผอ.ของหลายโรงเรียนก็อยู่ที่นี่แถมยังมีคนจากสมาคมพู่กันอีกตั้งหลายคน ก็เลือกมาสักสิบคนมาเป็ผู้ตัดสินเถอะฉันกับเสี่ยวอวี้เป็ตัวสำรอง ฮ่าๆ”
หลี่สวินอวี้มองฉินอวี้หลงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักไม่คิดเลยว่าตนเองจะสั่งสอนเด็กแบบนี้ออกมาได้ดันมาสงสัยท่านปรมาจารย์ต่อหน้าฝูงชน ท่านปรมาจารย์เป็คนที่แกจะมาสงสัยได้เหรอ
“ปรมาจารย์อวี้เฟิงเว่อร์ไปแล้วล่ะ ท่านยังเป็ผู้ตัดสินนั่นแหละ คนแก่ๆอย่างพวกเราจะมาสอนจระเข้ว่ายน้ำต่อหน้าท่านได้ยังไงกัน” เฉาสิงหลงยืนขึ้นแล้วพูดยิ้มๆ แม้ในใจเขาอยากจะเป็ผู้ตัดสินแทบแย่แล้วจากนั้นก็ปรับตกกัวไฮว่ซะ แต่ต่อหน้า เขาก็ต้องพูดแทนท่านปรมาจารย์
“เสี่ยวเฉาใช่ไหม ให้พวกเธอเป็พวกเธอก็เป็ไปเถอะ จะเื่มากทำไมถ้าเวยเวยกับเสี่ยวไฮว่ฝีมือไม่ถึงก็ปรับตกพวกเขาซะการแข่งวิชาการเมืองอู่เฉิงมีมาตั้งหลายปีแล้วจะมาให้คนแก่ใกล้จะเข้าโรงแบบฉันมาทำให้เสื่อมเสียไม่ได้” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ
ผ่านไปประมาณสิบนาที เฉาสิงหลง สวี่อู๋อี้ ผอ.โรงเรียนหยางกวงจางเจิ้งเฉิง ผอ.โรงเรียนชีจง เจี่ยอวิ๋นเทาผอ.โรงเรียนอี้จงและกรรมการจากสมาคมพู่กันที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ถูกหลี่สวินอวี้จับกลุ่มเป็ผู้ตัดสินใหม่
“เสี่ยวหลิงพูดต่อเลย” หลี่สวินอวี้พูดเบาๆ กับพิธีกรบนเวที
“รอบสุดท้ายง่ายมากๆ เลยค่ะ ด้านหน้าทุกคนมีกระดาษขาวแผ่นหนึ่งให้ทุกคนเขียนสักหนึ่งประโยค จะเขียนอะไรก็ได้ สุดท้ายกรรมการจะร่วมกันตัดสินนักเรียนที่ได้คะแนนเจ็ดลำดับแรกจะได้เป็ตัวแทนโรงเรียนฟู่จงเข้าร่วมการแข่งวิชาการในเดือนหน้าค่ะ” ซุนหลิงหลิงผู้เป็พิธีกรพูดยิ้มๆ
หากเข้ามาในรอบที่สามได้ก็ถือว่าเป็นักเรียนที่โดดเด่นของฟู่จงในด้านความรู้แล้วแค่ทุกคนยกพู่กันขึ้นก็สามารถดูออกได้ว่าต่างก็มีความสามารถในการเขียนพู่กันที่ไม่เลวเลย
“ท่านอาจารย์คะ นักเรียนที่อาจารย์บอกตอนโทรมาครั้งก่อนคือคนไหนเหรอคะ” หลินอวี้ถามขึ้นยิ้มๆ
“เสี่ยวอวี้ เธอทายดูสิ บนเวทีมีนักเรียนสิบกว่าคนเท่าที่เธอดูใครคือคนที่ฉันต้องตาด้วย” ปรมาจารย์อวี้เฟิงถามขึ้นยิ้มๆ
“งั้นก็ต้องรอให้เขียนก่อนหนูถึงจะรู้ค่ะ” หลินอวี้พูดยิ้มๆ “แต่รุ่นน้องฉันคนนั้นไม่เลวเลยนะดูจากการเขียนแล้วดูท่าไม่น่ามีใครสู้เธอได้” สายตาของหลินอวี้ตกไปอยู่บนร่างของมู่หรงเวยเวยแล้วพูดด้วยความพออกพอใจ
“เด็กที่อยู่บนเวทีคนนั้นทุ่มเทในการเขียนพู่กันไม่น้อยเลย สามารถเห็นได้ถึงเงาของคนพวกนั้นจากตัวอักษรลูกสาวของอินหลงก็เป็ศิษย์ของเธอใช่ไหม” ปรมาจารย์อวี้เฟิงชี้ไปที่โหยวโยวโยวแล้วถามขึ้น
“อาจารย์ตาแหลมมากเลยครับ ถือว่าเป็ลูกศิษย์ผมครึ่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนไปบ้านตระกูลโหยวเห็นว่าเธอกำลังฝึกเขียนพอดีก็เลยคุยด้วยไปนิดหน่อย โยวโยวมีสติไม่เลวเลย” เจิ้งคุ่นหลงพูดยิ้มๆตอนแรกมีแค่ปรมาจารย์กับหลินอวี้ที่ไม่ได้เป็ผู้ตัดสินแต่ฉินอวี้หลงกลับไม่รู้ว่าคำพูดของเขาเมื่อกี้ทำให้สุดยอดนักพู่กันแดนพายัพอย่างเจิ้งคุ่นหลงจะพลอยติดร่างแหไปด้วย
“ฮ่าๆ ความลับแตกแล้วล่ะสิ ตอนนี้ยังไม่เริ่มเขียนอีกหรือว่าจะเขียนไม่เป็” ในที่สุดสีหน้าของฉินอวี้หลงก็ดีขึ้นเมื่อเห็นกัวไฮว่ที่อยู่บนเวทีไม่ได้ขยับพู่กันก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“พวกคนโง่ ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้ายก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองโง่” นักเรียนคนหนึ่งมองฉินอวี้เฟิงแล้วพูดขึ้นเบาๆนักเรียนคนนี้เคยโชคดีเห็นกัวไฮว่เขียนชื่อร้านอาหารคนบ้าถึงแม้ตนเองจะไม่เข้าใจในการเขียนพู่กันเท่าไหร่แต่เขาก็ััได้ว่าอักษรสี่ตัวนั่นอย่างน้อยๆคนทั่วไปก็ไม่อาจเทียบได้
“ไอ้บ้าแกว่าใคร” ฉินอวี้หลงไม่คิดเลยว่านักเรียนแบบนี้จะกล้าว่าตัวเองได้เลยถามกลับไปเสียงดัง
[1] สี่สมบัติแห่งห้องหนังสือประกอบไปด้วยกระดาษ หมึก แท่นหมึก และพู่กัน