“ใครโง่ฉันก็ว่าคนนั้นแหละ” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่เกรงฉินอวี้หลง“ไอ้ฉิน ไม่งั้นเรามาพนันกันสักตั้งไหมล่ะถ้ากัวไฮว่ผ่านเข้าแข่งขัน นายเดินเปลือยกายออกไปจากหอประชุม กล้าไหมล่ะ”
“ตกลง ทำไมจะไม่กล้าพนันล่ะ ฉันกล้าพนันในเว็บบอร์ดมากขนาดนั้นพนันแค่นี้ทำไมฉันจะไม่กล้ารับคำท้า ถ้ากัวไฮว่ชนะในการแข่งเขียนพู่กันรอบที่สามฉัน ฉินอวี้หลง จะเปลื้องผ้าเดินออกไปจากหอประชุม ถ้าไม่ทำ ขอให้ฟ้าผ่า” ฉินอวี้หลงพูดเสียงดัง “แล้วถ้านายแพ้ล่ะ”
“แพ้ก็แพ้ไป ถ้าแพ้ฉันจะเลี้ยงจาจังมยอนนายที่โรงอาหาร” เด็กหนุ่มพูดเสียงดังอย่างหยาบกระด้าง
“นาย…ดี…ดีมากถ้านายแพ้ฉันจะให้นายเลี้ยงจาจังมยอนฉัน ฉันจะกินให้แกจนไปเลย” ฉินอวี้หลงพูดเสียงดัง
“หลี่กู่เสร็จแล้วค่ะ” ซุนหลิงหลิงพูดยิ้มๆจากนั้นก็ให้นักเรียนสองคนนำกลอนสองวรรคที่หลี่กู่เขียนไว้ว่า ‘ขี่ลมทะลวงคลื่นอาจมีบางครา ดิ่งทะยานเมฆล่องมหาสมุทร’ ส่งไปยังเบื้องหน้าของผู้ตัดสิน
“อายุแค่สิบห้าสิบหก เขียนได้ระดับนี้ วิจิตรขนาดนี้ ไม่ธรรมดาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” เฉาสิงหลงพูดยิ้มๆอันที่จริงเขาก็ลำเอียง หลี่กู่ได้ที่เก้าในการแข่งรอบที่สอง ถ้านักเรียนแบบนี้ได้เข้าแข่งขันดีกว่าให้กัวไฮว่เข้ารอบแข่งจริงเยอะเลย”
“ซูเยี่ยเสร็จแล้วค่ะ” ผ่านไปประมาณหนึ่งนาทีซุนหลิงหลิงพูดขึ้นยิ้มๆ
“บนูเามีต้นไม้ บนต้นไม้มีกิ่ง บนใจข้ามีท่าน ไยท่านไม่รู้” ในขณะที่พิธีกรอ่านกลอน ใบหน้าของซูเยี่ยก็พลันแดงระเรื่อขึ้นมา
“ยายหนู ฝันกลางวันเหรอ” ในขณะนี้ถังซีก็เขียนอักษรเสร็จแล้วเช่นกัน
“เพียงเพราะท่านหันกลับมาแค่คราเดียว ก็ทำให้ข้าคิดถึงท่านทุกเช้าเย็น” ในขณะที่พิธีกรพูดก็มีนักเรียนนำอักษรที่ทั้งสองคนเขียนวางไว้เบื้องหน้าของผู้ตัดสิน เมื่อเทียบกับหลี่กู่แล้วอักษรที่ซูเยี่ยกับถังซีเขียนขาดความสมดุลไปหน่อย
“ถ้าเ้าทำตามใจ ทั้งชีวิตข้าจะนำเหล้าไปเป็เพื่อน” โหยวโยวโยวมองอักษรที่ตนเองเขียน ก็ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเป็นัยให้ซุนหลิงหลิงรู้ว่าเขียนเสร็จแล้ว
“คุ่นหลงรับศิษย์ั้แ่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมไม่เห็นบอกกันบ้างเลย ฮ่าๆ” เมื่ออักษรที่โหยวโยวโยวเขียนวางไปยังเบื้องหน้าของผู้ตัดสินก็มีคนดูลายเส้นว่าเขียนไม่เลว และเมื่อเทียบกับหลี่กูก็ถือว่าเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
“สี่ตัวอันตราย ตัวอสรพิษ” ในขณะที่หนานกงหลิงโม่เขียนเสร็จทั้งหอประชุมก็พลันหัวเราะลั่นออกมา เด็กหญิงก็เขียนอักษรแปดตัวเขียนเสร็จก็ไม่ลืมที่จะมองกัวไฮว่
“ศิษย์บ้า ฮ่าๆ เขียนได้บ้ามากเลย คนก็บ้าเหมือนกัน” ฝูงชนพูดพลางขำ ใช่แล้วอันที่จริงตาบ้าเซวียนพักอยู่ที่บ้านตระกูงหนานกงได้สักระยะหนึ่งแล้วและได้สอนสิ่งพวกนี้ให้แก่หนานกงหลิงโม่
“เงินเยอะเยอะเยอะเยอะ ดีเยอะเยอะขึ้นไป” เฉียนตัวตัวก็เขียนเสร็จแล้วอักษรหกตัวทำเอาคนทั้งหอประชุมหัวเราะลั่นในขณะที่อักษรถูกวางไปยังเบื้องหน้าของผู้ตัดสินผู้ตัดสินต่างก็มองหน้ากันแล้วตระหนกใ อักษรหกตัวดูเหมือนจะเหมือนกันแต่กลับมีความวิจิตรถึงหกแบบ
“ปรมาจารย์อวี้เฟิง ท่านช่วยมาดูหน่อยได้ไหมครับ” หลี่สวินอวี้พูดเสียงเบากับปรมาจารย์อวี้เฟิง
“เสี่ยวอวี้ คุ่นหลง ไป ไปดูกันเร็ว” ปรมาจารย์อวี้เฟิงะโเรียกหลินอวี้กับเจิ้งคุ่นหลงไปด้วยกัน
“อักษรหกตัว ความวิจิตรหกแบบ เด็กนี่ไม่เลวเลย” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ “คุ่นหลง เด็กนี่เรียนเขียนกับใครเหรอ แกรู้หรือเปล่า”
“ถ้าดูไม่ผิดก็เป็หกปรมาจารย์แห่งอวิ๋นซานครับน่าจะเรียนมาจากหกปรมาจารย์แห่งอวิ๋นซาน เมื่อสิบสามปีก่อนปรมาจารย์หกคนมีสี่คนเสียชีวิตไปแล้ว อักษรคำว่า''เยอะ''สองตัวแรกนี่เขียนดูมีพื้นฐานที่ดี อาจารย์สองท่านที่เหลือเป็คนสอนมาที่หนึ่งของเมืองอู่เฉิงก็สมแล้วจะเป็ที่หนึ่ง” เจิ้งคุ่นหลงพูดยิ้มๆ
“หนังแพะนับพัน มิสู้ขาหมาป่าเพียงหนึ่ง” เ้าิ่เองก็เขียนเสร็จแล้ว
“ไม่บินกลับสิ้นสุด เมื่อบินทะลุฟ้า ไม่ร้องกลับสิ้นสุด เมื่อร้องสะท้านคน” เมื่อฉินเซวียนเขียนเสร็จ ก็ผงกศีรษะเล็กน้อยอักษรที่เขาเขียนทำเอาผู้ตัดสินใอีกครั้งทั้งแผ่นดินไม่มีใครคิดว่าจะมียอดฝีมือแบบฉินมู่เหรินอีกแล้วและฉินเซวียนผู้นี้คือหลานของหลานของเขานั่นเอง
“กัวไฮว่ พวกเขียนเสร็จหมดแล้ว เธอยังเขียนไม่เสร็จอีกเหรอ” ซุนหลิงหลิงมองไปยังกัวไฮว่ที่เอาแต่ฝนหมึก จากนั้นก็ถามขึ้นยิ้มๆ
“หมึกยังฝนไม่เสร็จ จะเขียนได้ยังไง” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“พ่อหนุ่ม อย่ามาทำให้ยุ่งยากดีกว่าน่า ทำให้คนอื่นเสียเวลามันไม่ดีนะ” เฉาสิงหลงพูดเสียงดัง
“อยากให้ผมทำเร็วๆ งั้นก็มาช่วยผมฝนหมึกสิ แบบนี้จะได้เร็วหน่อย” กัวไฮว่มองเฉาสิงหลงที่เดินมาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“ได้ได้ได้ วันนี้ฉันช่วยเธอฝนหมึกเองฉันอยากจะดูนักว่าเธอจะเขียนเป็ยังไง” เฉาสิงหลงพูดพลางยกแขนขึ้นมาเริ่มฝนหมึก “ฝนหมึกเสร็จแล้ว ลงมือเถอะ”
“ข้านั้นได้รู้จักคนบ้า สมญานามว่าเซียนมาจุติ” กลอนสองวรรคของตู้ฝู่กับหลี่ไป๋ถูกกัวไฮว่นำมาเขียนบนกระดาษสมญานามผู้จุติ ตอนนั้นหลี่ไป๋ไม่ได้เป็เซียนจุติอะไรหรอกแต่ก็ค้นพบว่าตอนนี้ตนเองเนี่ยแหละเป็เซียนมาจุติ
“ก็คิดว่าจะเขียนดี ก็งั้นๆ แหละ” เฉาสิงหลงอ่านแวบหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ
“กัวไฮว่ เธอเขียนเสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันให้คนเอาไปให้กรรมการดู” ซุนหลิงหลิงพูดยิ้มๆ
“ถ้าอยากดูอักษร ให้พวกเขามาดูเถอะ” กัวไฮว่พูดพลางลุกขึ้นมา “เสี่ยวซี โยวโยว เวยเวย เยี่ยจื่อ ฉันไปก่อนแล้วนะถ้าคิดได้แล้วว่าจะกินข้าวที่ไหนก็ส่งข้อความไปหาฉันนะ ฮ่าๆ” พูดจบ กัวไฮว่ก็ดิ่งลงจากเวที ออกจากหอประชุมไป
“เขายอมแพ้แล้วเหรอ ทำไมเขาไปแล้วล่ะ ฮ่าๆ เขายอมแพ้แล้วเขาจะไม่เข้าแข่งขันวิชาการแล้ว ฮ่าๆ” ฉินอวี้หลงพูดพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น
“ไอ้โง่!” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างฉินอวี้หลงพูดอย่างดูแคลน
“ไอ้หมอนี้ ฉันคิดไว้แล้ว เดี๋ยวพอการคัดเลือกจบลงฉันจะไปกินจาจังมยอนเซ็ตพรีเมี่ยม ถึงเวลานั้นจานนึงก็ราคาหมื่นกว่าๆฉันจะกินให้ตายไปเลย” ฉินอวี้หลงพูดอย่างเหี้ยมโหด
“เ้าโง่ ฉันก็คิดไว้แล้ว เดี๋ยวพอออกจากหอประชุม ฉันจะดูแกแก้ผ้าแล้วก็ไลฟ์สดลงเว็บบอร์ด แกเตรียมตัวดังในเมืองอู่เฉิงได้เลย” เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านมาดูอักษรรูปนี้สิ” สวี่อู๋อี้ ผอ.โรงเรียนหยางกวงดูไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ดูจุดเริ่มกับจุดจบในการลากเส้นออก พูดขึ้นเบาๆ กับปรมาจารย์อวี้เฟิง
“เป็ไปไม่ได้ จะเป็ไปได้ยังไง เขาอายุเท่าไหร่เองหลี่เหวินโต้ว...ในพิพิธภัณฑ์อู่เฉิงมีร่องรอยของหวังซีจืออยู่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าอักษรภาพนี้มีกลิ่นอายของหวังซีจืออยู่ล่ะ” เจี่ยอวิ๋นเทา ผอ.โรงเรียนอี้จงพูดเบาๆ
“ให้ท่านอาจารย์มาดูเถอะ ฉันก็ดูไม่ออก รูปอยู่นี่เหนือความเข้าใจของฉันนัก” หลี่เหวินโต้วส่ายศีรษะ แล้วเดินลงเวทีไป “นักเรียนทุกคนคุณครูทุกท่าน ผมไม่เป็กรรมการแล้วขงจื่อเคยกล่าวไว้ว่าแต่ละคนมีด้านเก่งไม่เหมือนกันอักษรที่กัวไฮว่เขียนเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจได้ ฉันตัดสินอักษรแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“เขาคือหลี่เหวินโต้ว เป็หัวหน้าพิพิธภัณฑ์อู่เฉิงทั้งยังเป็รองหัวหน้าสมาคมเขียนพู่กันอีกด้วย” ฝูงชนจำหลี่เหวินโต้วได้จึงพูดกันด้วยเสียงเบาๆ