ไม่นานก็โทรติด สวี่เยว่พูดจาออเซาะในโทรศัพท์ “แม่คะ แม่จำได้ไหมที่หนูเคยเล่าให้แม่ฟังว่าหนูช่วยคุณยายที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์คนหนึ่งไว้? วันนี้คุณยายคนนั้นมาที่บ้านเรา เอาของขวัญมาให้หนูเยอะแยะเลย หนูไม่กล้ารับ แต่คุณยายยืนยันจะให้ แม่กลับมาจัดการหน่อยสิคะ”
แม้กู่ซิ่วจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็รู้ว่าลูกสาวคนเล็ก้าให้เธอร่วมเล่นละครด้วย เธอจึงรีบกลับบ้าน
เมื่อเห็นคุณย่าหลานสกุลลู่ กู่ซิ่วก็แอบดีใจ
ย่าหลานคู่นี้ดูไม่เหมือนคนธรรมดา สวี่เยว่กลายเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณย่าไว้ อนาคตต้องได้รับผลประโยชน์มากมายแน่ ๆ
ถึงแม้ของขวัญล้ำค่ามากมายเต็มโต๊ะจะทำให้กู่ซิ่วอยากกอบโกยไว้แนบอก แต่เธอแสร้งทำเป็ไม่อยากรับ
ยังบอกอีกว่าก่อนหน้านี้สวี่เยว่เคยเจอเด็กพลัดหลงระหว่างทาง พ่อแม่ของเด็กมาขอบคุณ ครอบครัวของเธอยังไม่รับสินน้ำใจแม้แต่แดงเดียว
ทั้งยังบอกอีกว่าที่บ้านเกิดมีญาติปัญญาอ่อนอยู่ ทุกครั้งที่ครอบครัวของเธอกลับบ้านเกิด สวี่เยว่ก็จะคอยสระผมอาบน้ำให้เสมอ
คุณย่าลู่ได้ฟังก็เอ่ยชมสวี่เยว่ไม่ขาดปากว่าทั้งสวยทั้งใจดี
กู่ซิ่วก็ไม่ได้ถ่อมตัว “ลูกสาวคนนี้ของฉันใจดีมาั้แ่เด็ก ๆ แล้วค่ะ”
คุณย่าลู่กล่าว “นั่นก็เพราะคุณพ่อคุณแม่สั่งสอนมาดี”
คุณย่าลู่หยิบเงินสามพันหยวนออกมาจากตัว ยื่นให้กู่ซิ่ว “เด็กคนนี้ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันก็ไม่รู้จะซื้ออะไรไปขอบคุณหนูดี เงินสามพันหยวนนี่ให้หนูเอาไปซื้อของที่ชอบก็แล้วกัน”
กู่ซิ่วทำท่าทางยืนกรานไม่ยอมรับเงินสามพันหยวนนั้น
สุดท้าย คุณย่าลู่บอกว่าตัวเองอายุมากแล้ว เป็โรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรหงุดหงิด
ถ้ากู่ซิ่วไม่รับเงิน เธอจะรู้สึกหงุดหงิด ผลที่ตามมาอาจจะเกินคาดเดาได้
กู่ซิ่วจึงจำใจรับเงินสามพันหยวนนั้นมา
คุณย่าลู่คุยกับแม่ลูกกู่ซิ่วอยู่พักหนึ่ง สอบถามเื่ส่วนตัวของสวี่เยว่จนได้ความพอสมควรแล้วจึงพาหลานชายลากลับไป
ก่อนไป คุณย่าลู่จับมือสวี่เยว่ เชิญเธอไปเที่ยวบ้านในวันมะรืนนี้อย่างอบอุ่นแถมยังบอกที่อยู่บ้านอย่างละเอียด
“อำเภอชางเชิ่ง ถนนชางเชิ่ง สวนลู่ หาง่ายมาก” คุณย่าลู่พูดอย่างอ่อนโยน
สวี่เยว่ไม่กล้ารับปาก เหลือบมองไปที่กู่ซิ่ว
กู่ซิ่วรับปากแทนสวี่เยว่
กู่ซิ่วยิ้มแล้วอธิบายกับคุณย่าลู่ “ลูกสาวคนเล็กของฉันซื่อเกินไป ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเองเลยค่ะ”
คุณย่าลู่ยิ้มจนดวงตาโค้งมน “ฉันชอบเด็กผู้หญิงแบบนี้แหละ”
หลังจากส่งย่าหลานสกุลลู่กลับไป แม่ลูกก็ปิดประตูใหญ่ ตื่นเต้นจนหน้าเบี้ยว
สวี่เยว่ถามด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด “แม่คะ สวนลู่ที่คุณย่าลู่พูดถึง ใช่สวนของสกุลลู่ นายทุนแดง[1] ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าร่ำรวยมหาศาลก่อนปลดแอกหรือเปล่าคะ?”
กู่ซิ่วกล่าว “ถ้าไม่ใช่สกุลลู่นั้นแล้ว จะมีสกุลลู่ที่ไหนอีก?”
กู่ซิ่วสังเกตเห็นกำไลหยกสีเขียวใสราวกับน้ำที่ข้อมือของคุณย่าลู่ มันใสกว่าแก้วเสียอีก
แม่ลูกคุยกันไปพลาง พลิกดูของขวัญที่ย่าหลานสกุลลู่เอามาให้ไปพลาง
บุหรี่ชั้นดี เหล้าชั้นเลิศ ลำไยอบแห้ง เห็ดหูหนูขาว และของบำรุงสารพัดกองโต
แถมยังมีผ้าเนื้อดีอย่างผ้าแดครอน ผ้าขนสัตว์อีกสิบกว่าผืนที่เหมาะกับเด็กสาว ๆ
นี่ยังไม่น่าใที่สุด สิ่งที่น่าใที่สุดคือ นาฬิกาข้อมือยี่ห้อเซี่ยงไฮ้รุ่นล่าสุดสำหรับผู้หญิง
ไม่ใช่แบบหน้าปัดทรงกลมใหญ่ แต่เป็แบบหน้าปัดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขอบทอง ดูทันสมัยมาก
ตอนที่แม่ลูกกู่ซิ่วไปเที่ยวเมืองเอกมณฑล เคยเห็นขายในห้างสรรพสินค้า ราคาเรือนละร้อยกว่าหยวน
ในขณะที่นาฬิกาข้อมือเซี่ยงไฮ้แบบหน้าปัดทรงกลมใหญ่ยี่ห้อเดียวกันราคาแค่เรือนละห้าสิบห้าหยวนเท่านั้น
กู่ซิ่วหยิบนาฬิกาข้อมือยี่ห้อเซี่ยงไฮ้ราคาแพงลิ่วขึ้นมาจะสวมให้ลูกสาวคนเล็กสุดที่รัก
แต่สวี่เยว่กลับรีบชักมือกลับเหมือนโดนไฟลวก พูดด้วยความกังวล “แม่คะ หนูสงสัยว่าหนูรับความชอบแทนพี่สาว ถ้าพี่มารู้ทีหลังจะทำยังไงคะ?”
คุณย่าลู่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วได้รับความช่วยเหลือจากลูกสาวผู้จัดการโรงงานสวี่ คนที่ช่วยคุณย่าไม่ใช่เธอ งั้นก็คงเป็ยัยงั่ง สวี่ฮุ่ยนั่น
อีกอย่าง เวลาที่คุณย่าได้รับความช่วยเหลือ ตรงกับตอนที่สวี่ฮุ่ยไปขายปลาไหลที่ตัวเมืองพอดี สวี่เยว่เลยรู้สึกไม่สบายใจ
กู่ซิ่วแค่นเสียงขึ้นจมูก “ต่อให้รับความชอบแทนพี่ลูกแล้วมันจะเป็ยังไง? มันติดหนี้ลูกมาั้แ่เกิดแล้ว”
สวี่เยว่จึงยอมให้กู่ซิ่วสวมนาฬิกาให้อย่างสบายใจ
เธอมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วถาม “แม่คะ หนูใส่ไว้แบบนี้ตลอดได้ไหมคะ?”
กู่ซิ่วมองเธอด้วยความรักใคร่เอ็นดู “นาฬิกาเรือนนี้สกุลลู่ซื้อมาให้ลูกอยู่แล้ว ลูกอยากใส่ก็ใส่เลย แต่่นี้อย่าเพิ่งใส่นะ รออีกสักพักค่อยใส่ กันยัยเด็กเวรนั่นสงสัย”
สวี่เยว่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที “แม่กลัวว่าหนูจะโป๊ะแตกเื่รับความชอบแทนพี่เหรอคะ?”
กู่ซิ่วเม้มปากแน่น พยักหน้า “ก็เลยให้ลูกระวังตัวไว้ก่อน ขอแค่ยัยเด็กนั่นไม่รู้ว่าคุณย่าลู่เคยมาที่บ้านก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
สวี่เยว่ชี้ไปที่ของขวัญเต็มโต๊ะ พูดด้วยความกังวล “ช้างตายทั้งตัวจะเอาใบบัวมาปิดได้ยังไงคะ? ของขวัญพวกนี้ ถ้าพ่อกับพี่ชายถามขึ้นมา พวกเราก็ตอบไม่ได้ แถมยังมีเพื่อนบ้านเห็นย่าหลานสกุลลู่หอบของขวัญกองโตมาที่บ้านเราอีก”
“เื่พ่อกับพี่ชายลูกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
“ส่วนเพื่อนบ้านก็ไม่ต้องกังวล พวกเราเปลี่ยนเื่อุบัติเหตุนิดหน่อย ให้พูดตรงกันก็พอ บอกไปว่าลูกช่วยคุณย่าลู่ไว้ก่อนสอบเข้ามหาลัย ตอนนั้นลูกทำโดยไม่เปิดเผยตัวตน เป็ผู้ปิดทองหลังพระ ตอนนี้เขาเลยเพิ่งตามมาขอบคุณ ยังไงคุณย่าลู่ก็คงไม่มาที่บ้านพักเราอีกแล้ว เพื่อนบ้านจะไปสอบถามใครได้? ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว ยัยเด็กเวรนั่นจะรู้ความจริงได้ยังไง?”
กู่ซิ่วพูดด้วยรอยยิ้มเพ้อฝัน “ถ้าคุณย่าลู่มาที่บ้านพักเราอีก คงจะมาในฐานะแม่สามีแล้วล่ะ”
สวี่เยว่แกล้งถาม “แม่หมายความว่ายังไงคะ?”
กู่ซิ่วใช้นิ้วจิ้มหัวสวี่เยว่ด้วยความรัก “เด็กโง่ ลูกไม่เห็นเหรอว่าคุณย่าลู่ชอบลูกมาก อยากให้แกเป็หลานสะใภ้ ไม่อย่างนั้นจะถามเื่ส่วนตัวของลูกไปทำไม? เพราะงั้นลูกต้องทำตัวดี ๆ ตอนไปบ้านสกุลลู่วันมะรืนนี้ ขอแค่ลูกแต่งเข้าสกุลลู่ได้ ข้าวสารกลายเป็ข้าวสุก ถึงตอนนั้นต่อให้พี่สาวลูกรู้ความจริงแล้วมันก็คง สายเกินแก้แล้ว!”
สวี่เยว่นึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของลู่ฉี่โหย่วขึ้นมาทันที หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย พูดตรงข้ามกับใจ “แม่ หนูยังต้องเรียนมหาวิทยาลัย จะแต่งงานได้ยังไงคะ?”
“ทำไมจะแต่งงานไม่ได้? มีคนอุ้มท้องไปเรียนมหาวิทยาลัยตั้งเยอะ!”
กู่ซิ่วหยิบผ้าแดครอนผืนหนึ่งขึ้นมาทาบตัวลูกสาวคนเล็ก
สวี่เยว่พูดอย่างกังวล “แม่ หนูไม่อยากให้สกุลลู่รู้ว่าหนูแย่งความชอบของพี่สาว ทำไมเราส่งพี่สาวไปอยู่ในเขาในป่าลึก ๆ เอาให้เธอออกจากที่นั่นไม่ได้ตลอดไปเลยดีไหมคะ? แบบนั้นสกุลลู่ก็จะไม่มีทางรู้ความจริง หนูยังสามารถสวมรอยไปเรียนมหาวิทยาลัยแทนพี่ได้ด้วย”
กู่ซิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “แม้วิธีนี้จะดี แต่พวกเราไม่รู้จักใคร จะขาย...แต่งยัยเด็กนั่นไปอยู่ที่แบบนั้นได้ยังไง?”
สวี่เยว่นิ่งเงียบไป ทันใดนั้นก็นึกถึงฉินยงจวินที่เดินตามสวี่ฮุ่ยกลับบ้านเมื่อวานนี้…
ตอนเที่ยง สวี่ต้าซานกับลูกชายกลับมาบ้าน เห็นของขวัญบนโต๊ะอาหารก็ถามว่าเอามาจากไหนด้วยความใ
กู่ซิ่วกล่าว “เยว่เยว่ช่วยคุณย่าคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุไว้ เขาเลยเอามาให้”
สวี่ต้าซานประหลาดใจมาก “เยว่เยว่ช่วยคนไว้? เมื่อไหร่? ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเธอพูดเลย”
กู่ซิ่วเก็บของขวัญเข้าไปในห้องตัวเอง “เื่ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะ เยว่เยว่ช่วยคนไว้ก็ไม่ได้คิดอะไร เลยไม่ได้บอกใคร ถ้าเขาไม่มาที่บ้าน ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอเคยช่วยคนไว้”
“เื่นี้พวกคุณพ่อลูกห้ามไปบอกใครนะ เดี๋ยวจะเกิดเื่วุ่นวาย โดยเฉพาะสวี่ฮุ่ย”
ไม่บอกคนอื่นสวี่ต้าซานยังพอเข้าใจ แต่ไม่ให้บอกกระทั่งสวี่ฮุ่ย สวี่ต้าซานไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขาถามอย่างสงสัย “ทำไมถึงบอกฮุ่ยฮุ่ยไม่ได้?”
กู่ซิ่วกลอกตาใส่เขา “คุณคิดว่ายัยเด็กนั่นยังเป็เด็กดีเชื่อฟังเราเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ? ตอนนี้มันร้ายกาจมาก คิดแต่จะแก้แค้นพวกเรา!”
สวี่ต้าซานขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ฮุ่ยฮุ่ยไม่ได้เป็แบบนั้น!”
“ไม่ได้เป็แบบนั้น?” กู่ซิ่วแค่นเสียงเ็า “มันวิ่งไปที่ทำงานฉันแต่เช้า ร้องเรียนว่าฉันแย่งโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยและเงินรางวัลของมันให้เยว่เยว่ แถมยังบอกว่ามันให้เงินรางวัลฉันหนึ่งพันหยวน ทำให้ฉันโดนหัวหน้าตำหนิ!”
สวี่ต้าซานตาค้างอยู่นาน สักพักถึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ลูกเนี่ยนะจะทำแบบนั้น? เดี๋ยวลูกกลับมาผมจะไปคุยกับลูกดี ๆ เองว่าทำไมถึงทำร้ายคนในครอบครัวได้ลงคอ!”
สวี่รั่วเฉินรู้สึกโมโหมากที่เมื่อเช้าเอาเงินมาจากสวี่ฮุ่ยไม่ได้สักแดงเดียว
พอได้ยินพ่อแม่พูดแบบนั้นแล้ว ความแค้นทั้งเก่าทั้งใหม่ก็พลันพุ่งขึ้นมา รู้สึกว่าน้องสาวคนโตทำเกินไป เลยสนับสนุนให้พ่อตำหนิสวี่ฮุ่ยอย่างเต็มที่ ‘ฮุ่ยฮุ่ยนับวันยิ่งจะไม่มีเหตุผลขึ้นเรื่อย ๆ พ่อควรสั่งสอนเธอให้หลาบจำ!’
กู่ซิ่วจึงพูดเสียงอ่อนลง “ฉันถึงบอกไงว่าห้ามให้ยัยเด็กนั่นรู้เื่ที่เยว่เยว่ช่วยคุณย่าคนนั้นไว้เด็ดขาด มันไม่มีทางเชื่อว่าเยว่เยว่ช่วยคนอื่นหรอก ถ้าเห็นผ้าเยอะแยะขนาดนั้นในบ้าน เธออาจจะคิดว่าพวกเราลำเอียงซื้อให้เยว่เยว่คนเดียว แล้วมันไปอาละวาดที่ทำงานฉันอีก ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน? จะทำงานได้ยังไง? สู้บอกไปตรง ๆ ว่าของพวกนี้พ่อแม่ฉันซื้อให้เยว่เยว่ทั้งหมดดีกว่า ฮุ่ยฮุ่ยก็จะพูดอะไรไม่ได้ ใครใช้ให้มันไม่เป็ที่รักของคุณตาคุณยายล่ะ?”
สวี่รั่วเฉินพูดกับสวี่ต้าซาน “พ่อ เพื่อความสงบสุขของบ้านเรา เชื่อแม่เถอะครับ”
[1] นายทุนแดง หมายถึง นักธุรกิจในประเทศจีนที่ให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้ว่าพวกเขาจะยังคงเป็เ้าของธุรกิจส่วนตัวอยู่ก็ตาม