คนที่อยู่รวมกันในตำหนักนี้เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นซีต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด และเป็โอวหยางเทียนซิงที่พูดขึ้นก่อน “พี่สะใภ้รอง เื่พวกนี้ ท่านจะมาพูดจาส่งเดชไม่ได้หรอกนะ” โรคระบาดที่ร้ายแรงเพียงนั้น หากมีจริงๆ ละก็ ไม่ใช่ว่าเมืองหลวงแห่งนี้ก็จะพลอยได้รับผลกระทบติดโรคระบาดไปด้วยหรือ
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำกล่าวนั้นก็แค่นเสียงเ็าพลางมองไปยังองค์ชายสามโอวหยางเทียนซิง “องค์ชายสาม หากมีเวลาว่างก็ลองหาตำราที่บันทึกเกี่ยวกับโรคระบาดมาอ่านดูบ้างนะเพคะ ลองดูว่า ในราชวงศ์ก่อน หรือเมื่อหลายร้อยปีก่อน แผ่นดินนี้เคยเกิดการระบาดขนานใหญ่ขึ้นบ้างหรือไม่” พูดจบ นางก็หันกลับมามองเสี้ยวเหวินตี้ “เสด็จพ่อ โรคระบาดเกิดขึ้นเมื่อใด พวกเราล้วนไม่ทราบ มีกี่คนที่ติดโรคระบาดแล้วเดินทางออกไปจากอำเภออานอวิ๋นบ้าง เราเองก็ยังไม่รู้ บนร่างกายของคนที่เดินทางออกมาเ่าั้จะนำเชื้อร้ายนี้มาด้วยหรือไม่ พวกเราก็ไม่อาจแน่ใจได้ เริ่มแรกเพียงระบาดแค่ในหมู่บ้านล่างแห่งหนึ่งของอำเภออานอวิ๋น จากนั้นก็แพร่ไปทั้งอำเภอ แล้วตามด้วยอวี่โจว เมืองเฟิง หากเรายังสืบได้ไม่แน่ชัดว่า ตกลงแล้วเป็โรคระบาดชนิดใด หากหาวิธีรักษาไม่ได้ หม่อมฉันก็ไม่กล้านึกถึงเื่ที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้อีกแล้วเพคะ”
นางโขกศีรษะ ก่อนจะเปล่งเสียงเคร่งขรึมให้ดังก้องอยู่ในห้องทรงพระอักษร “อวิ๋นซีเป็แม่ของลูกๆ เป็ภรรยาของหนิงอ๋อง เป็สะใภ้ของตระกูลโอวหยาง และอวิ๋นซียังเป็หมอคนหนึ่งอีกด้วย ไม่ว่าจะสถานะใดก็ไม่อาจทำให้หม่อมฉันทำเป็ไม่สนใจเื่นี้ไปได้”
จวินเหยียนมองเงาหลังของภรรยา เขาอยากจะก้าวเข้าไปห้ามปรามนาง เพียงแต่ก้าวออกไปได้ก้าวหนึ่ง สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าลง เขาไม่พูดอะไรต่อทั้งนั้น ทำเพียงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงของเสี้ยวเหวินตี้ที่ดังมาจาก้า “อาซี เ้าต้องรู้นะว่า ครั้งนี้หากเ้าไป แต่หาวิธีรักษาโรคระบาดนี้ไม่ได้ ไม่แน่ตัวเ้าอาจต้องติดโรคระบาดเหมือนประชาชนเ่าั้ ถูกเผาไปพร้อมๆ กัน ไม่เหลือแม้ร่างเอาไว้อีกเลย”
อวิ๋นซีพูดขึ้นเรียบๆ “เสด็จพ่อ หม่อมฉันทราบดีเพคะ การเดินทางในครั้งนี้มีแค่สองทาง นั่นก็คือ หาวิธีแก้ปัญหา รักษาโรคระบาดนั้นให้ได้ หม่อมฉันก็จะสามารถมีชีวิตรอดกลับออกมาได้ ส่วนความเป็ไปได้ที่สองก็คือ หม่อมฉันติดโรคระบาด สุดท้ายต้องถูกเผากลายเป็เถ้า”
“เช่นนั้น เ้าไม่กลัวหรือ” เสี้ยวเหวินตี้ถาม
อวิ๋นซีพยักหน้าตอบ “กลัวเพคะ หม่อมฉันเองก็เป็คน คนทุกคนล้วนกลัวตาย เพียงแต่สิ่งที่หม่อมฉันกลัวยิ่งกว่า คือการที่คนข้างกายต้องมาตายไปเพราะโรคระบาดนี้ เมื่อเป็เช่นนี้ หม่อมฉันก็ทำได้แค่ต้องไปยังเขตโรคระบาด เพื่อหาหนทางรอดให้ได้ หากสำเร็จ ก็จะถือเป็การพิสูจน์ว่า ชีวิตของหม่อมฉันยังไม่ควรจบสิ้นลงง่ายๆ ” พูดถึงตรงนี้ นางก็อมยิ้มพูดต่อ “หม่อมฉันเป็ลูกสะใภ้ของเสด็จพ่อ มีอำนาจัอันแท้จริงอย่างเสด็จพ่อคอยคุ้มครองปกป้องอยู่ หม่อมฉันย่อมมิใช่คนที่จะอายุสั้นเพียงนั้นหรอกเพคะ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็รู้สึกปลง เขาขึ้นหน้าไป คุกเข่าลงข้างภรรยาแล้วตัดสินใจพูดออกไป “เสด็จพ่อ ลูกขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ลูกได้เดินทางไปยังเขตโรคระบาดพร้อมอาซีด้วย”
เสี้ยวเหวินตี้ถึงกับขมวดคิ้วทันที “พวกเ้าสามีภรรยาต่างก็คิดจะไปหาที่ตายกันอย่างนั้นหรือ? ” น่าตายนัก ลูกชายของตนก็บ้าไปกับนางด้วย อวิ๋นซีขอไปคนเดียวยังไม่พอ เ้าสารเลวจวินเหยียนยังจะะโออกมาอีกคน
“เมื่อครู่อาซีก็ได้บอกแล้วว่า ทางรอดเรามีแต่ต้องสร้างขึ้นมาเอง ตอนนี้โรคระบาดยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ั้แ่ตรวจพบกระทั่งเสียชีวิตใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน ยามนี้ยังเป็แค่การเริ่มต้น หากนับรวมกับอวี่โจวและเมืองเฟิงเข้าไปด้วย ประชาชนเราก็ตายไปสามร้อยกว่าศพแล้ว หากปล่อยให้เป็เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่รอหนานเย่าอยู่คือสิ่งใด ลูกคิดว่าเสด็จพ่อเองก็คงจะทราบดี ยิ่งกว่านั้น อาซีเองก็ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาแต่เล็ก ทั้งยังรู้วิธีควบคุมโรคระบาดเ่าั้มาจากนักบวชจากซีอวี้ด้วย”
“เ้าลูกสารเลว อาซีเป็วิชาแพทย์ นางถึงได้มาร้องขอไปเขตโรคระบาด แล้วเ้าเล่า? เ้าเป็สิ่งใด? หากเ้าไปจะไม่กลายเป็ภาระ หรือเ้าคิดจะรนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ? ” เสี้ยวเหวินตี้อยากจะเตะลูกอกตัญญูนี่ออกไปเสียจริงๆ
จวินเหยียนทำเป็มองไม่เห็นความขุ่นเคืองของบิดา เขาพูดต่อไป “เสด็จพ่อ ลูกเป็หนิงชินอ๋องที่ทรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง เป็โอรสของพระองค์ ส่วนราษฎรที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ในเขตโรคระบาดนั้นต่างก็เป็ไพร่ฟ้าของหนานเย่าเรา เป็ราษฎรของเสด็จพ่อ หากลูกไปแสดงตัวที่เขตโรคระบาดก็ไม่เท่ากับเป็การบอกกล่าวต่อพวกเขาว่า ราชวงศ์ไม่เคยละทิ้งกระทั่งราษฎรที่ติดโรคระบาดเ่าั้หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เสี้ยวเหวินตี้มองสองสามีภรรยาที่ยืดหลังตรง เขาหลับตาลงกล่าวว่า “ไปเถอะ แต่ว่า พวกเ้าต้องสัญญากับพ่อ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้ หากว่า พวกเ้ากล้าเป็อะไรไป เช่นนั้นเจิ้นก็จะมีราชโองการยกลูกทั้งสามของพวกเ้าให้เป็ลูกของเ้าสี่และเซ่าหลันเสีย ให้สองสามีภรรยาที่อวดเก่งเยี่ยงพวกเ้า ต่อให้ตายไปแล้วก็ไม่มีแม้ลูกชายไปเคารพศพครั้งสุดท้าย”
คำพูดเง้างอนที่หลุดออกมาจากปากของเสี้ยวเหวินตี้ ทำให้คนที่รวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้ต่างอดไม่ได้ให้มุมปากกระตุก พวกเขาไม่เคยคาดคิด คนเป็ถึงฮ่องเต้ แต่กลับกล้าพูดอะไรเช่นนี้ออกมา อีกทั้ง ยังพูดจาราวกับคำพูดตนสมเหตุสมผลเพียงนี้
จวินเหยียนจูงมืออวิ๋นซีเดินออกจากห้องทรงพระอักษร เมื่อไปถึงนอกวัง เขาก็วางคนลงบนหลังม้า ก่อนจะหวดสะโพกม้าโดยแรง เพื่อให้ม้าควบทะยานออกไปบนท้องถนนอย่างบ้าคลั่ง อวิ๋นซีรู้สึกได้ว่าข้างหูทั้งสองมีเสียงลมหวีดหวิว และรับรู้ได้ถึงความเกรี้ยวกราดที่โลดอยู่ในอกของบุรุษเื้ั
นางไม่ได้พูดอะไร และทำเพียงปล่อยให้เขาพาตนกลับไปยังจวนอ๋องด้วยท่าทีบ้าคลั่งเช่นนี้...
ทันทีที่คนรับใช้ในจวนหนิงอ๋องเห็นท่านอ๋องของตนอุ้มพระชายากลับเข้าจวนด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ ทุกคนต่างก็พากันคิดไปว่า เกิดเื่อะไรขึ้น? แม้ท่านอ๋องจะเข้าหาด้วยได้ยาก แต่ก็ไม่เคยจะโมโหโดยไร้เหตุผล
อวิ๋นซีไม่พูดอะไร นางมองบุรุษที่อุ้มตนด้วยรอยยิ้ม
ยามที่เข้าไปถึงด้านในจวน คนทั้งสองก็ได้เจอกับจ้าวลี่เจียพอดี นางเห็นว่าสีหน้าของจวินเหยียนไม่ค่อยดีจึงเข้ามาถามไถ่ ทว่า จวินเหยียนกลับตอบนางเพียงสั้นๆ “ท่านแม่ยาย พวกเราไม่เป็อันใดขอรับ”
เมื่อกลับไปถึงสวนชิงเฟิง เขาก็ได้สั่งให้คนเฝ้าประตูสวนไว้ และห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ทันทีที่ได้ยินเสียงคำสั่งอันน่าเกรงขามของท่านอ๋อง หลายคนในบริเวณนั้นต่างก็ใไปตามๆ กัน เื่ของนายท่านและนายหญิงไม่มีใครกล้าซักถาม ทำได้เพียงพยักหน้ารับทราบ ยืนอยู่ที่ประตูสวนชิงเฟิง
ตอนที่อวิ๋นซีถูกจวินเหยียนปล่อยลง นางก็รีบยื่นมือออกไปกอดคอเขา ยิ้มพูดว่า “ท่านโกรธหรือ”
“อาซี เ้ารู้หรือไม่ว่าเขตโรคระบาดอันตรายเพียงใด” สตรีนางนี้ไม่เชื่อฟังเขา แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้
อวิ๋นซีอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนเขา พูดเสียงเบา “จวินเหยียน ข้ารู้ว่าท่านเป็ห่วงข้า แต่พี่รอง พี่สะใภ้ และหลานชายทั้งสองของข้ายังอยู่ในเมืองเฟิง ข้าไม่ไปไม่ได้”
จวินเหยียนถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “อาซี อาซี ข้าควรทำเช่นไรกับเ้าดี”
“ไม่ใช่ว่าตัวท่านเองก็จะไปเขตโรคระบาดพร้อมข้าด้วยหรือ การตัดสินใจนี้นับเป็การลงโทษที่สาหัสอย่างที่สุดที่ท่านมอบให้ข้าแล้ว” เมื่ออวิ๋นซีพูดถึงตรงนี้ ตัวนางก็กลับเป็ฝ่ายโกรธขึ้นมาเสียแทน นางปล่อยเขา พูดเสียงขรึม “ท่านรู้ทั้งรู้ว่าข้าทำอะไรไม่ได้ ถึงได้อยากจะไปเมืองเฟิง แต่เหตุใดท่านจึงต้องวู่วามเช่นนี้ด้วย”
“ไม่ต้องกลัว ข้าเชื่อในตัวเ้า เชื่อว่าเ้าจะสามารถหาวิธีรักษาโรคระบาดได้” จวินเหยียนลากคนกลับเข้ามาในอ้อมอกตน พูดเสียงเบา
อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็า “อย่าได้พูดคำชมเชยเช่นนี้” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจนางก็เอาแต่ภาวนาขอให้ตนเองสามารถหาวิธีรักษาที่ได้ผลให้จงได้
อวิ๋นซีและสามีที่เพิ่งพูดคุยกันไปได้แค่สองสามประโยค ด้านนอกก็มีเสียงอวิ๋นซานดังขึ้นขัด “โอวหยางจวินเหยียน เ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
“โอวหยางจวินเหยียนออกมาเดี๋ยวนี้”
เสียงของคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีและจวินเหยียนได้แต่สบตากัน ในใจพูดว่า มีอีกคนมาหาถึงที่แล้ว