บทที่ 3 บทบาทใหม่ของแม่เลี้ยง...และไอ้ผัวตัวดีที่หายหัว!
รุ่งเช้าของวันที่สามในฐานะ เหยาเหนียง เฉินอิงตื่นขึ้นพร้อมกับความหนักอึ้งในใจ ความจริงที่ว่าเธอต้องแบกรับภาระครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นนี้ถาโถมเข้าใส่จนแทบหายใจไม่ออก
"ท่านแม่... ข้าหิวเ้าค่ะ" เสียงเล็กๆ ของหลี่อิงฮวาดังขึ้น พร้อมกับเสียงท้องร้องครืนครานของหลิ่เฟิงหลงที่นอนอยู่ข้างๆ เด็กทั้งสองลืมตาขึ้นมองเฉินอิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความหิวโหย
เฉินอิงลูบศีรษะเด็กทั้งสองเบาๆ "รอสักครู่นะลูก เดี๋ยวท่านแม่จะหาสิ่งดีๆ มาให้กิน" คำพูดปลอบโยนนั้นแท้จริงแล้วก็ยากจะกล่าวออกมา เพราะในใจของเฉินอิงเองก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในกระเพาะไม่ต่างกัน
นางลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนไม้ซอมซ่อ โถข้าวที่ควรจะมีข้าวสารกลับว่างเปล่า ไร้แม้แต่รำข้าวสักเม็ดตามความทรงจำของเ้าของร่างเดิม ภาชนะในครัวมีเพียงหม้อดินเก่าๆ สองสามใบ และตะกร้าไม้สานที่ว่างเปล่า
"เฮ้อ..." เฉินอิงถอนหายใจยาว พลางนึกถึงหลี่ิ สามีตัวดีที่หายหน้าไปั้แ่วันแรกที่นางก้าวเข้ามาในบ้าน
'ถ้าเ้ายังไม่กลับมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะไม่เหลืออะไรไว้ให้เ้ากินแน่!' เฉินอิงสบถในใจ ดวงตาคมกริบฉายแววเ็า หากในโลกเดิมเธอคือแพทย์ที่รักษาชีวิตผู้คน ยามนี้เธอคือแม่เลี้ยงที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตนเองและลูกๆ
เฉินอิงหันไปมองหลงอี้ที่ยังคงหลับอยู่บนฟาง เขาดูสงบกว่าเมื่อวานมาก แม้จะยังมีสีหน้าซีดเซียว แต่ลมหายใจก็สม่ำเสมอ แผลที่ต้นแขนดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการดูแลของเธอเมื่อคืนนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเื่เขาจะตายในเร็ววันนี้
"ท่านย่าเ้าคะ" เฉินอิงหันไปหาท่านย่าหลี่ที่กำลังจะปัดกวาดบ้านอย่างเชื่องช้า "ที่บ้านเรามีอะไรพอจะกินได้บ้างเ้าคะ"
ท่านย่าหลี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "โอ๊ย เหนียงเอ๋อร์เอ๊ย ที่ไหนจะมีเล่า! ข้าวก็หมดไปหลายวันแล้ว ผักก็ไม่มีให้เก็บ " เสียงของท่านย่าหลี่เต็มไปด้วยความความเศร้า
เฉินอิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะเคยได้ยินจากความทรงจำของเ้าของร่างเดิมมาบ้างแล้ว แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับความจริงนี้ด้วยตัวเอง มันช่างน่าหดหู่ใจยิ่งนัก
"ท่านย่าไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ ข้าจะออกไปหาอะไรมาให้กิน" เฉินอิงเอ่ยอย่างมุ่งมั่น
"เ้าจะไปหาที่ไหนเล่า เหนียงเอ๋อร์" ท่านย่าหลี่มองเฉินอิงด้วยแววตาเป็ห่วง "ในป่าตอนนี้ก็แทบไม่มีอะไรแล้ว ยิ่งใกล้ฤดูหนาวเข้าไปทุกทีเช่นนี้"
"ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ท่านย่าดูแลเด็กๆ กับเขาคนนั้นไว้ให้ดี ข้าจะรีบไปรีบมา" เฉินอิงยิ้มบางๆ ให้ท่านย่าหลี่ เป็รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง ที่ทำให้ท่านย่าหลี่รู้สึกประหลาดใจ
ก่อนออกไป เฉินอิงคว้าตะกร้าไม้สานใบเก่าๆ ที่ว่างเปล่า และมีดพกเล่มเล็กที่เ้าของร่างเดิมใช้ตัดผักติดมือไปด้วย แม้จะไม่เคยเข้าป่าหาของป่ามาก่อนในชีวิตนี้ แต่ด้วยความรู้ด้านพืชพรรณและสมุนไพรจากโลกเดิมของเธอ บวกกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่สั่งสมมายุคที่นางเคยอยู่ นางเชื่อว่านางจะสามารถหาสิ่งที่กินได้เจออย่างแน่นอน
เฉินอิงเดินออกจากบ้าน สูดอากาศยามเช้าที่แสนบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ยามนี้เป็่ต้นฤดูสารท อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังคงเขียวขจีอยู่มาก เมื่อพ้นเขตหมู่บ้านและก้าวเข้าสู่ป่าหุบเขาอวี้หลง เฉินอิงเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด
สายตาของนางจับจ้องไปที่พืชพรรณนานาชนิดที่ขึ้นอยู่ตามทางเดินเท้าเล็กๆ นางใช้ความรู้ที่ได้จากการอ่านตำราสมุนไพรโบราณและประสบการณ์จากการเรียนรู้พืชพันธุ์ต่างๆ ในโลกเดิมมาประยุกต์ใช้
'นั่นไง!' สายตาของเฉินอิงพลันไปหยุดอยู่ที่พุ่มไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ใบของมันมีลักษณะคล้ายกับพืชชนิดหนึ่งที่เธอเคยศึกษาว่ามีหัวใต้ดินที่สามารถนำมาบริโภคได้
เฉินอิงไม่รอช้า นางใช้มีดพกเล็กๆ ขุดดินบริเวณโคนต้นอย่างระมัดระวัง แม้ดินจะแข็งและมีรากไม้ปะปนอยู่บ้าง แต่นางก็ใช้ความพยายามและความอดทน ขุดลึกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมือของนางััได้ถึงวัตถุกลมๆ แข็งๆ ใต้ดิน
"เจอแล้ว!" เฉินอิงอุทานเบาๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางค่อยๆ แซะหัวของมันออกมา มันคือหัวเผือกป่าขนาดกำลังพอดีมือ สีน้ำตาลอมม่วง มีดินติดอยู่เล็กน้อย
เฉินอิงยังคงสำรวจต่อไปอย่างไม่ลดละ ด้วยความรู้ที่นางมี ทำให้สามารถแยกแยะพืชที่กินได้ออกจากพืชมีพิษได้อย่างแม่นยำ นางพบหัวเผือกอีกหลายหัว เห็ดป่าบางชนิดที่ดูปลอดภัย และพืชผักป่าบางอย่างที่สามารถนำมาทำเป็ซุปได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตะกร้าที่เคยว่างเปล่าของเฉินอิงเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มไปด้วยของป่าที่กินได้ นางรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างประหลาด นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่นางต้องพึ่งพาสองมือของตัวเองในการหาอาหารเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
ขณะที่กำลังจะเดินกลับบ้าน เฉินอิงพลันได้ยินเสียงกรอบแกรบผิดปกติมาจากพุ่มไม้เบื้องหน้า นางชะงักฝีเท้า ยืนนิ่งฟัง เสียงนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้น คล้ายเสียงสัตว์ป่าตัวเล็กๆ กำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหาร
ด้วยสัญชาตญาณของแพทย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนเสมอ เฉินอิงก้าวเข้าไปใกล้พุ่มไม้ทีละน้อย มือหนึ่งกำมีดพกไว้แน่น อีกมือหนึ่งเตรียมพร้อมที่จะขว้างตะกร้าใส่หากเกิดอันตราย
เมื่อก้าวไปถึงพุ่มไม้ เฉินอิงก็ต้องประหลาดใจ สิ่งที่นางเห็นไม่ใช่สัตว์ป่าที่ดุร้าย แต่เป็กระต่ายป่าตัวอ้วนกลมกำลังแทะเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลิน! มันตัวใหญ่กว่ากระต่ายที่นางเคยเห็นในโลกเดิมมาก และดูอุดมสมบูรณ์ดี
'อาหารชั้นดี!' ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของเฉินอิง นางไม่เคยล่าสัตว์มาก่อน แต่ความหิวและการเอาตัวรอดทำให้สัญชาตญาณดิบของนางทำงาน ค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้กระต่ายอย่างเงียบเชียบ ทุกก้าวเป็ไปอย่างระมัดระวัง
กระต่ายป่ายังคงก้มหน้าก้มตากินหญ้าอย่างสบายใจ ไม่รู้เลยว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ เมื่อเฉินอิงอยู่ใกล้พอ นางใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของแพทย์ผ่าตัดที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนาน เหวี่ยงมีดพกในมือออกไปอย่างแม่นยำ!
ฉึก!
มีดพกปักเข้าที่ลำตัวของกระต่ายป่าอย่างจัง และมันกระตุกสองสามครั้งแล้วแน่นิ่งไป
เฉินอิงเดินเข้าไปหากระต่ายป่าที่แน่นิ่งแล้ว หยิบมีดพกออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอุ้มกระต่ายป่าตัวอ้วนขึ้นมา น้ำหนักของมันทำให้นางรู้สึกถึงความหวัง ในสายตาของเฉินอิง นี่คืออาหารมื้อสำคัญที่จะช่วยให้ครอบครัวของนางมีชีวิตรอดไปได้อีกวัน
นางไม่รอช้า รีบเดินกลับบ้านทันที ด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่หามาได้
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เด็กทั้งสองก็วิ่งกรูกันเข้ามาหาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นกระต่ายป่าตัวใหญ่ในมือของเฉินอิง ดวงตาของพวกเขาก็เป็ประกายระยิบระยับ
"ท่านแม่! กระต่าย! ท่านแม่จับกระต่ายมาได้!" หลี่อิงฮวาร้องอย่างตื่นเต้น
หลี่เฟิงหลงเองก็มองกระต่ายด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อ เขาไม่เคยคิดว่าแม่เลี้ยงคนใหม่ผู้นี้จะมีความสามารถถึงเพียงนี้
ท่านย่าหลี่เองก็ใไม่แพ้กัน "โอ้พระเ้า! เหนียงเอ๋อร์! นี่เ้าไปจับมันมาได้อย่างไรเล่า!"
"โชคดีเ้าค่ะท่านย่า" เฉินอิงตอบพลางยิ้มบางๆ "วันนี้พวกเราจะมีเนื้อกินกันแล้ว"
เฉินอิงจัดการชำแหละกระต่ายป่าอย่างชำนาญ แม้จะเป็ครั้งแรกที่ทำ แต่มือของนางก็คล่องแคล่วราวกับเคยทำมาแล้วนับร้อยครั้ง นางใช้มีดพกเล่มเล็กๆ ในการแยกส่วนต่างๆ ของกระต่ายออกอย่างเป็ระเบียบ ท่านย่าหลี่และเด็กๆ มองดูด้วยความทึ่ง
หลังจากนั้น เฉินอิงก็ใช้หัวเผือกป่าและผักป่าที่หามาได้ มาต้มรวมกับเนื้อกระต่าย นางไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมากนัก เพียงแค่ใส่เกลือและเครื่องเทศพื้นบ้านที่ท่านย่าหลี่พอจะมีติดบ้านอยู่บ้าง
ไม่นานนัก กลิ่นหอมกรุ่นของน้ำแกงเนื้อกระต่ายก็ลอยอบอวลไปทั่วบ้าน ทำให้ท้องของทุกคนร้องโครกครากยิ่งกว่าเดิม
เมื่อน้ำแกงกระต่ายอุ่นๆ ถูกยกมาวางตรงหน้า เด็กทั้งสองก็ไม่รอช้า รีบตักกินอย่างตะกละตะกลาม ราวกับไม่เคยกินอาหารดีๆ มาก่อน ท่านย่าหลี่เองก็น้ำตาคลอเบ้า นางไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์อีกครั้งในสภาพเช่นนี้
เฉินอิงมองดูภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ แม้จะเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก แต่ความสุขที่ได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กๆ และท่านย่า นี่ก็เป็รางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับนาง
"ท่านก็กินสิ" เฉินอิงหันไปบอกหลงอี้ที่ยังคงนอนมองอยู่ข้างๆ เขาดูเหมือนจะประหลาดใจกับความสามารถของเฉินอิงไม่น้อย
หลงอี้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ รับถ้วยน้ำแกงจากเฉินอิง ก่อนจะค่อยๆ จิบช้าๆ แววตาของเขาซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม เขามองเฉินอิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง หญิงสาวผู้นี้... ไม่ใช่แค่แม่เลี้ยงธรรมดาที่ยากจน แต่กลับมีความสามารถและความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่
เฉินอิงยังคงนั่งกินน้ำแกงอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความอบอุ่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นในบ้านหลังเล็กๆ แห่งนี้ แต่ในใจของเธอกลับครุ่นคิดถึงอนาคตที่ยังคงมืดมน
แค่กระต่ายตัวเดียวจะอยู่ได้กี่วันกัน นางคิด ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง บ้านก็ทรุดโทรม เสื้อผ้าก็ไม่เพียงพอ...
และที่สำคัญที่สุด... หลี่ิ สามีตัวดีที่หายหัวไปผู้นั้น เขาจะกลับมาเมื่อไหร่ และเมื่อเขากลับมา จะนำพาเื่วุ่นวายอะไรมาให้นางกับครอบครัวอีกหรือไม่? อนาคตข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่เฉินอิงก็มั่นใจว่าด้วยความรู้และไหวพริบที่นางมี จะสามารถเอาชนะทุกอุปสรรค และพลิกฟื้นครอบครัวนี้ให้พ้นจากความยากจนให้
****////****