แสงอาทิตย์สาดส่องเนินเขาเตี้ย ฝุ่นผงล่องลอยวาววับดูศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมองเบื้องหน้าเห็นภาพคมกระบี่ิญญาจำนวนนับไม่ถ้วนปักอยู่บนพื้น ดินถูกปกคลุมด้วยหมอกบางเบา เสริมบรรยากาศลึกลับไปทั่วทั้งบริเวณ
เมื่อลู่เต้าสาวเท้าเข้าไป หมอกควันที่ลอยเอื่อยอยู่รอบเท้าก็พลันสลายไป เขาตรงไปหากระบี่ิญญาแตกหักเล่มหนึ่ง ตั้งใจจะดึงมันขึ้นมา ทว่าเพียงปลายนิ้วแตะโดนด้ามกระบี่ ตัวกระบี่ก็พลันสลายกลายเป็ผงธุลีปลิวหายไปในสายหมอกเบื้องล่าง
ทั่วทั้งสุสานกระบี่ิญญาแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม ลู่เต้ามองกระบี่ิญญามากมายด้วยแววตาตื่นตะลึง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ไป๋เสีย นี่มันเื่อะไรกันแน่”
“หลังจากเ้าของสิ้นชีพแล้ว กระบี่ิญญาทุกเล่มจะหาสถานที่ผนึกตนเอง เมื่อกระบี่ิญญาที่ถูกผนึกมีจำนวนมากก็จะกลายเป็สุสานกระบี่ิญญาเช่นนี้” ไป๋เสียอธิบาย “เหมือนว่าที่นี่จะเป็ที่มันมาผนึกตน”
‘...สุนัขเ้ามาที่สุสานกระบี่ิญญานี้ทำไมกันเล่า’ ลู่เต้าคิดจะถามออกไป แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ได้
เขาลองดึงกระบี่ิญญาจันทร์เสี้ยวขึ้นมาอีกครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงััก็สลายกลายเป็ผงธุลีปลิวหายไปในสายหมอกเบื้องล่าง
ไป๋เสียส่ายหน้ากล่าว “ไร้ประโยชน์ ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนมีกระบี่ิญญาประจำกาย คู่ทุกข์คู่ยาก เคียงข้างกันทั้งยามหายใจและสิ้นลม เมื่อผู้ฝึกตนสิ้นชีพ กระบี่ิญญาก็จะสูญสลายตามไปด้วย”
“ถ้าเช่นนั้น หลังเ้าถูกผนึก กระบี่ิญญาของเ้า...” ลู่เต้าลอบมองกระบี่ิญญาที่แตกหักเล่มหนึ่งลับๆ
“หึ คงจะทำให้เ้าผิดหวังแล้วกระมัง” ไป๋เสียหัวเราะ “ตอนที่ข้ายังมีชีวิต ไม่เคยฝึกฝนใช้วิชากระบี่ิญญา”
“เอ๋...” ลู่เต้าลองดึงกระบี่ิญญาเล่มที่ดูใหม่กว่าขึ้นมาอีกครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม สลายกลายเป็ผงธุลี
ลู่เต้าไม่ยอมแพ้ เขาเดินไปทั่วสุสานกระบี่ิญญา ดึงกระบี่เล่มแล้วเล่มเล่า หมอกเบื้องล่างหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง
เมื่อเห็นว่าเหมือนลู่เต้ามีอะไรบางอย่างกับกระบี่ิญญา ไป๋เสียจึงอดถามไม่ได้ “เ้ากำลังทำอะไร”
ลู่เต้าออกแรงดึงกระบี่ิญญาขึ้นมาได้สำเร็จ ใบหน้าพลันยินดี ทว่าครั้งนี้ถึงแม้ด้ามกระบี่จะไม่สลายกลายเป็ผุยผง แต่ตัวกระบี่ก็ยังคงแหลกสลายในตอนที่ถูกดึงขึ้นมาอยู่ดี
ลู่เต้าได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ โยนด้ามกระบี่ที่เหลืออยู่ในมือทิ้ง ก่อนจะตอบว่า “ข้าเคยได้ยินจากพ่อค้าที่เมืองัทมิฬเล่าว่า ผู้ฝึกตนสามารถใช้พลังิญญาควบคุมกระบี่ิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้ สังหารศัตรูได้ไกลนับพันลี้ หากมีกระบี่ิญญาลอยอยู่ข้างกาย คงจะดูอาจหาญไม่หยอก!”
“เ้าหนู กระบี่ิญญานั้นอย่างน้อยก็ต้องรอให้เ้าบรรลุถึงขั้นหกเสียก่อน ถึงจะเริ่มฝึกฝนได้ แถมยังต้องหาช่างตีกระบี่มาตีกระบี่ให้โดยเฉพาะ เ้าใช้กระบี่ิญญาของคนอื่นไม่ได้หรอก” ไป๋เสียกล่าวเสียงทุ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เต้าได้แต่จ้องมองกระบี่ิญญาที่ปักอยู่บนพื้นมากมายอย่างเสียดาย คิดในใจว่าหากตนเองหยิบมาใช้ได้สักเล่มคงจะดีไม่น้อย
“เอาล่ะ” จู่ๆ ไป๋เสียก็เข้าควบคุมร่างกายลู่เต้า ทันใดนั้นเงามืดก็ทาบทับใบหน้า ยืนตระหง่านอยู่บนเนินเขากระบี่ ก่อนที่สีหน้าจะฉายแววเ้าเล่ห์ออกมา เขาเอ่ยด้วยท่าทีเย่อหยิ่งเช่นเคย “ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ลู่เต้าที่ถูกยึดครองร่างอย่างคาดไม่ถึงก็คิดในใจ “นี่มันเื่อะไรกันเนี่ย”
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าในชาตินี้ไป๋เสียไม่ได้อ่อนแอลงเพราะใช้พลังิญญามากเกินไป รูปลักษณ์ก็ยังคงอยู่ใน่วัยหนุ่ม
ไป๋เสียควบคุมร่างกายลู่เต้าก้าวขึ้นไปบนยอดเนินกระบี่ เขาก้มหน้ามองเบื้องล่าง เห็นภาพกระบี่ิญญาแตกหักผุพังเต็มไปหมด
เขากวาดตามองทั่วเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว พลางแค่นเสียง “มันหนีไปทางไหนกันแน่”
ขณะเดียวกันก็ล้วงมือเข้าไปในอก หยิบขลุ่ยสะกดมารมาจรดที่ริมฝีปาก ก่อนจะบรรเลงลำนำประหลาด เมื่อเสียงขลุ่ยดังขึ้น สายหมอกเบื้องล่างก็พวยพุ่งไหลเวียนไปตามท่วงทำนองที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเสียงขลุ่ยสิ้นสุดลง สายหมอกที่พวยพุ่งปกคลุมทั่วทั้งบริเวณก็พลันสงบนิ่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไป๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ผงธุลีกระบี่มากมายขนาดนี้ ยังล่อมันออกมาไม่ได้อีกหรือ”
ทว่าขณะที่เขากำลังจะบรรเลงขลุ่ยอีกครั้ง จู่ๆ ในม่านหมอกก็ปรากฏร่างมหึมา มันชูกระบี่ใหญ่ฟันใส่ไป๋เสียโดยไม่ทันตั้งตัว
ไป๋เสียไม่ได้ตื่นตระหนก เบี่ยงตัวหลบคมกระบี่ไปได้อย่างเฉียดฉิว กระบี่ใหญ่ฟาดลงบนพื้นอย่างแรง สายหมอกพลันสลายหายไป ทำให้ไป๋เสียเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย
ร่างกายของมันเป็โครงกระดูกขนาดมหึมาที่สวมชุดเกราะผุๆ ส่วนหัวเป็กะโหลกมนุษย์ ไร้ซึ่งลูกตาดำ มีเพียงแสงสีเขียววาววับสองจุดเท่านั้น
ไป๋เสียกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นักรบกระดูก”
เมื่อเห็นว่าการลอบโจมตีล้มเหลว นักรบกระดูกจึงฉวยโอกาสที่สายหมอกกำลังรวมตัวกันอีกครั้งหายตัวไปในสายหมอก
ขณะเดียวกันก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นจากในสายหมอก เผยให้เห็นจู้หลงที่สวมเสื้อคลุมสีเทาเดินออกมา เขายิ้มเยาะให้ไป๋เสีย “ไม่นึกเลยว่าเ้าจะไวถึงปานนี้”
ลู่เต้าที่อยู่ในร่างจำจู้หลงได้ทันที ไม่ว่าจะเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ เขาก็ไม่มีทางลืมใบหน้าชั่วร้ายนั่นได้ จึงขบฟันแน่นกล่าว “ไป๋เสีย! มันคือคนที่ฆ่าข้าในชาติที่แล้ว!”
“อ้อ...” ไป๋เสียหรี่ตามองสำรวจจู้หลงั้แ่หัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีดูถูก “แค่มันกับปีศาจนั่นนะหรือ”
เดิมทีจู้หลงคิดจะปล่อยให้นักรบกระดูกซ่อนในสายหมอกและค่อยลอบสังหาร คงจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ใครจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่ดูทึ่มๆ ตรงหน้าจะหลบดาบได้อย่างหวุดหวิด แถมยังไม่มีท่าทีตื่นตระหนกอีกด้วย!
“ดูท่าจะจัดการยากกว่าที่คิด” คิดได้ดังนั้น จู้หลงก็ผิวปากทันที
สายหมอกด้านหลังไป๋เสียพลันปั่นป่วน จางเฟิงที่ถือดาบกระดูกอาบยาพิษพุ่งเข้าโจมตีไป๋เสียอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ไป๋เสียหลับตาลง เขาอาศัยเพียงเสียงเสื้อผ้าเสียดสีก็สามารถหลบการโจมตีของจางเฟิงได้ทั้งหมด จนอีกฝ่ายถอยกลับไปข้างกายจู้หลงอย่างกระหืดกระหอบ
“ท่านพี่จู้หลง ดูท่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ระวังไว้ก่อนดีกว่า” จางเฟิงเตือน
“ต่อให้เก่งกาจกว่านี้ก็แค่หนึ่งดารา” สายตาของจู้หลงจ้องขลุ่ยสะกดมารในมือไป๋เสียไม่วางตา เขาใช้พลังิญญาออกคำสั่งกับนักรบกระดูก “บุกเข้าไป! จับมันมาให้ข้า!”
นักรบกระดูกคำรามลั่นสายหมอกสั่นะเือย่างรุนแรง ชูกระบี่ใหญ่พุ่งเข้าหาไป๋เสีย
ในชาติที่แล้ว ลู่เต้าเคยต่อสู้กับนักรบกระดูกมาก่อน จึงรู้ว่าเ้าตัวโตนี่จัดการยากแค่ไหน เขาจึงบอกไป๋เสียด้วยความหวังดี “ระวัง! เ้านี่มีพลังแข็งแกร่งมาก! จัดการยากนัก!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักรบกระดูกที่บุกโจมตีเข้ามา ไป๋เสียกลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขายกมือขึ้นเบาๆ ขลุ่ยสะกดมารในมือก็แผ่แสงสีทองออกมา ก่อนจะกลายเป็ไม้สีดำ
นักรบกระดูกชูดาบใหญ่ฟันไปที่ศีรษะของไป๋เสีย มุมปากของไป๋เสียพลันยกขึ้นเล็กน้อย เร่งการไหลเวียนพลังิญญาในร่างกาย ไม้สะกดมารเปล่งประกายสีทองอร่าม พร้อมกับพลังอันแข็งแกร่ง ตวัดฟันสวนกลับไป
อาวุธทั้งสองเข้าปะทะ เกิดคลื่นกระแทกอันรุนแรง ฉีกกระชากอากาศ สายหมอกที่ปกคลุมอยู่โดยรอบพลันสลายหายไปในชั่วพริบตา
ด้วยแรงะเิจากคลื่นพลัง กระทบเหล่ากระบี่ิญญาจนแหลกสลายเป็เถ้า แม้แต่กลุ่มของเกาฮ่าวที่กำลังตามหาสัตว์ิญญาอยูู่เาอีกฟากหนึ่งก็ยังััได้ถึงแรงสั่นะเืนี้
“ตั้งสติ! สัตว์ิญญาจะออกมาแล้ว!” เกาฮ่าวออกคำสั่ง บรรดาศิษย์สกุลเกาจึงออกเดินทางขึ้นเขาต่อไป
ดาบใหญ่ของนักรบกระดูกไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลของไม้สะกดมารได้ จุดที่ปะทะกันเกิดรอยร้าวเล็กๆ ก่อนที่รอยร้าวนั้นจะขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายดาบทั้งเล่มก็แตกสลายกลายเป็ผงคล้ายกับกระบี่ิญญา
จู้หลงเบิกตากว้างด้วยความใ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขารู้ว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าคือ ‘ไป๋เสีย ผู้นำวิถีอสูร’ ที่ผู้คนต่างหวาดกลัว คงจะรีบหนีไปไกลั้แ่แรกแล้ว
“เท่านี้ก็คงพอแล้ว” ไป๋เสียลูบผมพลางยิ้มเยาะ “วางใจเถอะ ในเมื่ออุตส่าห์พาสุนัขกลับมาได้ทั้งที ข้าไม่มีทางปล่อยให้เ้าตายอย่างสงบสุขหรอก”
ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปบนฟ้าะโก้อง “จงออกจากฝักมา! ฉิวหมัว!”
กระบี่นับหมื่นในสุสานกระบี่ิญญาส่งเสียงกังวาน
ส่วนอีกฟากหนึ่งของูเา แม้แต่กระบี่ประจำกายของคนสกุลเกา หรือกระทั่งมีดทำครัวที่พ่อครัวใช้ก็ยังสั่นะเืราวกับส่งเสียงตอบรับ
สายหมอกที่ก่อตัวขึ้นจากซากกระบี่ิญญาและดาบใหญ่ของนักรบกระดูกก็ลอยขึ้นไปบนนภา ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาววูบไหว กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับดาวตก ก่อนจะพุ่งเข้าไปในสายหมอกอย่างตะกละตะกลาม
เพียงพริบตา สายหมอกก็ถูกกระบี่ดูดกลืนจนหมดสิ้น ไป๋เสียที่อยู่เบื้องล่างมองกระบี่เล่มนั้น ยิ้มพลางกล่าวว่า “นี่แหละ กระบี่อสูรที่ข้าฝึกฝน ฉิวหมัว!”
