เพียงแค่เสี้ยววินาที มู่หรงฉือก็ได้สติกลับมาแล้วลุกขึ้นจัดสายรัดชุดให้เรียบร้อย ใช่สิ นางไม่ได้สวมชุดตัวนอกจึงรีบไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดคลุมตัวนอกออกมา
การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างสงบเยือกเย็น ไม่เปิดเผยความร้อนรนให้เห็นเลยสักนิด แต่ว่าในใจของนางกลับลนลานไปหมดแล้ว เสื้อคลุมที่ใส่ก็ยังใส่กลับด้าน
องครักษ์ ข้าหลวงที่อยู่ด้านนอกไปทำอะไรกันหมด? เหตุใดถึงปล่อยให้เขาเข้ามาได้? เหตุใดจึงไม่มีคนมารายงาน?
บุรุษผู้นี้เกินไปแล้วจริงๆ ถึงกับบุกเข้ามาในห้องนอนของนางในเวลาเช่นนี้!
ใครอนุญาตให้เขาทำแบบนี้กัน?
วูบหนึ่ง ไฟโทสะในใจของนางค่อยๆ ลุกลาม ถลึงตาจ้องเขาอย่างหงุดหงิด
“ท่านอ๋อง นี่เป็ห้องบรรทมของเปิ่นกง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถบุกเข้ามาได้ ขอท่านอ๋องจดจำเอาไว้ให้ดี” นางยิ้มอย่างอ่อนล้า แต่น้ำเสียงกลับทุ้มต่ำและเฉียบคม
“ห้องบรรทมของโอรส์เปิ่นหวางก็ยังเข้าออกได้อย่างอิสระ นับประสาอะไรกับตำหนักบูรพาของเตี้ยนเซี่ย?” ใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงอวี้ลอยหน้าลอยตา ในรอยยิ้มแฝงด้วยใบมีดอันแหลมคมเย็นเยียบเหมือนสายหมอก
มู่หรงฉือหายใจไม่ออก อดยอมรับไม่ได้ว่าที่เขาพูดนั้นไม่ผิดเลย เป็ความจริงทั้งสิ้น
เขาแข็งแกร่งและมีความสามารถเช่นนี้จริง!
นางกัดฟันกรอด คร้านจะเปลืองน้ำลายกับเขา จึงเดินไปที่ตำหนักใหญ่ “ท่านอ๋องมาที่นี่มีธุระอะไรหรือ?”
แต่เขากลับเดินเข้าไปด้านในตำหนักบรรทมจงใจทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
นางหมุนตัวกลับมา ฉุนกึกขึ้นมาทันที ไฟโทสะในใจพุ่งขึ้นสู่สมองอย่างรวดเร็ว เขาบังอาจนั่งบนเก้าอี้กุ้ยเฟยของนาง ทั้งยังล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจอีก!
“ลงมา!” นางเข้าไปตวาดเสียงดุ
“อย่าเสียงดัง” มู่หรงอวี้ราวกับกำลังตำหนิเด็กซุกซนคนหนึ่ง เขาเอนตัวนอนอย่างเกียจคร้าน อากัปกิริยาสบายอกสบายใจ ตาทั้งสองข้างปิดลง
“เปิ่นกงบอกให้ไสหัวลงมา!” นางโกรธจนควันออกหู ถลึงตาใส่เขา
บุรุษคนนี้แย่ลงทุกวัน กระทั่งเก้าอี้กุ้ยเฟยของนางก็ยังไม่เว้น!
เขาไม่ได้ยกเท้าขึ้น ร่างยาวของเขานอนยึดพื้นที่เก้าอี้กุ้ยเฟยของนางด้วยท่าทางเป็ธรรมชาติ ประหนึ่งว่าที่นี่คือที่นอนของเขาที่จวนหวาง
มู่หรงฉือยิ่งโกรธขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโกรธก็ยิ่งอยากจะต่อยเขาสักที นางกำหมัดแน่นจนดังกร็อบ
เพราะไม่อาจะเิอารมณ์ได้ นางก็ได้ต้องอกแตกตายอย่างเงียบๆ ไปแทน
นางเข้าไปคว้าแขนของเขา พยายามจะดึงเขาลงมา แต่ว่าร่างกายของเขาหนักขนาดนั้น วิทยายุทธ์ก็สูงส่ง นางไม่สามารถขยับตัวเขาได้เลย
ในเมื่อทนไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็ที่จะต้องทน!
นางกัดฟันกรอด ใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงูเาลูกใหญ่นี่ลงไป
ทว่า ูเาใหญ่ลูกนี้กลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด ทั้งยังแสดงท่าทางชื่นชมที่นางสะบักสะบอมกับเื่ที่ทำไม่สำเร็จ
“ใช้แรงมากกว่านี้หน่อย”
“แรงน้อยเกินไปแล้ว”
“ไปทานอาหารก่อนค่อยมา”
“หรือไม่เปิ่นหวางช่วยเ้า?”
มู่หรงอวี้กล่าววาจาเสียดสีได้น่าโมโหอย่างไร้เหตุผลด้วยท่าทางเป็ธรรมชาติ ริมฝีปากบางยังยกยิ้มน้อยๆ
มู่หรงฉือรู้สึกไม่พอใจที่ถูกเอาเปรียบ สายตาคมกริบมองไปทางเขา นางปล่อยหมัดไปยังใบหน้าที่น่ารังเกียจที่สุดในใต้หล้า ภายในหัวปรากฏเศษภาพมากมายที่แตกกระจาย
ทว่า หมัดที่ปล่อยออกไปเต็มแรงถูกหยุดเอาไว้กลางอากาศไม่อาจขยับเขยื้อน
ข้อมือของนางถูกสองนิ้วของเขาสกัดข้อมือไว้แน่น ดึงกลับไม่ได้ พุ่งต่อไปก็ไม่ได้ จึงหยุดค้างอยู่ตรงหน้าเขา
นางหงุดหงิดที่ตัวเองไร้ความสามารถ มือซ้ายที่ยังเป็อิสระจึงออกหมัดโจมตีอย่างรวดเร็วตรงเข้าไปยังที่ใบหน้าเขาของเขาทันที
ทันใดนั้น แรงจากมือที่สกัดข้อมือของนางอยู่ก็เพิ่มมากขึ้น แข็งแกร่งเป็อย่างมาก สามารถดึงนางให้เข้าไปพิงเขาทั้งตัวได้ตลอดเวลา
นางรู้สึกว่าแย่แล้ว ในยามที่ลนลานก็สูดหายใจรวมไปที่จุดตันเถียน อยากจะห้ามตนเองไม่ให้ล้มพุ่งไปข้างหน้า แต่กลับไร้ประโยชน์ สุดท้ายร่างของนางก็ล้มทับลงบนตัวของเขา
สองแขนของมู่หรงอวี้กอดรัดนางเอาไว้
ในสมองของมู่หรงฉือมีสายฟ้าวาบผ่าน ต่อมาในหัวก็ขาวโพลน
น่าเศร้าใจเหลือเกิน นางขุ่นเคืองจนไม่อาจเศร้าไปกว่านี้ได้อีกแล้ว แทบจะอยากเอาหัวชนหน้าอกของเขาแล้วตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ปล่อยเปิ่นกง!” นางดิ้นรนตามสัญชาตญาณ
“หากเ้ายังดิ้นไปดิ้นมาอีก เปิ่นหวางไม่รับประกันว่าจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้อีก” เสียงของเขาแหบพร่า ก้มลงมาที่กระดูกไหปลาร้าของนาง
“เปิ่นกงดิ้นไปดิ้นมาที่ไหนกัน?” มู่หรงฉือโกรธจนไม่สามารถพูดได้ “ยังไม่ปล่อยอีก?”
ในเวลานี้เอง ฉินรั่วเข้ามาเงียบๆ
ถึงแม้ตอนแรกที่นางเดินอยู่จะได้ยินเสียงแปลกๆ ในห้องบรรทม แต่นางก็ไม่กล้าที่จะตัดสินว่าเป็เสียงอะไร
ในตอนที่เห็นเตี้ยนเซี่ยล้มทับอวี้หวางบนเก้าอี้กุ้ยเฟย นางก็ใจนหน้าซีด ยกมือขึ้นปิดปากทันที นี่มันเื่บ้าบออะไรกัน?
ความลับของเตี้ยนเซี่ยถูกอวี้หวางล่วงรู้แล้วอย่างนั้นหรือ?
จะเข้าไปช่วยเตี้ยนเซี่ยดีหรือไม่?
มู่หรงอวี้เห็นนางบุกเข้ามาแต่กลับยืนแข็งค้างเป็ก้อนหินอยู่หน้าประตูตำหนัก ดวงตาก็เปลี่ยนมาเ็าทันที
ในที่สุดฉินรั่วก็เลือกที่จะหลบออกไป สายตาของอวี้หวางนางเข้าใจว่า : หากนางไม่ออกไป เตี้ยนเซี่ยจะตกอยู่ในอันตราย
มู่หรงฉือกำลังขัดขืนประหนึ่งน้ำเจอกับไฟอยู่จึงไม่ได้สังเกตว่ามีคนเข้ามา
แต่ไม่ว่านางจะต่อต้านอย่างไร ก็ไม่อาจผลักูเาลูกนี้ออกไปได้
เขาหัวเราะด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เปลืองแรงที่จะรัดนางเอาไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง
“จูบเปิ่นหวางสักทีแล้วจะปล่อยเ้า”
มู่หรงอวี้หัวเราะน้อยๆ ราวกับจิ้งจอกเ้าเล่ห์ อาภรณ์สีดำบนตัวยุ่งเหยิงเล็กน้อย
มู่หรงฉือถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “หาเื่พอแล้วหรือไม่?”
“ครั้งที่แล้วเ้ากัดหูเปิ่นหวาง วันนี้ให้เปิ่นหวางขบติ่งหูเ้าก็ได้”
“เช่นนั้นไม่สู้ให้เปิ่นกงกัดท่านอีกครั้งเป็อย่างไร?”
“อยากจะกัดตรงที่ใดเล่า?” มู่หรงอวี้เห็นนางมีท่าทางระมัดระวัง อารมณ์ก็เหมือนจะดีขึ้นอีก
“ท่านชอบให้คนทำร้ายหรือ?” มู่หรงฉือออกแรงผลักเขา โกรธจนแทบคลั่ง “เล่นสนุกพอแล้วหรือไม่!”
“แน่นอนว่าไม่พอ”
พูดยังไม่ทันจบ ฝ่ามือของเขาก็จับเข้าที่หลังคอของนางแล้วกดลง
ริมฝีปากสีแดงประทับเข้ามาทำให้นางใ
ซี๊ด!
อาการเจ็บจี๊ดที่หูทำให้นางถึงกับร้องซี๊ด เจ็บ!
เขาหัวเราะชื่นชมกับความฉลาดของตัวเอง ติ่งหูของนางราวกับหยกขาวที่เปราะบาง มีเืหยดหนึ่งแต้มอยู่ เหมือนกับดอกมั่นถัวถัว[1]สีแดงดอกเดียวท่ามกลางหิมะสิบลี้ งดงามเป็อย่างยิ่ง
มู่หรงฉือโกรธจนควันออกหู บุรุษคนนี้ไม่ใจแคบถึงเพียงนี้ได้หรือไม่? ก็แค่กัดเขาเมื่อครั้งก่อนเองไม่ใช่หรือ? ถึงกับมาเอาคืนแล้ว?
นางก้มหน้าลงอย่างหงุดหงิด แล้วกัดเข้าที่บ่าของเขาอย่างแรง
มู่หรงอวี้ไม่ร้องโวยวาย มือทั้งสองข้างกดร่างของนางลงเงียบๆ
นางลนลานรีบผุดลุกขึ้น เขาเองก็ไม่ได้ห้าม ทั้งยังปล่อยมืออีกด้วย
เดิมทีดวงหน้าเรียวก็มีสีแดงระเรื่ออยู่เล็กน้อย ยามนี้กลับกลายเป็สีแดงก่ำจนแทบจะมีเืหยดออกมา
มู่หรงฉือจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย ยกชาขึ้นดื่มไปถ้วยหนึ่ง ดับความร้อนรุ่มกับความอับอายทั่วทั้งร่างออกไป หัวสมองก็เหมือนจะค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น
มู่หรงอวี้นั่งอยู่ข้างกายนาง ดึงนางให้นั่งลง จากนั้นก็หยิบถ้วยชามาถ้วยหนึ่ง
นางเข้าใจความหมายของเขาจึงรินน้ำชาให้พลางแขวะเขาเสียงเข้ม “ท่านไม่กลัวว่าเปิ่นกงจะใส่ยาพิษลงในน้ำชาหรือ?”
“ตายด้วยน้ำมือสาวงาม กลายเป็ผีก็นับว่าคุ้มค่า” เขาดื่มทีเดียวหมดถ้วย ความร้อนในร่างกายค่อยๆ หายไป
“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ท่านอ๋องยังไม่ออกจากวังอีกหรือ?” นางพูดอย่างรำคาญ อยากจะให้เขาหายไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้
“จวงฉินขุนนางชั้นหยวนว่าย[2]ของกรมโยธากับกานไท่จู่หัวหน้ากรมพลเรือนตายได้อย่างไร?” เขาถามขึ้นมาตรงๆ
เสน่ห์และความอบอุ่นของแสงอาทิตย์อัสดงแผ่ขยาย ภายในตำหนักมือสลัวลง สีของท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแห่งยามค่ำคืน
ความคิดของมู่หรงฉือกระตุกเล็กน้อย นางยืนตรงหน้าเขาแต่ยังห่างจากเขาเล็กน้อย ไม่กล้ามองเขา “ท่านอ๋องเองก็สนใจการตายของพวกเขาหรือ?”
“หากเกี่ยวข้องกับฝิ่น เื่นี้ก็ไม่ใช่เื่เล็กแล้ว” ใบหน้าของมู่หรงอวี้ปราศจากการเย้าแหย่ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็เ็า “เล่าสิ่งที่เ้ารู้มาทั้งหมด”
“พวกเขาตายเพราะเสพฝิ่นเกินขนาดจริงๆ” นางลอบตื่นตระหนก เขารู้ได้อย่างไร?
ได้ข่าวจากศาลต้าหลี่หรือ?
เขาถามเสียงเข้ม “เื่นี้บางทีอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่เตี้ยนเซี่ยคิด เ้ากับเสิ่นเซ่าชิงตรวจสอบได้เื่อะไร รีบบอกเปิ่นหวางมาเร็วเข้า”
อวี้หวางที่กระทั่งเขาไท่ซานถล่มก็ยังนิ่งสงบยังจริงจังเื่ฝิ่นขนาดนี้ ในใจนางยิ่งไม่สงบ แล้วพูดสิ่งที่นางตรวจสอบมาได้ในสองวันนี้ออกมา
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้ว “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าตอนนี้พวกเ้ายังตรวจสอบไม่พบว่าเป็ผู้ใดแอบขายฝิ่นอย่างนั้นหรือ”
มู่หรงฉือพยักหน้า “หวังว่าจะพบเื่น่าประหลาดใจที่ตรอกชิงหยาง เหตุใดท่านถึงได้จริงจังกับสองคดีนี้ยิ่งนัก?”
เขาถามกลับ “ขุนนางของเมืองหลวงตายติดต่อกัน ทั้งยังเกี่ยวข้องกับฝิ่น หรือว่าเตี้ยนเซี่ยไม่คิดว่าคดีนี้น่าใ?”
เชิงอรรถ
[1] ดอกมั่นถัวถัว คือดอกลำโพงม่วง
[2] หยวนว่าย เป็ตำแหน่งขุนนางที่นอกเหนือจากตำแหน่งข้าราชการ ซึ่งตำแหน่งนี้ใช้เงินซื้อมา ตำแหน่งหยวนว่ายจึงกลายเป็ตำแหน่งงานว่างๆ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการสอบคัดเลือก แต่จะเกี่ยวข้องกับการเงินและต้องออกเงินบริจากให้กับราชสำนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้