เหยาเชียนเชียนกระแอมเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงข้างกาย เป็เพียงแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ทว่าครั้งนี้เกินไปหน่อยกระมัง คนมากมายกำลังจับตาดูอยู่ เขาไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนบ้างเลยหรืออย่างไร?
“เปิ่นหวังปลูกดอกไห่ถังเหล่านี้ในจวนหลายๆ ต้นน่าจะดี” เป่ยเหลียนโม่กล่าวเบาๆ “ดอกสีแดง ดอกสีขาว ให้มันผลิบานไปทั่วทั้งจวนอ๋อง ไม่ว่าหวังเฟยจะเดินไปที่ใดล้วนมองเห็นได้”
เหยาเชียนเชียนยิ้มอย่างสุภาพทว่ายังคงหลงเหลือร่องรอยความกระอักกระอ่วน เขากล่าวเองไม่ใช่หรือว่าชอบดอกไห่ถัง เหตุใดจึงกล่าวราวกับว่านางเป็ฝ่ายอยากชื่นชมทัศนียภาพนั้นเสียเอง ความจริงแล้วนางแยกดอกไห่ถังกับดอกโบตั๋นไม่ออกเสียด้วยซ้ำ
“หากท่านอ๋องทรงโปรดปรานจริงๆ เช่นนั้นปลูกไว้ในสวนหลายๆ ต้นก็ดีนะเพคะ” เหยาเชียนเชียนเอ่ยแนะนำอย่างกระตือรือร้น
“แขวนเถาองุ่นไว้ใต้ระเบียงทางเดินสักสองสามเถา เมื่อถึงฤดูร้อนก็จะเป็สีเขียวขจี อีกทั้งยังออกผลให้รับประทานอีกด้วย หากท่านอ๋องอยากชื่นชมทัศนียภาพ ดอกของต้นทับทิมก็สวยงามเช่นกัน ทั้งยังออกผลให้ท่านอ๋องได้อีกมากมาย”
ถ้อยคำพรรณนาดอกไม้ในคราแรกกลายเป็การปลูกผักผลไม้ไปเสียแล้ว ชิงผิงอ๋องหน้าแข็งเกร็ง พลันไร้ซึ่งความคิดใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นจึงหันไปดื่มสุราของตน
เหยาเชียนเชียนปิดปากอย่างน้อยอกน้อยใจ เขาอยากหรือไม่อยากให้นางมีความสุขกันแน่ เมื่อครู่ที่ถามนางเป็เพียงคำถามที่ถามพอเป็พิธีเท่านั้นหรือ คำแนะนำทุกอย่างเขากลับไม่ยอมรับไปเลย ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาถามนางอีกแล้ว
“ได้ยินมาว่าพระชายาของชิงผิงอ๋องมีฝีมือการดีดฉินเป็เลิศ” ซ่งอีอียืนขึ้น นางยิ้มแฝงนัย “ไม่ทราบว่าวันนี้หม่อมฉันจะพอมีวาสนาได้ฟังหวังเฟยดีดฉินสักบทเพลงหรือไม่?”
ดีดฉินหรือ...
เหยาเชียนเชียนหันหน้ามองไปยังเป่ยเหลียนโม่ นางไม่รู้จริงๆ ว่าเ้าของร่างเดิมจะมีความรู้ความสามารถรอบด้านเช่นนี้ ทั้งเย็บปักถักร้อยทั้งดีดฉิน และดูเหมือนว่าจะเก่งกาจเสียด้วย
“ท่านอ๋อง” นางกระซิบถามเป่ยเหลียนโม่ “หม่อมฉันไม่ดีดได้หรือไม่เพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่มองนางด้วยแววตาสงสัย “เหตุใดจึงไม่ดีดเล่า”
เพราะนางดีดไม่เป็น่ะสิ เหยาเชียนเชียนขมขื่นในใจ แต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปตรงๆ ได้ นางอ้ำอึ้งอยู่นานจนสุดท้ายทำได้เพียงยืดคอและกล่าวว่า “ก็เพราะไม่อยากดีดเพคะ”
สายตาของเป่ยเหลียนโม่ฉายแววประหลาดใจหลายส่วน นางกำลังอ้อนเขาอยู่หรือ?
ไม่อยากดีด เหตุผลนี้ช่างน่ารักอย่างตรงไปตรงมา ชิงผิงอ๋องกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่อยากดีดก็ไม่ต้องดีด กลับไปค่อยดีดให้เขาฟังคนเดียวพอ
“หลายวันก่อนหน้านี้มือของหวังเฟยได้รับาเ็ ยามนี้ยังไม่หายดี ดังนั้นวันนี้คงต้องทำให้ทุกคนผิดหวังแล้ว เพราะฉะนั้นปล่อยผ่านไปเถิด”
ซ่งอีอีลอบกำผ้าเช็ดหน้า เื่นั้นนางย่อมได้ยินมาแล้วเช่นกัน ทว่านี่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว เพียงแค่ตุ่มพุพองไม่กี่ตุ่มเท่านั้น กระทั่งต้องรักษาอย่างจริงจังเพียงนั้นเชียวหรือ?
ชิงผิงอ๋องไม่ควรให้ความสนใจนางเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าคนที่เหยาเชียนเชียนรักคือองค์ชายสาม และเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้ ทว่าเหตุใดถึงยังปกป้องนางต่อหน้าทุกคนอีก หรือท่านอ๋องหลงเสน่ห์ของเหยาเชียนเชียนเข้าแล้วจริงๆ?
“อีอีบุ่มบ่ามเกินไป เพียงเพราะชื่นชมในตัวหวังเฟย ดังนั้นจึงได้เสนอเช่นนี้ หวังเฟยโปรดอย่าถือสาอีอีเลยนะเพคะ”
เหยาเชียนเชียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวขอตนโปรดอย่าถือสา ทว่าสายตากลับลอบมองเป่ยเหลียนโม่ ความคิดในนั้นไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัดเจน
นางไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ แต่ดูจากท่าทางของชิงผิงอ๋องแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจในตัวคุณหนูซ่งผู้นี้ ดังนั้นนางจะยืนหยัดเป็โล่ให้เขาอย่างไม่ลังเลใจ
“ท่านอ๋องสงสารเปิ่นหวังเฟย ควรเป็เปิ่นหวังเฟยที่ต้องกล่าวขอโทษคุณหนูซ่งถึงจะถูกต้อง”
เหยาเชียนเชียนหันไปยิ้มให้เป่ยเหลียนโม่ ในสายตาของซ่งอีอีแทบจะเห็นคำว่า ‘จิ้งจอก’ ตัวใหญ่ๆ อยู่ในนั้น สตรีผู้นี้ต่อหน้าองค์ชายสามทำเป็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง บัดนี้ได้อภิเษกสมรสกับชิงผิงอ๋องแล้ว แต่ก็ยังสามารถยิ้มแย้มได้อย่างเปี่ยมไปด้วยรักและเสน่หาเช่นนี้
นิสัยเรียกร้องความสนใจของเหยาเชียนเชียนผู้นี้เป็ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัด เพียงแต่ซ่งอีอีไม่ชอบใจที่ท่านอ๋องถูกสตรีผู้นั้นทำให้ลุ่มหลงหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นธาตุแท้ของนาง
ทันใดนั้นร่างในอาภรณ์สีเหลืองทองก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูตำหนัก ส่งผลให้ฮุ่ยเฟยั์ตาวาววาบ รีบลุกขึ้นคำนับ
“ฝ่าาเสด็จมาได้อย่างไรเพคะ?”
ฮ่องเต้โบกมือเบาๆ และกล่าวบอกทุกคนว่าไม่ต้องมากพิธีรีตอง เขาเหลือบตามองเป่ยเหลียนโม่ก็พลันรู้สึกแปลกใหม่ เขาก็ได้ยินมาเช่นกันว่าวันนี้เ้าสี่จะมาร่วมงานด้วย ปีก่อนๆ เป่ยเหลียนโม่รำคาญงานเลี้ยงประเภทนี้มาก วันนี้เกรงว่าคงจะเป็เพราะเหยาเชียนเชียนกระมัง
“นั่งลงเถิด” เขาพินิจมองไปรอบๆ และพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “วันนี้ครึกครื้นกว่าปีที่แล้วมาก โม่เอ๋อร์”
เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นคำนับ “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
“เจิ้นไม่ค่อยพบเ้าในวังหลวงบ่อยนัก และยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงในงานเลี้ยงร้อยบุปผานี้ซึ่งเป็งานที่เ้าไม่ชื่นชอบมาโดยตลอด วันนี้ช่างหาได้ยากนัก”
ฮุ่ยเฟยแย้มยิ้ม นางนั่งอยู่ข้างกายฮ่องเต้และกล่าวหยอกล้อทั้งสองคนว่าเป็คู่สามีภรรยาตัวน้อยที่รักใคร่กันยิ่งนัก ท่านอ๋องมาร่วมงานได้เพราะพระชายา
ฮ่องเต้พยักหน้า เป็เช่นนั้นโดยแท้ เขาเห็นว่าดวงตาของบุตรชายผู้นี้มีความอ่อนโยนมากขึ้นหลายส่วน บางทีเ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต้องกล่าวว่าไม่ถือเป็เื่ดีอะไร ในฐานะเ้าเหนือหัว ข้อห้ามสูงสุดคือห้ามให้ผู้อื่นมีอิทธิพลเหนือหัวใจของตนเอง ดูท่าว่าชายาชิงผิงอ๋องผู้นี้เขาจะเลือกมาได้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“ฝ่าา” ซ่งอีอีก้าวไปคุกเข่ากลางตำหนัก “หม่อมฉันอยากเต้นรำถวายสักบทเพลงเพคะ เป็การถวายแด่เหนียงเหนี่ยงและฝ่าาเพคะ”
“ดี” ฮ่องเต้พยักหน้า “หากเต้นรำดี เจิ้นมีรางวัลมอบให้”
เหยาเชียนเชียนกลืนขนมในปากอย่างยากลำบาก มีการมอบรางวัลด้วยหรือ ไม่ว่าอยู่ที่ใด คนที่มีความรู้ความสามารถหลากหลายย่อมขอรางวัลจากผู้าุโได้เสมอ
ถ้ากลับไปนางจะไปหาอาจารย์สักคน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาส่ชิงรางวัลใดๆ ไปแม้แต่โอกาสเดียว
คุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดีย่อมได้รับการสั่งสอนอย่างประณีตมาั้แ่ยังเล็ก กระทั่งเหยาเชียนเชียนซึ่งเป็คนที่ไม่รู้ทักษะใดๆ เลย ก็ยังรู้สึกว่าสตรีผู้นี้เต้นรำได้งดงามยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเอว่ล่างฝึกซ้อมมานานเท่าไร หรือว่ากระดูกของนางแข็งเกินไปหรือ?
“งดงามหรือไม่?” เป่ยเหลียนโม่เอ่ยถามเสียงเรียบ
เหยาเชียนเชียนพยักหน้ายอมรับ นั่นย่อมงดงามเป็ธรรมดา เขาไม่เห็นหรือว่าฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรโดยไม่ละสายตาเลย
“ดูเหมือนว่าหวังเฟยจะสนใจผู้คนหรือสิ่งที่ไม่ใช่เปิ่นหวังเป็พิเศษ กระทั่งการแสดงเต้นรำยังสามารถทำให้หวังเฟยรับชมได้อย่างเพลิดเพลิน ระหว่างทางมาเมื่อครู่หวังเฟยไม่แม้แต่จะมองเปิ่นหวังตรงๆ ด้วยซ้ำ”
ใบหน้าของเหยาเชียนเชียนฉายแววสงสัย นี่มันคำพูดหาเื่แบบใดอีกเล่า หากเขาเต้นรำนางก็จะตั้งใจดูเช่นนี้เหมือนกัน เขาก็ลองไปเต้นรำดูสิ
“ท่านอ๋อง คุณหนูซ่งทุ่มเทความสามารถเช่นนี้ ถ้าหม่อมฉันไม่ดูจะถือเป็การเสียมารยาทนะเพคะ”
“ผู้ที่สามารถแสดงต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ได้ย่อมต้องทำงานหนักมากขึ้น หวังเฟยจะเฝ้าดูทุกคนหรือ?”
ก็ใช่น่ะสิ เหยาเชียนเชียนพยักหน้า มองพวกเขาร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนานย่อมดีกว่าต่างคนต่างมองหน้ากันกับเขาอยู่แล้ว
เป่ยเหลียนโม่ลอบขบฟัน ทว่ายังคงรักษาใบหน้าอย่างเป็ธรรมชาติไว้ได้
เมื่อการแสดงเสร็จสิ้น หน้าผากของซ่งอีอีประดับเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง แม้จะคุกเข่าไปทางฮ่องเต้อย่างเคารพนบนอบ ทว่าสายตากลับเหลือบมองไปทางเป่ยเหลียนโม่ นางฝึกฝนการเต้นรำนี้มาเป็เวลาหลายวัน แม้จะรู้ว่าปีก่อนๆ ชิงผิงอ๋องไม่เคยเข้าร่วมงาน ทว่านางยังคงกอดความหวังเอาไว้
และก็เป็ไปตามคาด ์เข้าข้างนาง ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้แสดงการเต้นรำนี้ให้ท่านอ๋องทอดพระเนตรแล้ว
“เสด็จพ่อ” เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นยืน “ลูกอยากรำกระบี่ถวายแด่เสด็จพ่อ ในปีก่อนหน้าลูกเอาแต่ใจเกินไป ครั้งนี้ถือเป็การชดเชยความผิดต่อเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวว่าชดเชยความผิดก็ดูหนักหนาเกินไป ทุกคนล้วนรู้ว่าชิงผิงอ๋องไม่ชื่นชอบงานเลี้ยงน่าเอือมระอาเหล่านี้ ฮ่องเต้แย้มยิ้มพลางพยักหน้า นี่เป็ครั้งแรกที่บุตรชายผู้นี้เป็ผู้ริเริ่ม้าจะแสดงฝีมือด้วยตัวเอง
เขาทั้งดีใจทั้งเป็กังวล ด้วยเกรงว่าครั้งนี้บุตรชายคงจะไม่ได้ตั้งใจแสดงให้เขารับชมจริงๆ อย่างปากว่า
เป่ยเหลียนโม่รับกระบี่ยาวมาจากมือของข้าหลวง เขาอยู่ในค่ายทหารมานานจึงมีไอสังหารเย็นเยือกสายหนึ่ง เพียงยืนถือดาบเฉยๆ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองแล้ว
ทุกกระบวนท่าดุจเมฆาล่องลอยสายธารไหลริน [1] แม้ว่าเจตนาฆ่าจะถูกยับยั้งเพื่อการรับชม แต่ก็ยังทำให้ผู้คนเกรงขาม ชั่วขณะหนึ่งเสียงเดียวในวังทองคำคือเสียงที่เย็นและแหลมคมของกระบี่ยาวที่ตัดผ่านอากาศ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรสักคำ
ในขณะที่ทุกคนกำลังรับชมอย่างจริงจังและตั้งใจ เหยาเชียนเชียนกลับรู้สึกได้ถึงความพิถีพิถันแทรกอยู่ในความองอาจห้าวหาญนั้น
จะว่าอย่างไรดี ราวกับว่าเป่ยเหลียนโม่เป็นกยูงที่กำลังพยายามรำแพนหางตัวหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนล้วนชื่นชมในเสน่ห์ของเขา แต่นางกลับสังเกตเห็นร่างกายของเขาราวกับกำลังร้องขอนกยูงตัวเมียอย่างภาคภูมิใจ
ความคิดนี้ทำให้เหยาเชียนเชียนอยากจะหัวเราะ เมื่อเป่ยเหลียนโม่หยุดและมองไปทางนางจากหางตาของเขา จึงทันได้เห็นรอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาของนาง
เป็เพราะเขาเต้นรำได้ดีมากจนทำให้นางลุ่มหลงโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงเผยให้เห็นรอยยิ้มหวานหยดอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
ชิงผิงอ๋องยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาเดินกลับไปยังที่นั่งอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นว่าเหยาเชียนเชียนยังคงยิ้มอยู่ก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอย่างอดไม่ได้
พวกเขาทั้งคู่ยิ้มอะไรอยู่ไม่มีผู้ใดทราบได้ ซ่งอีอีเห็นเพียงใบหน้าเ็าของชายหนุ่มมาเสมอ ทว่ายามนี้ใบหน้าเขากลับประดับรอยยิ้มบางเบา ราวกับบัวหิมะที่ผลิบานรับกับสายลมบนูเาน้ำแข็ง ช่างสูงส่งและภาคภูมิใจ ชวนให้ผู้คนที่ได้มองไม่อาจละสายตาไปได้
ระบำกระบี่เมื่อครู่ การร่ายรำทุกท่วงท่าของเป่ยเหลียนโม่นางล้วนจดจำไว้ในใจ เมื่อครู่นางแสดงระบำหนึ่งบทเพลง จากนั้นเขาก็ขอแสดงระบำกระบี่ต่อจากนาง เป็ไปได้หรือที่เขาจะไม่สนใจในตัวนางเลยแม้แต่น้อย
นางได้รับการอบรมอย่างประณีตจากผู้เป็พ่อมาั้แ่ยังเล็ก เป้าหมายของซ่งอีอีคือองค์ชายทุกพระองค์ ทว่าในหมู่องค์ชายเ่าั้ นางเอนเอียงไปทางเป่ยเหลียนโม่ แต่กลับไม่อยากกำจัดเหยาเชียนเชียนทิ้งระหว่างทาง
ในเมื่อยามนี้ท่านอ๋องก็สนใจในตัวนางเช่นกัน เช่นนั้นนางก็ควรแย่งชิงมาเพื่อตนเองสักครั้ง
“ฝ่าา” ซ่งอีอีคุกเข่าลงด้านข้าง “หม่อมฉันหลงรักชิงผิงอ๋องมาั้แ่ยังเล็ก ท่านอ๋องยกทัพจับศึกในสนามรบเพื่อเป่ยจิ้ง เป็วีรบุรุษในใจของหม่อมฉันมาเนิ่นนาน วันนี้หม่อมฉันเรียนขอฝ่าาตัดสินพระทัย และโปรดท่านอ๋องเห็นแก่ความรักของหม่อมฉัน สู่ขอหม่อมฉันเข้าจวนเพื่ออยู่เคียงข้างกันด้วยเถิดเพคะ”
เหยาเชียนเชียนเบิกตาโพลง นางประเมินสตรีในยุคนี้ต่ำไปมากจริงๆ กระทั่งกล้าขอสมรสพระราชทานต่อหน้าธารกำนัลด้วย แม้ไม่ได้กล่าวต่อเป่ยเหลียนโม่ด้วยตนเอง แต่ดูท่าว่ายามนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกันตรงไหน
หากเป่ยเหลียนโม่ไม่ยินยอม ฮ่องเต้ก็คงไม่บังคับเขากระมัง?
เมื่อคำกล่าวนี้ออกมาส่งผลให้ทุกคนตื่นตะลึง สายตาของทุกคนล้วนมองไปยังสองสามีภรรยาโดยไม่รู้ตัว กระทั่งเป่ยเหลียนโม่เองก็เหลือบมองไปยังเหยาเชียนเชียนเช่นกัน
นี่เกือบจะเป็ปฏิกิริยาตอบสนองโดยไม่รู้ตัวของเขา อยากรู้เหลือเกินว่าสตรีผู้นี้มีความคิดเห็นอย่างไร แต่เขาเห็นเพียงท่าทางตกตะลึงอย่างไม่อาจปิดบังของนางเท่านั้น เดิมทีก็คาดเดาไม่ได้ว่านางดีใจหรือไม่
“เสด็จพ่อ ลูกมีหวังเฟยอยู่แล้ว อีกทั้งพิธีอภิเษกเพิ่งจบไปไม่กี่เดือน หากมีการสู่ขออีกครั้ง เกรงว่าจะทำให้หวังเฟยและคุณหนูซ่งได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ หากข่าวแพร่ออกไป ลูกจะไม่กลายเป็คนมากรักหลายใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยเหลียนโม่คุกเข่าลง “ขอเสด็จพ่อทรงไตร่ตรองให้ดี และขอบคุณคุณหนูซ่งสำหรับความรักนี้”
นี่เป็การปฏิเสธที่ค่อนข้างอ้อมค้อมแล้ว เหยาเชียนเชียนกระจ่างในทันที เป่ยเหลียนโม่ไม่ได้อยากสู่ขอซ่งอีอีจริงๆ ในเวลานี้ก็ควรจะเป็คราวของนางยืนขึ้นกล่าวอะไรบ้างแล้ว
“เสด็จพ่อ ระยะนี้ท่านอ๋องการงานรัดตัว และไม่อาจแบ่งความสนใจมายังเื่นี้ได้ เดิมทีหม่อมฉันควรจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่านอ๋อง แต่ก็ไม่กล้ารบกวนท่านอ๋องด้วยเหตุผลนี้ หากเสด็จพ่อจะตำหนิหม่อมฉันด้วยเหตุผลนี้ เช่นนั้นหม่อมฉันไม่มีคำใดจะกล่าว และยินยอมรับโทษเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สิ่งที่เขากลัวที่สุดไม่ใช่การที่พ่อของเขาเห็นด้วย แต่กลับเป็ผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ เขาจะพยักหน้าอย่างมีความสุข ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และอยากจะบีบคอนางจนตาย
“ฝ่าา ท่านอ๋อง” ซ่งอีอีก้มหน้าด้วยสีหน้ามุ่งมั่นทั้งน้ำตาอาบแก้ม “หม่อมฉันไม่กล้าคิดถึงตำแหน่งหวังเฟย หม่อมฉันแค่อยากอยู่เคียงข้างพระองค์ คอยซื้อเสื้อผ้าและรับใช้ ขอเพียงได้เห็นพระองค์ทุกวันหม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ”
นางคุกเข่าลงและกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “หม่อมฉันยินดีเป็อนุเพคะ หม่อมฉันจะคอยปรนนิบัติหวังเฟย โปรดท่านอ๋องเมตตาด้วย”
เชิงอรรถ
[1] เมฆาล่องลอยสายธารไหลริน เป็การอุปมาว่า กระทำได้อย่างเป็ธรรมชาติ
