ฮูอวี่ะโเสียงดังด้วยความโมโห
"เฉินเฟิง! ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ปี้ตี้กรุ๊ป ไม่ใช่ที่ให้แกมาทำกร่างได้นะเว้ย"
เฉินเฟิงแคะหูและแสยะยิ้มด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
"ใครที่ไหนมันปล่อยหมาจรมาเห่าแถวนี้? อยากเตะขาที่สามมันให้หักไปจริงๆ"
ฮูอวี่สะดุ้งเอามือกุมเป้าด้วยความใ เขากลัวว่าจะโดนเฉินเฟิงซ้ำแผลเดิม รองผู้อำนวยการฮูเจิ้นอวี่เห็นลูกชายถูกเฉินเฟิงกดขี่ข่มเหงเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธแค้นแทนลูกตัวเอง
"เฉินเฟิง! อย่าคิดว่าแค่บริจาคเงินให้มหาลัยแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ ทั้งคุณกับหลิ่วอีอีไม่เข้าเรียนมาเวลาหลายวันแล้ว ทางมหาลัยจึงไม่ได้จัดเตรียมสถานที่ฝึกงานสำหรับพวกคุณ แต่เสี่ยวอวี่กำลังเข้าฝึกงานที่ปี้ตี้กรุ๊ปั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ความแตกต่างระหว่างพวกคุณจะยิ่งกว้างขึ้น แค่ถูกหวยไม่กี่สิบล้านไม่ใช่เื่น่าอวด ดูจากที่คุณเทเงินเลี้ยงเพื่อนร่วมรุ่นเป็บ้าเป็หลัง คุณคงใช้เงินจนหมดในไม่ช้านี้แน่" ฮูเจิ้นอวี่พูดจาราวกับอยู่เหนือกว่าเขา แล้วยังใช้ตำแหน่งข่มขู่และว่ากล่าวเฉินเฟิงด้วยถ้อยคำรุนแรงด้วย
ทว่า
เฉินเฟิงกลับเมินเขาอย่างสิ้นเชิง เฉินเฟิงทำเพียงหันหลังเดินจากไป เพราะไม่มีคำพูดใดรุนแรงกว่าการเมินเฉย
"เฉินเฟิง ถ้าคุณไม่ฝึกงาน คุณก็รับปริญญาไม่ได้" ฮูเจิ้นอวี่รู้สึกมีน้ำโห เขาจ้องมองแผ่นหลังเฉินเฟิงไม่วางตาพร้อมพ่นคำขู่
"มีปัญญาก็เอา ไม่ต้องให้ใบปริญญาผมก็ได้ ความสามารถของผม เฉินเฟิงคนนี้ แค่ปริญญาใบเดียวพิสูจน์ไม่หมดอยู่แล้ว
อีกอย่าง ใครหน้าไหนบอกว่าผมไม่มีที่ฝึกงาน เดี๋ยวผมเปิดบริษัทเองเข้าฝึกงานเอง ทำไมจะไม่ได้?" เฉินเฟิงหันกลับไปมองพ่อลูกสกุลฮู เขาพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
ท่าทางสบายๆ ไม่แยแสของเขาดูมีพลังกว่าการเพิกเฉย พ่อลูกสกุลฮูถึงกับอับจนคำพูด
วันนี้เป็วันที่สำนักงานใหญ่ปี้ตี้กรุ๊ปเป็ผู้นำจัดประมูลที่ดินและโครงการสิ่งก่อสร้างแทนพนักงานเมืองโม๋ตู เพราะฉะนั้น ที่นี่จึงเต็มไปด้วยเหล่าเ้าสัวผู้มาประมูลที่ดินและโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมาย
แม้ฮูเจิ้นอวี่มีฐานะเป็ถึงรองผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยโม๋ตู แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าขาใหญ่ทั้งหลายนี้ ตำแหน่งของเขาไม่ควรค่าแก่การพูดถึง เขาจึงไม่ทำตัวโดดเด่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขายังต้องใช้เส้นสายเพื่อส่งลูกชายเข้าฝึกงานที่ปี้ตี้กรุ๊ป เขาจึงต้องเข้าร่วมในฐานะตัวแทนของมหาวิทยาลัย
หลังจากปี้ตี้กรุ๊ปก่อตั้งขึ้น 3 ปี พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบการวางผังเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงมีบทบาทสำคัญในสำนักงานที่ดิน
สถานที่ประมูลเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เฉินเฟิงและหลิ่วอีอีแทบจะไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้
เช่นนั้นแล้ว เฉินเฟิงที่เพิ่งมาถึงสถานที่ประมูลจึงยังไม่มีใครให้ความสนใจ และเขาก็ได้รับป้ายประมูลเพื่อเข้าร่วมการประมูลตามปกติ
พ่อลูกสกุลฮูก็ถือป้ายประมูลเช่นกัน เขายืนห่างจากเฉินเฟิงประมาณห้าหกก้าว ส่วนท่าทางก็พร้อมบวกตลอดเวลา
ส่วนเฉินเฟิงไม่สนใจพวกเขาเลย เพราะเขาให้ความสนใจเงินทุนหนึ่งร้อยล้านในมือไปเสียหมด
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เขาเพิ่งถูกรางวัล วันนี้เขามีเงินทุนมากกว่าเดิมตั้งสี่สิบห้าสิบล้าน
แม้ว่าฮูเจิ้นอวี่จะมาประมูลในนามของมหาวิทยาลัย แต่มหาวิทยาลัยจะประมูลโครงการดีๆ อะไรได้?
สิบนาทีต่อมา การประมูลเริ่มขึ้นอย่างคึกคัก
เฉินเฟิงไม่สนใจโครงการพัฒนาที่ดินที่เหล่าเ้าสัวต่างแย่งประมูลกันอย่างร้อนแรง
ยิ่งการแข่งขันสูง เขายิ่งไม่สนใจ
เฉินเฟิงมาที่นี่เพื่อหาที่ดินแปลงสวยๆ งามๆ ที่ไม่มีใครมองเห็น
จะให้ดีที่สุดสำหรับเขาคงเป็โครงการพัฒนาที่ดินรกร้างที่ดูไร้ค่า เพราะมีแต่ที่ดินแบบนี้เท่านั้น ถึงจะแสดงความสามารถของเขาให้เป็ที่ประจักษ์
การเสนอราคาสูงๆ ให้โครงการพัฒนาที่มีความนิยมสูงแย่งกับคนอื่น ต่อให้พัฒนาได้สำเร็จ ที่ดินผืนนั้นจะกลายเป็ที่หมายตาของคนอื่น แต่ถ้าล้มเหลว พัฒนาได้ไม่ดีพอ หรือไม่ราบรื่น ก็จะกลายเป็ความอับอายติดตัวไปตลอด
ในทางกลับกัน ถ้าเขาสามารถพัฒนาที่ดินไร้ค่าให้ประสบความสำเร็จกลายเป็ที่ดินขายดีได้ การพลิกผันอย่างน่าทึ่งนี้จะส่งผลกระทบมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ เฉินเฟิงจึงนั่งมองเหล่าเ้าสัวประมูลกันอย่างดุเดือดในขณะที่เขาหาที่นั่งสบายใจเฉิบ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สถานที่ประมูลเริ่มเงียบสงบลง เพราะโครงการที่เหลือเป็โครงการที่ไม่มีใครสนใจ
พิธีกรประกาศราคาถึงสองครั้ง แต่กลับไม่มีใครเสนอราคา ทั้งที่ราคาเริ่มต้นเพียงสองล้านห้าแสนเท่านั้น
ลักษณะเป็ที่ดินขนาดห้าตารางกิโลเมตรในเขตชานเมืองโม๋ตู สำนักงานที่ดินและปี้ตี้กรุ๊ปเตรียมสร้างโครงการอสังหาฯ แถวนั้น พวกเขานำที่ดินแปลงนี้มาเข้าร่วมประมูล เพราะ้าความร่วมมือจากบริษัทอสังหาเ้าอื่นๆ
ราคาเริ่มต้นสองล้านห้าแสนคือ การประมูลสิทธิ์การพัฒนา 49%
ส่วนที่เหลือเป็ของปี้ตี้กรุ๊ป 26% รัฐบาลโม๋ตูถือครอง 25%
โชคร้ายสำหรับพวกเขาที่ไม่มีบริษัทใด้าเข้าร่วมประมูลโครงการนี้ เพราะทุกคนสังเกตเห็นว่าการประมูลก่อนหน้า ปี้ตี้กรุ๊ปและสำนักงานที่ดินจะรักษาสิทธิ์การพัฒนารวมกันอย่างน้อย 70% และประมูลสิทธิ์เพียง 30% ที่เหลือ
แต่โครงการแถบชานเมืองนี้ พวกเขากลับประมูลสิทธิ์การพัฒนาถึง 49% เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจในโครงการ
ถ้าพวกเขามั่นใจ คงจะประมูลสิทธิ์การพัฒนาแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เหมือนที่ผ่านมา
เห็นสถานการณ์แบบนี้ เฉินเฟิงยกป้ายของเขาขึ้นก่อนพิธีกรจะประกาศการว่าโครงการนี้หลุดประมูล
"ห้าล้าน! ผมขอเสนอซื้อสิทธิ์การพัฒนาทั้งหมด"
คำพูดของเฉินเฟิงเหมือนเป็การโยนก้อนหินลูกใหญ่ลงแม่น้ำ จนเกิดเป็คลื่นน้ำขนาดใหญ่
โดยเฉพาะฮูเจิ้นอวี่ที่เพิ่งประมูลโครงการพัฒนาอาคารวิทยาการคอมพิวเตอร์ในราคาสิบล้านในนามมหาวิทยาลัย เขาถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่
"ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ต่อให้โครงการพัฒนาที่ดินแถบชานเมืองนั้นจะหลุดประมูล ยังไงเขาก็ไม่ขายสิทธิ์ประมูลทั้งหมดด้วยราคาถูกๆ แบบนั้นแน่นอน"
แต่ผิดคาด ประธานปี้ตี้กรุ๊ปและหัวหน้าสำนักงานที่ดินต่างยกยิ้มอย่างมีความสุขและพยักหน้าเห็นด้วยในทันที
"ได้! ในเมื่อหนุ่มน้อยมั่นใจมากขนาดนี้ งั้นเราก็ขายสิทธิ์การพัฒนาที่เหลืออีกห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ให้เลยแล้วกัน" จางอวี่เลี่ยงดีใจเป็อย่างมาก
เดิมทีเขาไม่้าที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ั้แ่แรก แต่เป็เพราะคำสั่งจากสำนักงานที่ดิน ตัวเขาในฐานะประธานบริษัทปี้ตี้กรุ๊ป และบริษัทก็เป็กลุ่มธุรกิจที่ให้ความร่วมกับรัฐเมืองโม๋ตูตลอดมา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง
แต่เผือกร้อนก็คือเผือกร้อนวันยังค่ำ แม้ราคาสิทธิ์การพัฒนาจะต่ำขนาดไหน แต่ก็ไม่มีบริษัทอสังหาฯ ใดอยากเข้าร่วมประมูล
จนในที่สุดก็มีเฉินเฟิง ชายหนุ่มผู้โง่เขลาคนนี้ เขาถึงกับยินดีจ่ายเงินสองเท่าเพื่อประมูลสิทธิ์การพัฒนาทั้งหมด
จางอวี่เลี่ยงจะไม่ดีใจได้ยังไง?
ประธานบริษัทอสังหาฯ รายอื่นๆ ไม่คิดว่าเฉินเฟิง ชายหนุ่มคนนี้จะใช้กลยุทธ์เสนอราคาใน่เวลาสำคัญ
เขาประมูลโครงการที่ทุกคนมองข้ามในราคาที่ต่ำมาก ถึงแม้จะรู้สึกทึ่งและให้การยอมรับอยู่บ้าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
"ไอ้นี่มันลูกเศรษฐีไม่เอาอ่าว ถ้าผมเป็พ่อเขา ผมคงโกรธจนขาดใจตาย"
เดิมทีพวกเขาต่างแข่งขันกันแย่งประมูลโครงการดีที่มีความ้าสูง แต่มาตอนนี้ ทุกคนกลับพร้อมใจกันดูถูกดูแคลนเฉินเฟิงว่าเป็ชายหนุ่มไม่เอาถ่าน ใช้เงินไม่คิดหน้าคิดหลัง
