เ้าเด็กปีศาจกำลังแอบกินอาหาร
เ้าเด็กอ้วนก็กำลังหลับอยู่
เ้าเด็กหนุ่มที่ปราบพยัคฆ์นั้นกำลังนั่งใจลอย
มีเพียงอาสวินที่ตั้งใจฟังอาจารย์
ทุกสิ่งที่อาจารย์กล่าวมานั้น เขาล้วนแต่ตั้งใจจดบันทึก
ในแววตาล้วนตั้งใจและจริงจัง
ท่าทางยามตั้งใจฟังของเขานั้น ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเอาไปร่ำลือต่อ
ราชครูถือตำราเล่มหนึ่ง จากนั้นก็พูดจนน้ำลายกระเซ็น สั่งสอนเหล่าเด็กๆ
เขาไม่ชอบเป็อาจารย์ของใคร ทั้งยังไม่เคยสอนใครจริงๆ สักที
กระทั่งศิษย์ของเขา เขาก็เพียงกล่าวให้ฟังแล้วให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
อาจารย์ของเขาก็สอนเขามาเช่นนี้เหมือนกัน
ทุกหยาดหยดในชีวิตของเขานั้นก็ล้วนแล้วแต่เรียนรู้มาทีละหยด
ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีเดียวกันสั่งสอนลูกศิษย์ของตน พูดตามตรงก็คือ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้สอนอันใดเลย
แน่นอนว่าองค์หญิงน้อยคงจะไม่รู้ นางเพียงเหลือบไปเห็นเขา เห็นเด็กหนุ่มผมยาวงดงาม จ้งเยียนในชุดจีวรขาว เพียงเท่านี้นางก็ตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว
จ้งเยียนนั้นเข้ามาเติมเต็มจินตนาการของบุรุษในสมัยโบราณของนาง
ช่างงดงามจนเกินจะห้ามใจ
ส่วนฮองเฮาจ้าวนั้นก็ไม่ได้สนว่าราชครูน้อยนั้นจะร่ำเรียนจนถึงแก่นแท้ของราชครูแล้วหรือไม่ นางกลัวแค่เพียงว่าเื่ในปีนั้นจะถูกเปิดโปง นางนั้นคิดว่าราชครูย่อมต้องรู้แน่ๆ ไม่รู้ว่าเป็ไปได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้นนางก็ขอปกป้องความลับของตนเอาไว้ก่อน
นางไม่้าให้ใครกล่าวถึงความลับของนาง นางไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
กระทั่งท่านป้าที่เลี้ยงนางมาั้แ่ยังเล็ก นางยังให้ไปหาสถานที่สงบๆ เพื่อตายเสีย นับประสาอะไรกับราชครูที่ไม่รู้ว่าจะเป็มิตรหรือเป็ศัตรู
ทว่านางก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงนัก แม้ฝ่าานั้นจะหูเบา แต่ก็เอาแต่ใจ ยามมีโทสะขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทัดทาน ทว่าอารมณ์ของเขานั้นมาไวก็ไปไวเช่นกัน ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกสัก่หนึ่งก็คงจะรำพึงถึงราชครูเสียแล้ว
นางทำได้แค่ลอบส่งคนไปอย่างลับๆ
หลังกำแพงพระราชวังสูงตระหง่านนั้น องค์หญิงน้อยในอาภรณ์หรูหรากำลังนั่งฟังอาจารย์บรรยายอยู่ แม้นางจะยังชันษาไม่มาก ทว่าก็ดูคล้ายแม่นางน้อยร่างอรชรคนหนึ่งแล้ว ยามนั่งหลังตรงจับพู่กันก็ดูงดงามนัก อักษรที่นางเขียนออกมาก็ยิ่งทำให้เหล่าอาจารย์ต้องใ
“องค์หญิงช่างราวกับได้รับพรจาก์ แม้จะยังมีชันษาน้อย ทว่ากลับทรงประดิษฐ์อักษรด้วยพระองค์เองได้เสียแล้ว” อาจารย์ผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าองค์หญิงน้อย มือหนึ่งก็ลูบเครายาวสีขาวของตนเอง พร้อมด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
“ท่านอาจารย์ชมผิดแล้ว มือยามจับพู่กันของข้านั้นอ่อนแรง ความจริงก็เขียนได้ธรรมดา ท่านพ่อบอกว่าลายมือของท่านนั้นงดงามนัก จึงให้ข้ามาเรียนกับท่านให้มากหน่อย” เสียงเล็กขององค์หญิงน้อยกล่าวออกมาอย่างมีมารยาทและชัดเจนนัก ทำให้อาจารย์ผู้เฒ่านั้นฟังแล้วก็แทบจะตัวลอย
ชายชรานั้นก็นับว่าอายุมากแล้ว ในอดีตเขาก็เป็อาจารย์ของฮ่องเต้มาก่อน
ฮ่องเต้นั้นเพื่อจะแสดงถึงความสำคัญขององค์หญิงน้อยในใจ กระทั่งองค์หญิง้าคำชี้แนะก็ถึงขั้นเชิญอาจารย์ของตนมา ทว่าคำที่องค์หญิงตรัสเมื่อครู่ แน่นอนว่าย่อมต้องไม่ใช่ฝ่าาเป็คนตรัส ฝ่าาจะจำได้อย่างไรว่าอาจารย์ที่ชี้แนะตนนั้นมีลายมือเช่นไร
ในใจอาจารย์ผู้เฒ่านั้นยังคงคลางแคลงใจ ฝ่าาในความทรงจำของเขานั้นไม่นับว่าเป็คนที่ชอบชมคนอื่นนัก
ทว่าคำกล่าวขององค์หญิงน้อยก็ยังทำให้เขาเบิกบานใจนัก ใบหน้าปัญญาชนหัวโบราณของเขาที่มีริ้วรอยย่นยับมากมาย บัดนี้จึงยิ่งยับเสียยิ่งกว่าเดิม
“น้ำหนักมือยามจับพู่กันขององค์หญิงนั้นนับว่าอ่อนแอ ทว่าตัวอักษรนั้นกลับแปลกตา ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน ย่อมต้อง......”
“ย่อมต้องอันใดรึ” ฮ่องเต้เสด็จมาพร้อมผลักประตูออก พระสุรเสียงเปี่ยมพลังพลันดังขึ้น
องค์หญิงน้อยเมื่อเห็นว่าใครมาก็ะโลงจากเก้าอี้ คิดจะวิ่งไปหาเสด็จพ่อของตน แต่ก็คิดถึงคำของมารดาขึ้นมา จึงได้ลดความเร็วแล้วเดินให้ช้าลง จากนั้นก็คำนับคนตรงหน้าคราหนึ่ง “อีเหรินคำนับเสด็จพ่อเพคะ”
ฮ่องเต้ที่ยืนอยู่หน้าประตู เห็นว่าพระธิดาของตนนั้นยิ่งเติบโตก็ยิ่งงดงามจริงๆ
เด็กหญิงผมยาว ผิวพรรณขาวผ่อง ดวงเนตรกลมโต ลำคอยาวระหง สวมกระโปรงตัวเล็กลายหงส์ ยามอยู่บนร่างนางก็สะท้อนแสงวิบวับ ทว่าก็ยังไม่งดงามเท่านาง
ทั้งข้าวของรวมถึงคนราวกับล้วนถูกย่อส่วนให้เล็กลง ดูแล้วช่างน่ามองนัก
ห้าปีแล้วที่ในวังยังไม่มีเด็กคนใหม่กำเนิดขึ้น องค์หญิงจึงนับว่าได้เติบโตอย่างสงบสุขนัก
แคว้นเชินนั้นก็เป็ดั่งที่ราชครูได้กล่าวไว้จริงๆ ลมฝนล้วนปกติ ประชาราษฎร์ล้วนสงบสุข
เพียงแต่เขานั้นเคยถามราชครูว่าเหตุใดเขาจึงไม่มีบุตรธิดาอีก องค์หญิงนั้นแม้จะเป็ดาวนำโชค ทว่าคนที่จะมาสืบทอดบัลลังก์ย่อมไม่อาจเลือกองค์หญิงได้ เขานั้นยังหวังจะได้องค์ชายสักคน
หลายปีมานี้ร่างกายของเขาก็แข็งแรง เรี่ยวแรงก็มีไม่ตก แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็เช่นนี้
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้ยินมาจากที่ใดว่าตนนั้นอาจจะโดนคำสาป จึงได้มาถามราชครู
ราชครูยังคงยืนยันว่าไม่มี
ไม่คาดคิดว่าในวันหนึ่งขณะที่องค์หญิงกำลังเล่นอยู่นั้น ก็ผ่านไปเห็นอดีตฮองเฮายืนอยู่หน้าประตูตำหนักซีเหอ นางเห็นเช่นนั้นก็เป็ลมไปทันที
ในมือของอดีตฮองเฮานั้นถือหุ่นกระบอกคุณไสยอยู่ ้านั้นมีเวลาประสูติของตนเขียนอยู่
ฮ่องเต้คิดว่าอดีตฮองเฮาและราชครูสมรู้ร่วมคิดกัน จึงได้พิโรธหนัก
ในใจเขาหวาดหวั่นนัก หากไม่ใช่เพราะอีเหรินเป็ลม เขาก็คงจะยังไม่รู้เื่นี้ จึงยิ่งมั่นใจนักว่าพระธิดาของตนนั้นจะต้องเป็ดาวนำโชคอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นได้” ฮ่องเต้นั้นพอพระทัยองค์หญิงน้อยเป็ที่สุด แม้นางจะยังเล็กนัก แต่กลับรู้มารยาทเป็อย่างดี ช่างทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยนัก
“พระมารดาของเ้าสอนเ้าได้ดี” ฮ่องเต้สรวลตอบ
“หม่อมฉันได้จากทั้งพระมารดาและเสด็จพ่อเป็ผู้ชี้แนะเพคะ” องค์หญิงน้อยตอบอย่างรู้ความ
ฮ่องเต้พลันสรวลขึ้นเสียงดัง พร้อมพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความพึงพอใจ
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่กล่าวว่าอะไรรึ”
“กระหม่อมชมอักษรขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ อักษรนั้นงดงามนัก หากทรงฝึกฝนอีกสักหน่อย อนาคตคงจะเป็ที่นิยมไปทั้งใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ” ชายชรายืดหลังตรงตอบชายหนุ่มตรงหน้าตน
สถานะของปัญญาชนในแคว้นเชินนั้นสูงส่งนัก ต่างพิถีพิถันเื่การเคารพอาจารย์และการอยู่ในทำนองคลองธรรม
อาจารย์ผู้เฒ่าเคยเป็ผู้ชี้แนะให้กับฮ่องเต้ และเป็อาจารย์ของเขาเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องทำตามพิธี โดยเฉพาะในยามที่กำลังสอนอยู่
ฮ่องเต้เองก็เคยชินเสียแล้ว ทว่าเมื่อเห็นชายชราผู้หยิ่งยโสออกปากชมพระธิดาของตนด้วยใบหน้าเลื่อมใส ในใจก็พลันปวดแปลบ คิดย้อนกลับไปถึงตอนที่ตนยังเป็แค่องค์ชาย อาจารย์ไม่เคยออกปากชมเขาเลยสักครั้ง มีแต่จะชมแต่ตัวเองว่าเป็พี่ใหญ่
“อีเหรินลงแรงไปถึงเพียงนี้ อยากจะได้รางวัลอะไรรึ”
องค์หญิงน้อยทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะตอบขึ้นอย่างเอาแต่ใจ “เสด็จพ่อ ลูกเรียนหนังสือคนเดียวแล้วช่างรู้สึกอ้างว้างนัก สามารถให้จ้งเยียนมาเรียนเป็เพื่อนลูกได้หรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้พลันตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินอีเหรินกล่าวว่านางนั้นช่างอ้างว้างนัก ในใจพลันรู้สึกว่าความโกรธแค้นที่มีราชครูและอดีตฮองเฮานั้นเพิ่มเป็เท่าทวี
สตรีสารเลวนางนั้นไม่คิดเลยว่าเขาที่อุตส่าห์ไว้ชีวิต วันหนึ่งนางจะมาทำคุณไสยใส่ตนเช่นนี้
พระพักตร์ที่ขรึมลงของฮ่องเต้ผงกตอบเบาๆ
“กลับไปก็ให้ฮองเฮาจัดการแล้วกัน”
นางในที่คัดเลือกมาในปีนี้ มีนางหนึ่งเล่นหมากรุกเก่งนัก ฮ่องเต้จึงชอบไปเดินหมากกับนาง
ยามนี้จึงมาดูพระธิดาน้อยของตนสักหน่อย แล้วจึงไปหาสนมที่เชี่ยวชาญด้านการเดินหมากต่อ
องค์หญิงน้อยน้อมส่งพระบิดาด้วยท่าทางเปี่ยมมารยาท เมื่อเห็นทางที่พระบิดาเสด็จไป แววตาคู่น้อยนั้นก็พลันซับซ้อนขึ้นมา
ท่านอาจารย์ยืนอยู่ด้านหลังจึงได้แต่รู้สึกพอใจในมารยาทขององค์หญิงน้อยนัก
องค์หญิงน้อยจับพู่กันขึ้นอีกครั้ง แล้วจรดพู่กันลงไปทีละเส้นอย่างตั้งใจ
เห็นเพียงผมยาวนุ่มสลวยของนางกระจายอยู่บนแผ่นหลัง
ยามนางเคลื่อนไหวเบาๆ ปิ่นบนศีรษะก็เย้าเล่นกับแสงเป็ประกาย จึงทำให้ห้องเรียนที่แสนกว้างใหญ่นั้น บางคราก็มีแสงกะพริบขึ้นมา
.......
ในห้องที่ไม่ใหญ่นัก ราชครูยังคงกอดตำราเล่มหนึ่งไว้ และบรรยายตำราด้วยน้ำเสียงเป็จังหวะ ในห้องเรียนจึงมีเสียงหายใจทั้งสูงบ้างต่ำบ้างดังขึ้นพร้อมกัน
เสียงนั้นก็คือเสียงของเสี่ยวอู่และเฉินโย่ว เด็กสองคนได้ผล็อยหลับไปเสียแล้ว
โดยเฉพาะเสี่ยวอู่ที่หลับสบายนัก กระทั่งเสียงกรนก็ดังขึ้นมาแล้ว
ส่วนเฉินโย่วนั้นก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าใด น้ำลายเป็สายหยดลงบนสมุดใหม่เอี่ยมของนางจนชื้นเป็ดวง ผมชี้โด่ชี้เด่ของนางก็แนบราบไปกับสมุดนั้นเสียแล้ว