“หากไม่มีคนบอกข้าเื่นี้ ข้าก็จะเหมือนอยู่แต่ในกลอง ชีวิตข้านี่มันมีราคาแค่เครื่องในหมูหรือไร หน้าแก่ๆ ของข้าถูกเ้าทำเสียหน้าไปหมดแล้ว!”
“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ท่านอย่าโกรธเลย นั่งลงพักก่อนเถิด”
“มีลูกเวรเยี่ยงเ้า ข้าจะไม่โกรธได้หรือ! ปกติก็เห็นเ้าฉลาดนัก เหตุใดเื่ใหญ่โตเพียงนี้จึงได้โง่งมนัก”
คนขายเนื้อแซ่จางพยายามขอโทษบิดาอย่างสุดกำลัง “ท่านพ่อ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปส่งเนื้อให้บ้านหลี่”
ตาเฒ่าจางเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างคราวหนึ่ง ลูกสะใภ้ของเขาต้องคอยแอบฟังอยู่ที่นั่นเป็แน่ แต่แรกนั้นไม่ควรแต่งหญิงผู้นี้เข้าบ้านตามใจบุตรชายเลย พลันหอบหายใจด้วยโทสะตวาดไปว่า “เ้าจะไปส่งเนื้ออันใด ยังจะเป็เครื่องในหมูนั่นรึ?”
“ก็ต้องเป็เนื้อหมูสิขอรับ เป็เนื้อหมูที่ดีที่สุด”
ตาเฒ่าจางถลึงตากล่าวว่า “ฟังให้ดี วันพรุ่งนี้เ้าต้องไปส่งซี่โครงหมูครึ่งโครง ยังมีไก่สองตัว และไข่ไก่หนักยี่สิบตำลึงที่บ้านตระกูลหลี่”
สองสามเดือนก่อน หลี่หรูอี้ช่วยชีวิตตาเฒ่าจางเอาไว้และยังสั่งยาให้เขาโดยไม่คิดค่ารักษา ไม่เก็บเงินสักอีแปะ
ตาเฒ่าจางไปพักรักษาตัวที่เรือนของบุตรสาวที่ต่างหมู่บ้าน ก่อนจะไปก็บอกกับคนขายเนื้อแซ่จางซึ่งเป็บุตรชายของตนว่า ให้ส่งของกำนัลอย่างดีให้บ้านตระกูลหลี่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขา
ครั้งนั้นบุตรชายก็รับปากอย่างดี ผู้ใดจะรู้ว่าภรรยาของคนขายเนื้อแซ่จางค้านหัวชนฝา ไม่ยอมให้เอาเนื้อหมูไปให้ คนขายเนื้อแซ่จางจึงได้แต่เอาเครื่องในหมูไปมอบให้ที่บ้านหลี่แทน
หลายวันก่อน ตาเฒ่าจางเพิ่งกลับมาจากต่างหมู่บ้าน และถามคนขายเนื้อแซ่จางว่า ได้ส่งของกำนัลไปให้บ้านหลี่หรือไม่ คนขายเนื้อแซ่จางตอบอ้ำๆ อึ้งๆ บอกแค่ว่า ให้แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าเอาอะไรไปให้ ตาเฒ่าจางคิดว่าบุตรชายเป็คนซื่อคงไม่กล้าโกหก เขาจึงไม่ได้สนใจ
นั่นประไร ตอนที่ตาเฒ่าจางไปคุยกับชาวบ้านเมื่อครู่ ชาวบ้านจึงพากันเอ่ยทำนองเย้ยหยัน เขาซักไซ้เอากับตาเฒ่าสองคน จึงได้รู้ว่าบุตรชายไม่เคยนำเนื้อหมูดีๆ ไปส่งให้บ้านหลี่เลยแม้สักตำลึง แต่กลับเอาเครื่องในหมูที่ไม่มีคนเอาไปมอบให้กับบ้านหลี่
ตาเฒ่าจางเป็คนรักษาหน้าตาอย่างยิ่ง ทั้งรู้สึกขอบคุณบ้านหลี่ด้วยใจจริง ครานี้จึงโมโหมาก ว่าแล้วก็กลับบ้านมาทันที และด่าทอบุตรชายอย่างเกรี้ยวกราด
คนขายเนื้อแซ่จางถูกด่าทอก็รู้สึกโมโหภรรยาอยู่ลึกๆ ที่นางเห็นแก่เงิน จึงทำได้เพียงรับปากกับเฒ่าจางไปว่า “ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจะไปซื้อไก่ ซื้อไข่ไก่ขอรับ”
“ตามหลักแล้วข้าควรไปที่บ้านหลี่ด้วยตนเองสักคราว แต่ข้าไม่มีหน้าจะไปพบ หน้าตาแก่ๆ ของข้าถูกเ้าทำเสียหายหมดแล้ว ยิ่งคิดว่าข้าอยู่อย่างสง่าผ่าเผยมาทั้งชีวิต แก่แล้วยังไม่พอ ชื่อเสียงที่มียังถูกลูกเวรเช่นเ้าทำลายจนป่นปี้ ข้าไปก่อเวรกรรมอันใดเอาไว้!” ตาเฒ่าจางโมโหจนใบหน้ากลายเป็สีแดงก่ำ
คนขายเนื้อแซ่จางรีบยกน้ำชาให้ตาเฒ่าจางดื่ม
“ครั้งที่ข้าไปเมื่อหลายเดือนก่อน หมอเทวดาน้อยยังไม่มีชื่อเสียงมากเช่นนี้ เวลานี้มีคนรู้จักหมอเทวดาน้อยตั้งมากมายแล้ว เ้านี่มันโง่เขลา หากฟังคำข้าก็จะได้ผูกมิตรกับตระกูลหลี่ได้ตั้งนานแล้ว วันหน้าหากเจ็บป่วยอันใด ก็จะขอให้หมอเทวดาน้อยช่วยรักษาได้ทันที”
“ขอรับ”
“เฮ้อ... ใกล้จะปีใหม่แล้ว ข้าพูดคำเช่นนี้ไม่เป็มงคล แต่คนเราก็ต้องเจ็บป่วยเป็ธรรมดา อย่าว่าแต่ชาวบ้านอย่างพวกเรา ต่อให้เป็ฮ่องเต้ก็ยังต้องล้มเจ็บ หนีไม่พ้นแต่อย่างใด”
“บ้านหลี่สนิทสนมกับพวกเราดียิ่ง ตระกูลหลี่ยังเคยให้เต้าหู้ข้าเลย”
ตาเฒ่าจางได้ฟังก็ยิ่งไม่พอใจ ชี้หน้าด่าคนขายเนื้อแซ่จางว่า “เต้าหู้หนึ่งชั่งแพงขนาดนั้น ดีกว่าเครื่องในหมูเป็สิบเท่ายังไม่พอ เ้ายังกล้ารับของกลับมาได้หน้าด้านๆ อีก ก่อนนี้ข้าสอนสั่งเ้ามาเสียเปล่าแท้ๆ เ้าทำเช่นนี้ทำให้ชาวบ้านดูแคลน เื่หมั้นหมายของหลานชายหลานสาวข้ายิ่งเป็เื่ยากแล้ว”
“ขอรับ” คนขายเนื้อแซ่จางก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด อีกประเดี๋ยวก็ออกไปด่าทอหลิวซื่อยกหนึ่ง
หลิวซื่อไม่ยอมให้เงิน คนขายเนื้อแซ่จางจึงตบไหล่นางไปหนหนึ่ง
คนขายเนื้อแซ่จางเป็คนเชือดหมูมือจึงหนัก หลิวซื่อเ็ปจนร้องไห้และโวยวายจะกลับบ้านฝั่งมารดา
ตาเฒ่าจางบันดาลโทสะยิ่งนัก เดิมทีคนเป็พ่อปู่จะไม่มาควบคุมดูแลลูกสะใภ้ แต่เป็เพราะแม่ย่าเสียไปแล้ว ลูกสะใภ้ก็ทำการค้าไม่ได้ความ ทั้งบุตรชายก็ควบคุมนางไม่ได้ คนเป็พ่อปู่จึงจำเป็ต้องเอ่ยปากสักหน่อย
“ลูกข้า หลิวซื่อจะกลับบ้านแม่ เ้าก็ไม่ต้องรั้งนางเอาไว้ ไว้หลังปีใหม่ข้าจะไปบอกพ่อตาแม่ยายเ้าที่บ้านหลิวเองว่า หลิวซื่ออกตัญญู พ่อปู่ ขัดขวางการหมั้นหมายของลูกๆ บ้านเราไม่เอานางไว้แล้ว!”
อกตัญญูผู้ใหญ่ ขัดขวางการหมั้นหมายของบุตร เมื่อหลิวซื่อมีความผิดสองข้อหานี้ วันหน้านางก็จะอยู่ไม่เป็สุข อีกประการชื่อเสียงของสตรีที่ถูกบ้านฝั่งสามีหย่าร้างนับว่าเสียหายอย่างยิ่ง ยากจะลงเอยดีๆ ได้
แต่แล้วเมื่อหลิวซื่อได้ยินก็ว่าง่ายขึ้นมาทันที หยุดร้องไห้และรีบเอาเงินมาให้คนขายเนื้อแซ่จาง
ตาเฒ่าจางกลัวว่าหลานชายและหลานสาวจะเอาหลิวซื่อเป็เยี่ยงอย่าง จึงริบอำนาจดูแลเรือนกลับมาจากหลิวซื่อ ให้หลานสาวเริ่มดูแลเรือน เมื่อหลานสาวมีเื่ใดไม่เข้าใจก็จะมาสอบถามกับตาเฒ่าจาง
วันรุ่งขึ้น นอกจากจะนำของกำนัลไป คนขายเนื้อแซ่จางยังพาบุตรชายบุตรสาวไปที่หมู่บ้านหลี่พร้อมกันด้วย
จางจินไห่ บุตรชายคนโตของคนขายเนื้อแซ่จาง ปีนี้อายุสิบสามปี ตอนแรกนั้นเริ่มเล่าเรียนที่สำนักเล่าเรียนของจางซิ่วไฉ และเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงซงเมื่อปีก่อน
จางอิ๋นฟาง บุตรสาวคนรอง ปีนี้อายุสิบสองปี หน้าตาไปทางหลิวซื่อ ใบหน้ากลม คิ้วใบหลิว ผิวขาว ตาโต แต่มีมารยาทเรียบร้อยงดงาม
หลิวซื่อเป็หญิงหน้าตาดี อายุน้อยกว่าคนขายเนื้อแซ่จางหกปี ด้วยเหตุนี้คนขายเนื้อแซ่จางจึงรักหลิวซื่ออย่างยิ่ง ก่อนนี้จึงให้หลิวซื่อเป็คนดูแลเื่เงินทองในเรือนทั้งหมด
จางถงเจียง บุตรชายคนที่สาม ปีนี้อายุแปดขวบ รูปร่างสูง ส่วนสูงไล่เลี่ยกับจางอิ๋นฟาง ปีนี้เพิ่งเข้าเรียนที่สำนักเล่าเรียนของจางซิ่วไฉ แต่เขาเรียนอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนพี่น้องสกุลหลี่เรียนอยู่ห้องสอง
หลี่หรูอี้เห็นว่าคนขายเนื้อแซ่จางเอาของกำนัลราคาสูงมาให้ และยังพาบุตรชายบุตรสาวมาด้วย ก็รู้สึกประหลาดใจ ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เชิญคนทั้งหมดเข้าไปสนทนากันในห้องโถงใหญ่
นางจางยกถาดเข้ามาในห้องโถง ในถาดมีน้ำชาที่ใส่น้ำผึ้งสี่ถ้วย ถ้วยชาเป็ถ้วยลายครามที่คนในหมู่บ้านหลี่ไม่มีปัญญาใช้ ถ้วยชาหนึ่งใบราคาถึงสิบอีแปะทีเดียว
คนขายเนื้อแซ่จางนึกว่านางจางเป็ญาติของสกุลหลี่ แต่พอได้ยินนางจางเรียกหลี่หรูอี้ว่า คุณหนู ถึงรู้ว่าที่แท้นางเป็บ่าว จึงถามอย่างประหลาดใจว่า “หมอเทวดาน้อย เรือนของเ้าจ้างบ่าวด้วยหรือ”
หลี่หรูอี้ยิ้มบางๆ ตอบว่า “นี่คือครอบครัวบ่าวของบ้านเราเ้าค่ะ”
คนขายเนื้อแซ่จางใ เขาเคยเห็นมากับตาว่า เมื่อหลายเดือนก่อนบ้านหลี่ยากแค้นเพียงใด นี่ผ่านไปเพียงครึ่งปี สกุลหลี่ก็ซื้อบ่าวมาไว้ในเรือนแล้ว ์ เขาแทบไม่เชื่อว่านี่จะเป็เื่จริง
พี่น้องสกุลหลี่คุ้นเคยกับคนขายเนื้อแซ่จาง เมื่อได้ยินว่าเขามา จึงรีบออกจากห้องหนังสือมาพบเขาท้นที
จางถงเจียงเคยได้ยินจางซิ่วไฉชมเชยพี่น้องสกุลหลี่ที่ห้องเรียน รู้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือเก่งมาก จึงลุกขึ้นเอ่ยเสียงดังว่า “คารวะพี่ๆ สกุลหลี่ขอรับ”
“ถงเจียงก็มาด้วยหรือ”
“ดูเหมือนว่าถงเจียงจะสูงขึ้นอีกแล้ว”
สี่พี่น้องสกุลหลี่ย่อมรู้จักจางถงเจียง จึงสนทนากับเขาอย่างสนิทสนม
จางถงเจียงชี้ไปที่จางจินไห่ด้วยใบหน้าภาคภูมิว่า “นี่คือพี่ใหญ่ของข้า ก่อนนี้ข้าเคยบอกกับพวกพี่ว่า เขากำลังเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาชิงซงอย่างไรเล่าขอรับ”
จางจินไห่ลุกขึ้นหัวเราะ กล่าวทักทายกับสี่พี่น้องสกุลหลี่ ไม่ได้มีท่าทียโสแม้แต่น้อย นิสัยนี้คล้อยไปทางคนขายเนื้อแซ่จางซึ่งเป็คนค่อนข้างติดดิน
หลี่หรูอี้ถามว่า “ค่าเล่าเรียนที่สำนักศึกษาชิงซงแพงหรือไม่เ้าคะ?”
จางจินไห่ตอบว่า “หนึ่งปีอย่างน้อยยี่สิบตำลึง”
สี่พี่น้องสกุลหลี่ร้องออกมาด้วยความใเป็เสียงเดียวกันว่า “แพงขนาดนั้นเชียวรึ!”
ค่าเล่าเรียนในสำนักเล่าเรียนของพวกเขาสี่พี่น้องรวมกันแล้วยังไม่ถึงยี่สิบตำลึงด้วยซ้ำ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางจินไห่ได้ยินผู้อื่นคิดว่า ค่าเล่าเรียนที่สำนักศึกษามีราคาสูง จึงไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอันใด พลางคิดในใจว่า นี่ยังไม่รวมค่าทัศนศึกษาเลยนะ
“พี่ชายข้าสอบเข้าสำนักศึกษาชิงซงได้ด้วยความสามารถของตนเอง มิเช่นนั้นค่าเล่าเรียนต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ปีหนึ่งอย่างน้อยๆ ต้องสี่สิบตำลึงเชียว” จางอิ๋นฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจ น้ำเสียงของนางสดใสไพเราะทั้งยังมีความอ่อนโยนน่าฟังยิ่งนัก เสียงนั้นกลับเหมือนเด็กสาวทางภาคใต้
หลี่หรูอี้ถามว่า “ต้องสอบเข้าสำนักศึกษาด้วยหรือเ้าคะ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้