“คุณหนู หยางมามามิใช่ให้อยู่บนเขารอนางมารับหรือ?” เจินจิ้งหรือฉานอีวิ่งตามแผ่นหลังเบื้องหน้า พลางร้องะโ “วันนี้เพิ่งจะวันที่สอง หยางมามาก็เพิ่งไป นางคงไม่กลับมาคืนนี้แน่ ขาบ่าวใกล้จะขาดแล้ว พักก่อนได้หรือไม่”
“ใช่คุณหนู พวกเราแวะพักข้างทางสักหน่อยได้หรือไม่ มือบ่าวปวดไปหมด” ไหวเวิ่นหรือไฮว่ฮวาหยุดฝีเท้าพลางวางสัมภาระข้างทาง ก่อนโบกมือกล่าว “ไม่ไหว ๆ เดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ”
เหอตังกุยที่เดินอยู่เบื้องหน้าจึงชะงักฝีเท้า บ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “เดินไม่กี่ก้าวจะพักอีกแล้วหรือ พวกเ้าเป็สาวใช้แต่ข้าต้องแบกของหนักกว่าร้อยจินด้วยตัวเอง คำว่าเหนื่อยก็ไม่เคยพูดสักคำ พวกเ้าแทบไม่ได้ถือของหนักแต่ยังหอบหายใจถึงเพียงนี้ โอ๊ย ยังกล้าบอกว่าตนคุ้นชินกับการเดินบนเส้นทางหุบเขาอีก” แม้เหอตังกุยจะบ่นแต่ก็ยอมวางสัมภาระตามคำขอ ก่อนนั่งพักบนสัมภาระเ่าั้
ฉานอีนั่งแหมะบนโขดหิน ก่อนพูดด้วยความโมโห “พวกเราเพียง ‘เดิน’ บนูเา แต่คุณหนูเช่นเ้ากลับ ‘วิ่ง’ แม้พวกข้ามีขามากกว่านี้ก็วิ่งตามเ้าไม่ทันอยู่ดี”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมากแล้ว” เหอตังกุยปลอบใจนางให้สงบ “ยามข้าเดินในเส้นทางตรงเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วฝีเท้า เดินไปสักพักก็เผลอเริ่มวิ่ง เช่นนี้ดีหรือไม่ พวกเ้าขึ้นนั่งบนสัมภาระซ้ายขวา เดี๋ยวข้าจะลองลากพวกเ้าลงเขาดู เช่นนี้แขนขาของพวกเ้าก็ไม่ปวดแล้ว ทั้งยังประหยัดเวลาด้วย”
ไฮว่ฮวาะโ “คุณหนูพูดล้อเล่นหรือ พวกข้าสองคนหนักกว่าสัมภาระที่เ้าแบกเสียอีก เกรงว่าจะหนักกว่าสามร้อยจินกระมัง ต่อให้คุณหนูเป็สตรีของซีฉู่ปาหวังหรือฮวามู่หลานกลับชาติมาเกิดก็ไม่สามารถแบกพวกข้าลงเขาได้”
เหอตังกุยเกาคางอย่างไม่ใส่ใจนัก ยิ้มบางพลางเอ่ย “ไม่เป็ไร อีกประเดี๋ยวคอยดู ได้ก็ได้ ไม่ได้ข้าก็จะแบกของล่วงหน้าไปก่อน ค่อยกลับมารับพวกเ้า”
ไฮว่ฮวาอุทานด้วยความเหลือเชื่อ “คุณหนูไม่เพียงเดินเร็วเท่านั้น ทั้งพละกำลังยังดีอีกด้วย เ้าแข็งแรงกว่าบุรุษที่แข็งแรงที่สุดในหมู่บ้านข้าเสียอีก”
“ข้าเคยพูดกับพวกเ้าแล้วไม่ใช่หรือ นางเป็จอมยุทธ์หญิง เมื่อวานเ้าก็ไม่เชื่อข้า ตอนนี้เ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดแล้วใช่หรือไม่” ฉานอีมองเหอตังกุยด้วยความเลื่อมใส ก่อนเอ่ยถาม “คุณหนู พวกเราจะลงเขาไปที่ใดกัน? หากวันนี้หยางมามาไม่มารับ พวกเราก็จะกลายเป็คนไร้บ้านใช่หรือไม่? หรือคืนนี้พวกเราจะพักโรงเตี๊ยมในเมืองตู้เอ๋อร์?”
เหอตังกุยยกนิ้วก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “พนันกันดีหรือไม่ เมื่อถึงตีนเขาจะมีคนรอรับพวกเราสามคนที่ปากทาง หากไม่ปรากฏวี่แววของหยางมามามาในอีกครึ่งชั่วยาม พวกเ้าสามารถลงโทษข้าด้วยวิธีใดก็ได้ เป็อย่างไร?”
ไฮว่ฮวามองฉานอีด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ นางเพิ่งเคยเห็นท่าทางเป็ผู้ใหญ่ที่เปี่ยมด้วยกำลังวังชาของเหอตังกุยเป็ครั้งแรก ฉานอีครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบอย่างไม่มั่นใจนัก “พนันก็พนันสิ แม้เ้าจะฉลาดมาก แต่ตอนนั้นข้าได้ยินชัดเจน หยางมามาบอกว่าวันพรุ่งจึงจะกลับมารับคุณหนู ให้คุณหนูทำใจให้สบายรักษาตัวอยู่ในวัด... จริงสิ มือของเ้าหายดีหรือยัง? ยังคันอยู่หรือไม่?”
เหอตังกุยยกสองมือขึ้นเพื่อสำรวจ ก่อนเอ่ยเนิบนาบ “ดูจากสีผิวคงไม่เป็อะไรมากแล้วล่ะ เมื่อลงจากเขาแล้วค่อยคลายจุดชาที่ข้อศอก ปล่อยให้เืไหลเวียนไปที่แขน”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ ฉานอีก็ถอนหายใจ “สมองของคุณหนูตระกูลใหญ่พวกนั้นคิดอะไรอยู่? หากญาติของข้าเพิ่งฟื้นจากความตาย ข้าคงดีใจแทบบ้า แต่นางกลับส่งชุดที่ซ่อนหนามแหลมคมและผงคันมาทำร้ายคนอื่น หากไม่ใช่เพราะคุณหนูเจอของเ่าั้ต่อหน้าหยางมามา ข้าว่านางต้องไม่ยอมรับว่าเป็ผู้กระทำแน่นอน ไม่แน่อาจบอกว่าคุณหนูกล่าวหานางก็เป็ได้ หากพูดอีกแง่หนึ่ง หากคุณหนูกลับจวนตระกูลหลัวแล้ว นางก็มีเพื่อนเล่นเพิ่มอีกคน เหตุใดจึงต้องวางแผนทำร้ายเ้าด้วย?”
เหอตังกุยใช้เล็บวาดรูปวงกลมอย่างสบายใจ ก่อนเอ่ยวิเคราะห์ความเป็ไปได้ “นางอาจจะดีใจแทบคลั่งก็เป็ได้ จึงตั้งใจหยอกล้อข้า อีกอย่างเื่นี้ก็ไม่ใช่เื่แย่ ต้องขอบคุณนางด้วยซ้ำที่ทำให้หยางมามาเชื่อสิ่งที่ข้าพูด จริงสิ ข้ายังไม่เคยบอกเ้า ในอดีตเรือนซีคั่วของข้าเคยถูกทิ้งร้างมานาน ทั้งชื้นแฉะและทรุดโทรม หลายห้องไม่ได้ซ่อมแซม เดิมทีที่นั่นก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ต่อมาก็ค่อย ๆ กลายเป็รังหนู...”
ร่างฉานอีสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำว่าหนู เหอตังกุยยิ้มพลางปลอบใจ “วางใจเถิด ก่อนพวกเรากลับตระกูลหลัว ต้องขอบคุณน้องสี่ที่ทำให้เรือนซีคั่วแสนน่ารำคาญนั้นหายไปจากตระกูล หนูที่มีเต็มเรือนก็ถูกกวาดล้างจนหมด ข้าคิดว่าพวกเราคงจะได้เปลี่ยนจวนใหม่ที่ดีกว่า”
ฉานอีเบิกตากว้าง ก่อนะโเสียงต่ำ “ไม่ใช่กระมังคุณหนู เ้าขอบคุณนาง ทั้งยังหวังให้นางช่วยเปลี่ยนเรือนที่ดีกว่าหรือ? ครั้งนี้เ้าไม่ได้ฉลาดไปกว่าข้านัก เท่าที่ข้าไตร่ตรอง การที่คุณหนูสี่ตระกูลหลัวใส่ผงคันในชุดของเ้า ไม่เพียงทำให้เ้าเกิดอาการคันธรรมดาเท่านั้น ทว่าหากเ้าสวมชุดนั้นขึ้นเกี้ยว เป็ไปได้ว่าจะคันจนต้องถอดชุดวิ่งลงจากเกี้ยว นางร้ายกาจเช่นนี้ จะช่วยเหลือพวกเราได้อย่างไร?”
เหอตังกุยเด็ดดอกเบญจมาศป่าข้างทาง ก่อนสูดดมกลิ่นหอมของมัน พลางท่องบทกวี “เมื่อเทศกาลฉงหยางมาเยือน ดอกเบญจมาศจะผลิบาน กลิ่นหอมงดงามเกินบรรยาย”
การ ''ขอบคุณหลัวไป๋เส่า'' ที่ทำให้ตนได้ย้ายออกจากเรือนซีคั่วไปยังเรือนใหม่ที่ดีกว่า คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ขัดต่อความรู้สึกนัก เพราะหากไม่มีผงคันของหลัวไป๋เส่า หากไม่ได้หนามเล็กแหลมคมของหลัวไป๋ฉยง หยางมามาอาจไม่เห็นอกเห็นใจนางเช่นนี้ ทั้งยังไม่มีทางเชื่อว่าคุณหนูรองที่สง่างามและเรียบร้อยผู้นั้นจะกล้าซ่อนหนามในชุด และยิ่งเป็ไปไม่ได้ที่นางจะช่วยตนร้องขอความเป็ธรรมต่อเหล่าไท่ไท่
เมื่อเหอตังกุยได้ยินว่าชุดกระโปรงลวดลายโบราณและชุดผ้าโปร่งปักลายดอกหลานอวี้สีขาวมาจากหลัวไป๋ฉยง นางจึงเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียดทันที ตามประสบการณ์ชีวิตหนก่อน กลอุบายของหลัวไป๋ฉยงผู้ยังไม่ได้ออกเรือนนั้นมักจะซ้ำซากและอ่อนหัด ลูกไม้ตื้น ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่
ชาติที่แล้ว ขณะเหอตังกุยเพิ่งย้ายเข้าตระกูลหลัว แม้จะอายุเพียงเก้าขวบ ความงดงามยังไม่ปรากฏ ทว่าเครื่องหน้าที่งดงามและผิวขาวเนียนราวกับหิมะในวสันตฤดูก็ดึงดูดสายตาที่มีความหมายบางอย่างของคนในตระกูลหลัวไม่น้อยทันทีที่พบหน้า เมื่อผสมแววตากลมโตสดใสราวกับหลั่งน้ำได้คู่นั้นก็ยิ่งทำให้นางเปรียบเสมือนกวางน้อยที่หวาดกลัว ดวงตาของนางทอประกายไร้เดียงสา ขี้ขลาดและอยากรู้อยากเห็น ครั้งแรกที่นางไปเคารพผู้าุโ เหล่าไท่ไท่มองพิจารณาเพียงปราดเดียวก็พยุงให้นางลุกจากพื้นด้วยความดีใจ สวมกอดด้วยความรักความเอ็นดูตลอดเวลาที่พบหน้า สุดท้ายเหล่าไท่ไท่ก็เอ่ยกับทุกคนในครอบครัวสาขาแรกและสาขาสองด้วยรอยยิ้ม “พวกเ้าดูสิ นี่คือคุณหนูอี้ลูกสาวของชวนสยง เรียกได้ว่าเป็คุณหนูที่สวยที่สุดในจวนของพวกเรา”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าอ่อนโยนของคุณหนูรองหลัวไป๋ฉยงก็เปลี่ยนไป นางรีบกวาดตามอง ''ลูกพี่ลูกน้อง'' ผู้เติบโตในหมู่บ้านชนบทหนงจวงทันที
ปีที่แล้ว หลัวไป๋ฉยงแอบได้ยินบ่าวรับใช้ติงหรงรายงานต่อมารดาของตน ครึ่งปีก่อนขณะนางเดินผ่านหมู่บ้านหนงจวง นางเห็นลูกสาวกูไท่ไท่ก้มตัวถอนหญ้าในทุ่งนา โยนหญ้าใส่กระบุงด้านหลัง ไม่นานก็เหนื่อยล้าจนเหงื่อผุดเต็มศีรษะ ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าสีดำสกปรกเช็ดใบหน้าดำคล้ำ บ่าวติงหรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เด็กผู้นั้นเปลี่ยนเป็สาวชนบทอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงคุณหนูของจวนตระกูลหลัว แม้แต่บ่าวล้างเท้าในตระกูล นางก็ยังเทียบไม่ได้
หลัวไป๋ฉยงจำได้แม่นยำ เมื่อมารดาฟังคำบอกเล่านั้น ดวงตาของนางก็ฉายแววเกลียดชังชัดเจน ทว่าริมฝีปากกลับยิ้มเยาะมีความสุข ในเวลานั้นตนยังแปลกใจ เหอตังกุยมิใช่เพียงคนป่าเถื่อนถูกเตะออกจากตระกูลหลัวหลายปีเท่านั้นหรือ นางเป็ญาติห่าง ๆ ไม่ได้สำคัญอันใด เหตุใดท่านแม่จึงสนใจเด็กคนนั้นนัก?
หลัวไป๋ฉยงพิจารณาคนป่าเถื่อนในอ้อมกอดเหล่าจูจงครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อหาจุดบกพร่องบนใบหน้านาง ติงหรงเคยบอกว่าคนป่าเถื่อนผู้นี้ต้องทำงานในไร่สกปรกโสโครกมิใช่หรือ? เหตุใดใบหน้าของนางจึงขาวเนียน ทั้งยังมีแววตาสดใสเพียงนี้ นางมีสิทธิ์อันใดได้อยู่ในอ้อมกอดของเหล่าจูจงผู้เป็ยายแท้ ๆ ของตน เหตุใดจึงญาติดีกับคนนอกเช่นนี้?
ผ่านไปไม่กี่วัน หวังหมินซานผู้ดูแลครอบครัวสาขาสามก็กลับทางเหนือเพื่อเยี่ยมญาติ นายท่านสามจึงถือโอกาสฝากพืชผลจำนวนหนึ่งและผ้าไหมปักลายเมฆยามเช้าตรู่สี่พับกลับจวน โดยบอกว่าเป็แบบใหม่ของจือลี่ทางตอนเหนือ เหล่าไท่ไท่คิดว่าเสี่ยวอี้เป็ผู้มาใหม่ ถือเป็แขกครึ่งหนึ่ง จึงตัดสินใจเลือกผ้าสีสดใสสองพับส่งให้แก่นาง เหลือผ้าสีเข้มไว้สองพับ พับหนึ่งให้คุณหนูใหญ่และฮูหยินของครอบครัวสาขาแรก อีกพับให้คุณหนูรองและคุณหนูสี่ครอบครัวสาขาสอง
เดิมทีทุกฤดูกาลจะมีผ้าหลายประเภทแจกจ่ายให้ทุกครอบครัว จึงไม่มีใครสนใจผ้าไหมชนบทสี่พับนี้ ทว่าทุกคน “ไม่ได้กังวลกับจำนวนที่มีจำกัด แต่กลับกังวลเื่การแบ่งไม่เท่าเทียมมากกว่า” คุณหนูและนายหญิงผู้สูงศักดิ์ดุจทองและหยกอันล้ำค่าทั้งสี่คนแห่งจวนตระกูลหลัวกลับต้องเลือกของเหลือจากหญิงป่าเถื่อน ใครบ้างจะไม่โมโห? สุดท้ายพวกนางก็ปฏิเสธที่จะรับผ้าไหมลายเมฆยามเช้าตรู่สีเข้มทั้งสองพับนั้น พวกมันจึงถูกกานเฉ่าและเติงเฉ่าส่งกลับให้เหล่าไท่ไท่ เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นลูกหลานในบ้านถ่อมตัวและเอื้อเฟื้อเช่นนี้จึงยิ้มอย่างมีความสุข สั่งให้เติงเฉ่านำผ้าสีเข้มสองพับส่งให้คุณหนูสาม
คุณหนูสี่หลัวไป๋เส่าจึงเคียดแค้นเหอตังกุยั้แ่ยังเด็ก
ขณะหลัวไป๋เส่ายังอายุไม่ครบหนึ่งปี นางคือคุณหนูสามของตระกูล ทุกคนเรียกนางว่า ''คุณหนูสาม'' แผนผังวงศ์ตระกูลก็บันทึกว่านางคือคุณหนูสามแห่งตระกูลหลัว ทว่าวันหนึ่งยามเที่ยงคืนกูไท่ไท่กลับอุ้มเหอตังกุยในวัยสองขวบกลับมาที่จวน นางกล่าวด้วยน้ำตาว่านางยุติความสัมพันธ์กับตระกูลเหอแล้ว ต่อไปจะใช้ชีวิตกับลูกสาวของตน ขณะนั้นหลัวตู้จ้งผู้เป็ประมุขยังมีชีวิต แต่กลับพบว่าไม่ช้าก็เร็วตนอาจจากไปด้วยโรคหัวใจที่ไร้ยารักษา เพื่อให้ชวนสยงลูกสาวที่ตนรักที่สุดสบายใจ จึงใส่ชื่อเหอตังกุยผู้เป็หลานสาวในแผนผังวงศ์ตระกูล เมื่อจัดลำดับาุโระหว่างหลัวไป๋ฉยงและหลัวไป๋เส่า เหอตังกุยจึงได้เป็ ''คุณหนูสาม'' หลัวไป๋เส่าก็ลดหลั่นเป็ ''คุณหนูสี่''
สามเดือนให้หลัง หลัวตู้จ้งก็จากไปอย่างสงบ สองปีต่อมาเหอตังกุยถูกส่งไปยังหมู่บ้านหนงจวง ผ่านไปสามปี หลัวชวนสยงก็แต่งงานอีกครั้งกับเหอฟู่ผู้มีอายุน้อยกว่านางสามปี พร้อมนำสินสอดของนางซื้อจวนหลังใหญ่ที่มีห้าเรือนสามทางออก ก่อนย้ายไปอยู่กับเหอฟู่ มารดาและน้องสาวของเขา ''คุณหนูสาม'' และมารดาของนางจึงต้องย้ายออกจากตระกูลหลัวชั่วคราว
สองปีต่อมา คุณหนูสี่หลัวไป๋เส่าแห่งจวนตระกูลหลัวมีอายุเจ็ดขวบ วันหนึ่งในตระกูลจัดการแสดงงิ้ว ล่างเวทีมีสตรีจากจวนหลัวตงและจวนหลัวซีนั่งอยู่ไม่น้อย บนเวทีเริ่มขับบทเพลง ''จวงหยวนหง'' เป็เพลงแรก ก่อนขับร้อง ''บันทึกเชียนหุน'' และ ''อวิ๋นเหนียงตามหาสามี'' เป็ลำดับถัดไป ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็คนเอ่ย “เหตุใดคนเลวทุกคนจึงถูกจัดให้อยู่อันดับสี่ในทุกการแสดง?” คนไม่น้อยยกมือขึ้นปิดปากพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริง ๆ เลย หรือผู้แต่งเพลงจะสื่อว่าคนลำดับสี่นั้นเป็คนเลว?”
หลัวไป๋เส่าจดจำสิ่งนี้ไว้ในใจทันที หลังจบการแสดงก็กลับไปหามารดา พลางเอ่ยว่าพี่สาวของนางอยู่ลำดับสองไม่ใช่หรือ นางก็ควรจะอยู่ลำดับสามจึงจะถูก จากนี้ไปนางอยากเป็ ''คุณหนูสาม''
เอ้อร์ไท่ไท่ปอกเปลือกองุ่นเขียวด้วยเล็บยาวสีแดง พลางเอ่ยตอบเนิบนาบ “ชื่อและลำดับของคนในตระกูลหลัวถูกบันทึกในแผนผังวงศ์ตระกูล มีเพียงประมุขของตระกูลเท่านั้นที่แก้ไขได้ ตอนนี้ประมุขจวนหลัวตงของพวกเราเสียชีวิตแล้ว จึงมีเพียงหลัวตู้เหิงประมุขแห่งจวนหลัวซีเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงได้ ก่อนหน้านี้ไม่นานพี่ฉยงไม่ชอบชื่อเดิมของตน จึง้าเปลี่ยนชื่อที่ไพเราะกว่านี้ นางไปหาท่านปู่หลัวตู้เหิงหลายครั้งกว่าเขาจะยอม ตอนนี้จะให้เขาเปลี่ยนลำดับคุณหนูอีก หากเขาไม่รำคาญก็คงแปลก เดิมทีอีกสองวันชื่อของเ้าก็จะถูกบันทึกลงแผนผังวงศ์ตระกูล ทั้งยังถูกจัดอยู่ในอันดับสาม แต่กลับมีคนนอกแซ่เหอเข้ามาเขียนชื่อในแผนผังตระกูลหลัวอย่างหน้าไม่อาย แม้ตอนนี้นางจะถูกส่งตัวออกไปแล้ว ทว่าตราบใดที่แผนผังวงศ์ตระกูลยังอยู่ นางก็จะได้ตำแหน่งนั้นตลอดกาล ส่วนเ้าก็อยู่อันดับที่สี่เท่านั้น เื่เหล่านี้ล้วนเป็์กำหนด เ้าต้องยอมรับชะตากรรม”
ด้วยเหตุนี้ หลัวไป๋เส่าจึงเกลียดชังเหอตังกุยที่ไม่เคยพบหน้าเป็การส่วนตัวมาก่อน ล้วนเป็เพราะนางที่ทำให้ตนเป็ ''คนเลวในทุกการแสดง'' ท่านพี่ของนางอยู่อันดับที่สอง ทุกคนจึงให้เกียรติ นางอยากเปลี่ยนชื่ออย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ แต่ตนที่อยู่อันดับสี่กลับกลายเป็ ''คนเลว'' แต่กำเนิด ความรักความเอ็นดูก็ไม่เท่าพี่สาว สิทธิประโยชน์ใดก็ได้รับน้อยกว่าเสมอ ทั้งหมดล้วนเป็เพราะเหอตังกุยที่ยึดครองตำแหน่งของตน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้