ล่าวไท่จุนตำหนินาง ผู้คนโดยรอบจึงมองไปที่ฉินหยีหนิงทันที
บ่าวของเรือนเสวี่ยลี่เป็คนที่ดูแลซุนซื่อและแม่นมจินเป็คนจัดการให้ บ่าวส่วนมากอยู่ที่เรือนของซุนซื่อก่อนแล้ว ฉินหยีหนิงเพิ่งกลับมาแค่หนึ่งวัน บ่าวพวกนี้ก็เพิ่งส่งไปหลังตอนกลางวัน นางจะเอาเวลาที่ไหนจัดการ? หากกล่าวถึงกฎระเบียบของบ่าวไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ซุนซื่อไม่ได้สั่งสอนมา มันเกี่ยวข้องอะไรกับฉินหยีหนิง?
อีกประการเมื่อคืนมีเื่เช่นนั้นเกิดขึ้น ต่างคนต่างคิดว่า ฉินหยีหนิงต้องไม่ทนแล้วแน่ๆ ยามนั้นสายตาของนางเองก็ให้ความรู้สึกประหลาดเล็กน้อย
ั์ตาของฉินฮุ่ยหนิงเบิกกว้างเป็ประกายสดใส ดูมีความหวังอย่างมาก ‘เด็กป่าคนนี้’ หากอารมณ์ร้อนขึ้นมาแล้ว ต่อกรกับล่าวไท่จุนสักครั้งก็คงจะดีสินะ
ฉินหยีหนิงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
ทุกคนต่างมีสีหน้าสงสัย
มือสองข้างของฉินฮุ่ยหนิงซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ นางตื่นเต้นจนกำมือเข้าหากันแน่น
ใครจะไปรู้ว่า ฉินหยีหนิงกลับคำนับอย่างมีมารยาท จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงสุภาพอ่อนโยนและนุ่มนวล “ล่าวไท่จุนพูดถูก เป็เพราะหลานเองที่จัดการไม่ดี ขอให้ล่าวไท่จุนโปรดอย่าได้โกรธเลยเ้าค่ะ”
ลักษณะท่าทางที่เรียบร้อยของนาง น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นและรู้สึกซาบซึ้งอยู่หลายส่วน
ท่าทีเช่นนั้นของนาง เท่ากับปกป้องซุนซื่อ
แม้แต่ล่าวไท่จุนซึ่งเห็นสายตาของฉินหยีหนิง ก็อดไม่ได้ที่จะให้ความรู้สึกเอ็นดู
ที่แท้นางก็เป็ทายาทของฉินหวยหยวนจริงๆ ถึงแม้ว่าไม่ได้เลี้ยงอยู่เคียงข้างกัน แต่อุปนิสัยของเด็กคนนี้นับว่าดีมาก
เกียรติยศและความภาคภูมิใจของล่าวไท่จุนอยู่ในตัวของลูกชายคนโต ยามนี้เห็นใบหน้าเด็กสาวผู้มีหน้าตาคล้ายฉินหวยหยวนตอนหนุ่มๆ ทำให้ล่าวไท่จุนที่โมโหอยู่ค่อยๆ เย็นลง นางจึงคลี่ยิ้มออกมา
“อืม วันหลังดูแลให้ดีหน่อยนะ ท่านพ่อของเ้าได้เชิญครูมา อีกสักพักก็มาถึงแล้ว เ้าก็ตั้งใจเรียนเสียล่ะ”
ฉินหยีหนิงยิ้มรับพร้อมโค้งคำนับ “เ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านย่า”
“นั่งเถิด” ล่าวไท่จุนโบกมือ
สถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ ถูกประโยคเดียวของฉินหยีหนิงจัดการเรียบร้อยแล้ว
ฉินฮุ่ยหนิงมองเห็นล่าวไท่จุนยิ้มแย้มให้ฉินหยีหนิงด้วยความเอ็นดูมีเมตตา นางก็กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อเป็รอยขีด
หยูเซียงยังคงยอบตัวหน้าผากแนบติดอยู่กับพื้น รอแค่ฉินหยีหนิงมีปากเสียงกับล่าวไท่จุน และตัวเองก็เพิ่มไฟด้วยการบอกว่านางเป็คนชั่วช้า ดูแลบ่าวโดยใช้ความรุนแรง แต่ใครจะคาดคิดว่า ‘คนป่า’ กลับไม่ได้ออกไพ่ตามที่นางได้วางไว้
ล่าวไท่จุนผินใบหน้าไปยังหยูเซียง สายตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่หลายส่วน จากนั้นจึงเอ่ย “เ้ามีเื่อันใดอยากให้ข้าเป็คนตัดสินหรือ? เงยหน้าขึ้นมาพูดสิ”
หยูเซียงแหงนศีรษะขึ้น ใบหน้าเปื้อนสกปรกเต็มไปด้วยควันถ่าน น้ำตาร่วงเป็สายหลงเหลือเพียงรอยขาวหลังถูกนางซับไป และก็กลายเป็สีดำเช่นเดิม ทุกคนต่างเบิกตากว้างมองนาง รู้สึกราวกับในลำคอมีก้อนอะไรติดอยู่
เสมือนนางโดนคนอธรรมทารุณอย่างหนักหนาสาหัส หยูเซียงโอดครวญก่อนพ่นคำพูด “ล่าวไท่จุน ได้โปรดจัดการให้พวกบ่าวออกไปจากเรือนเสวี่ยลี่ด้วยเ้าค่ะ บ่าวอยู่ในเรือนเสวี่ยลี่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว จะต้องโดนคุณหนูสี่ทรมานจนตายแน่เ้าค่ะ”
ล่าวไท่จุนนิ่วหน้า มองไปที่ฮูหยินสอง
ฮูหยินสองรีบเอ่ยเสียงต่ำขึ้นทันที “เหลวไหลคุณหนูสี่เป็เ้านาย ในฐานะเ้านาย จะมีเหตุผลอะไรทรมานบ่าวล่ะ? อีกอย่างเป็บ่าวที่อยู่ข้างๆ เ้านาย ไม่ใช่คนอย่างเ้าที่จะสามารถเลือกไปเลือกมาได้ สามารถไปอยู่ที่เรือนเสวี่ยลี่รับใช้คุณหนูสี่ก็เป็วาสนาของเ้า ตอนนี้เอาเกียรติของตนมายุยงเื่ราวขึ้นมา แล้วยังกล้าใส่ร้ายคุณหนูอีก หรือเ้าคิดจะทรยศ!!”
“ฮูหยินสองโปรดพิจารณาบ่าวไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ ถึงได้ทำเช่นนี้ คุณหนูสี่เป็คนรุนแรงเกินไปแล้วบ่าวกับรุ่ยหลานเพิ่งจะรับใช้เพียงแค่วันเดียว ก็โดนทรมานถึงเพียงนี้ คุณหนูเหยียบรุ่ยหลานที่พื้นและตบตี ท่านดูหน้าของนางสิ ตอนนี้ยังบวมอยู่เลยเ้าค่ะ”
หยูเซียงลุกขึ้นยืนดึงรุ่ยหลานพร้อมชี้ไปยังรอยฟกช้ำที่มุมปากของนาง จากนั้นชี้กลับมาที่ตน “ยังมีบ่าว คุณหนูสี่ไม่มีเหตุผลลงโทษบ่าวให้ไปต้มน้ำในครัว ต้มจนถึงกลางดึก ไม่ให้บ่าวได้หลับได้นอนเลยเ้าค่ะ...”
พูดถึงตรงนี้ หยูเซียงได้ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น น้ำตานองจนทำให้ใบหน้าดำคล้ำนั้นมีรอยขาวๆ สองเส้น
คำพูดของหยูเซียงทำให้รุ่ยหลานรู้สึกเกลียดชังนัก ถ้าสามารถเรียนการใช้คาถาอาคมเหมาซานได้ทันทีก็คงจะดี เพราะนางจะได้ล่องหนหายตัวไป
ปกติหยูเซียงเป็คนเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง แต่ทำไม เวลาสำคัญเช่นนี้กลับทำผิดพลาดไปได้ ทำพลาดแบบโง่ๆ คนเดียวจะไม่ว่า ยังจะดึงนางไปเกี่ยวโยงด้วย
รุ่ยหลานคุกเข่าลงบนพื้น นางครุ่นคิดวิธีเพื่อปกป้องตัวเอง
หยูเซียงก็คุกเข่าตามไปด้วย อีกทั้งก้มศีรษะลงบนพื้นอีกครั้ง “ล่าวไท่จุนได้โปรดเป็ผู้ตัดสินด้วย วันนี้บ่าวเสี่ยงตายมาที่นี่เพื่อบอกกล่าว หากบ่าวกลับไปอีก เกรงว่าคุณหนูสี่จะตบตีบ่าวจนตายได้นะเ้าคะ!”
ในขณะที่หยูเซียงกำลังร้องห่มร้องไห้พลางกล่าวร้องทุกข์ สายตาของผู้คนต่างเหลือบมองแก้มบวมแดงของฉินฮุ่ยหนิงสลับกันไปมา หากพูดว่าจะตบคนให้เป็เช่นไร ฉินหยีหนิงน่าจะกล้าทำสิ่งเหล่านี้
ฮ่องเต้ออกราชโองการให้ใช้คุณธรรมในการจัดการ หลายปีมานี้การดูแลจวนก็ไม่มีเื่ตบตีบ่าวจนตายเช่นกัน อีกทั้งทุกคนก็ไม่เคยเห็นลูกผู้ดีจะใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น
เื่ที่ฉินฮุ่ยหนิงโดนตบ เพิ่งจะถูกล่าวไท่จุนทำให้หมดเื่ไป ไม่คาดคิดเลยว่า จะมีบ่าวมาฟ้องร้องอีก
ทุกคนอยากรู้ว่าฉินหยีหนิงจะมีท่าทีเช่นไร
ล่าวไท่จุนกล่าวตำหนิ นางสามารถกลืนลงไปได้ แต่ไม่มีผู้ใดไม่เชื่อว่านางจะสามารถอดทนกับบ่าวคนหนึ่งได้
ทว่าฉินหยีหนิงยังคงนั่งหลังตรงอย่างสง่า ั์ตามองไปยังปลายเท้าซึ่งอยู่เบื้องหน้าเตียงหลั่วฮั่นของล่าวไท่จุน เสมือนกำลังมองดอกไม้ช่อหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ไม่พูดอันใดออกมาทั้งสิ้น จวบกระทั่งเวลานี้นางยังไม่ได้มองหยูเซียงแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าคนผู้นั้นไม่มีในโลก
แม้แต่ล่าวไท่จุนเองก็ไม่เข้าใจอยู่หลายส่วน
ถูกสวมข้อหาว่ากระทำรุนแรงกับบ่าวรับใช้ สำหรับผู้หญิงแล้วถือว่าเสียชื่อเสียง หรือว่าฉินหยีหนิงไม่สนใจ?
หรือว่านางไม่เข้าใจว่าเื่ดังกล่าวมีผลดีผลเสียต่อตนเองอย่างไร?
บรรยากาศหยุดชะงักอีกครั้ง ในห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของหยูเซียงเท่านั้น
ล่าวไท่จุนคิ้วแข็งขึ้นมา ทว่าขณะที่นางกำลังจะเอ่ย ทันใดนั้นรุ่ยหลานได้ก้าวเท้าเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า โขกศีรษะกับพื้นจนเกิดเสียง “โคะ โคะ โคะ” ดังขึ้นสามครั้ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดแจ๋ว “ล่าวไท่จุน ท่านอย่าเชื่อในคำพูดของหยูเซียงเด็ดขาด คุณหนูสี่โดนนางใส่ร้ายเ้าค่ะ”
หยูเซียงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็นิ่งอึ้ง ใและหวาดกลัวหันไปจ้องมองรุ่ยหลาน “เ้า เ้าพูดอะไรออกมาพวกเราไม่ใช่ว่า...”
รุ่ยหลานไม่รอให้หยูเซียงพูดจบ กลับรีบพูดแทรก “เื่มันไม่ใช่อย่างที่หยูเซียงพูดนะเ้าคะ คุณหนูสี่ได้ลงโทษนางให้ไปต้มน้ำนั้นเป็ความจริง แต่ก็เพราะหยูเซียงทำผิด เมื่อวานหยูเซียงหยิบเครื่องประดับที่ฮูหยินมอบให้คุณหนูไปไม่น้อย นางคิดว่าคุณหนูสี่ไม่รู้หนังสือ อ่านบัญชีไม่เป็ และดูวัสดุของเครื่องประดับบนศีรษะไม่เป็ ไม่คิดเลยว่า คุณหนูสี่นั้นเฉลียวฉลาดเกินคน กวาดตาแค่ครั้งเดียวก็รู้เลยว่ามีสิ่งของอะไรหายไปบ้าง”
ขณะพูดจา รุ่ยหลานได้หันไปมองที่ฉินหยีหนิงด้วยแววตาแสดงความนับถืออย่างมาก “ตอนนั้นคุณหนูสี่ก็ไม่ได้เปิดโปงอะไร เพียงแต่บอกเป็นัยให้หยูเซียงคืนของออกมา หยูเซียงรู้สึกเหมือนตนโดนตบ และรู้สึกเสียหน้า จึงได้แต่เอาเครื่องประดับออกมาคืน แต่ในใจนั้นเกลียดชังคุณหนู นางใช้โอกาสตอนที่คุณหนูสี่ออกไปข้างนอก นำถ่านของคุณหนูออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต และปล่อยให้หม้อถ่านที่ห้องหลักว่างเปล่า ทำให้ห้องนั้นเย็นอย่างกับน้ำแข็ง
สำหรับเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะบ่าวเข้าไปห้ามเ้านาย จึงโดนฝ่ามือของคุณหนูโดยไม่ตั้งใจจนาเ็ กลับไปที่เรือนถูกหยูเซียงเห็นเข้า จากนั้นหยูเซียงก็ได้พูดต่อว่าคุณหนูต่อหน้าบ่าว บ่าวห้ามเท่าไรก็ไม่ได้ผล เหมาะเจาะกับคุณหนูกลับมาพอดี เมื่อได้ยินหยูเซียงพูดลับหลังถึงตน ทำให้ความผิดของหยูเซียงทับถมกันเป็หลายคดี คุณหนูก็เลยลงโทษนางให้ไปต้มน้ำ
บ่าวคนหนึ่งกล้าขโมยของของนาย นายไม่ได้พูดว่าอะไร อีกทั้งไม่ได้ลงโทษ นางกลับเกลียดชัง เอาถ่านของนายไป บ่าวคิดว่า คุณหนูสี่ลงโทษหยูเซียงให้ไปต้มน้ำถือว่าเมตตามากแล้ว วันนี้หยูเซียงมาฟ้องร้องถึงที่นี่ รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเอาเสียเลย!”
เมื่อพูดถึงตอนนี้รุ่ยหลานก็ก้มศีรษะลง พร้อมเอ่ยอีกประโยค “ล่าวไท่จุนได้โปรดพิจารณา อย่าฟังคำใส่ร้ายคุณหนูสี่ของหยูเซียงแต่เพียงฝ่ายเดียวเด็ดขาดนะเ้าคะ”
ชิวหลู่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเข้าก็ก้าวเท้าออกมาแล้วก้มศีรษะ พูดสมทบว่า “ล่าวไท่จุน บ่าวก็ได้ยินหยูเซียงพูดว่าร้ายคุณหนูเช่นกัน คำพูดไม่เพราะเลย คำพูดของรุ่ยหลานเป็ความจริง บ่าวที่เรือนเสวี่ยลี่สามารถเป็พยานได้”
“พวก...พวก...พวกเ้าพูดเหลวไหล” หยูเซียงโมโหจ้องมองทั้งสองเขม็ง นางก้าวเท้าเดินมาหวังจะจับหน้ารุ่ยหลาน
รุ่ยหลานใร้องโอยก่อนล้มลงบนพื้น ยังดีที่ด้านข้างมีชิวหลู่ จี๋เสียงและบ่าวหลายคนอยู่ด้วย จึงแยกสองคนนี้ออกมาได้
หยูเซียงร้องเสียงแหลม “เ้าใส่ร้ายคนอื่น เมื่อคืนบอกไว้ว่าจะช่วยเ้าออกหน้าให้ วันนี้เ้ากลับแว้งกัดข้า เ้าสองหน้าสามมีด”
“หยูเซียง หุบปาก!” ฉินหยีหนิงเงียบนิ่งอยู่นานในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืน พร้อมพูดออกมาด้วยคำสั้นๆ สี่คำ กลับทำให้หยูเซียงที่กำลังะโโหวกเหวก เงียบลงไม่กล้าปริปากอีก
ฉินหยีหนิงเดินไปอยู่เบื้องหน้าหยูเซียงซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ มองนางจากข้างบนลงมาข้างล่าง
สายตาของนางเ็าเกินไปแล้ว ทำให้ร่างกายของหยูเซียงรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว ก้มศีรษะมองที่รองเท้าลวดลายดอกไม้ทั้งสองข้างของฉินหยีหนิง ในหัวคิดไปว่าอีกสักครู่เท้าข้างหนึ่งนั้นคงจะเตะเข้าที่หน้าอกของตน
แต่ฉินหยีหนิงไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น นางหมุนตัวหันไปคำนับล่าวไท่จุน “ล่าวไท่จุน เื่เช่นนี้โวยวายมาถึงที่นี่ หลานรู้สึกผิดจริงๆ เป็หลานเองที่จัดการเรือนเสวี่ยลี่ไม่ได้เอง ไม่คาดคิดว่าท่านจะได้ยินเื่ไม่ดีพวกนี้”
ล่าวไท่จุนให้ฮูหยินสองเป็คนกล่าวถามไถ่ ส่วนนางมองเื่ราวของวันนี้อย่างสงบ ก็เพียงอยากจะเห็นท่าทีของแต่ละคนว่าจะเป็อย่างไร เห็นฉินหยีหนิงที่ไม่ได้ลดสถานะตนเองเพื่อทะเลาะกับบ่าว นางย่อมพอใจแล้ว และเห็นฉินหยีหนิงกลับมาที่จวนเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ไม่คาดคิดเลยว่า รุ่ยหลานกับชิวหลู่จะออกมาพูดปกป้องนาง นี่ก็สามารถบ่งบอกถึงความสามารถในการใช้คนของนางได้
เมื่อวานนางมีท่าทีเรียบร้อยเชื่อฟัง ล่าวไท่จุนยังจำขึ้นใจ
เห็นฉินฮุ่ยหนิงยุยงบิดามารดา นางก็มีความกล้าที่จะเผชิญหน้าด้วย
คราวนี้เจอกันอีก นางไม่ได้ใช้กำลังเป็อำนาจในการขู่เข็ญผู้คนเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังรู้จักปกป้องเกียรติของแม่แท้ๆ ของนาง
ได้เห็นฉินหยีหนิงเช่นนี้แล้ว ล่าวไท่จุนรู้สึกว่าตนสบายตาสบายใจขึ้นเยอะ นางเป็เด็กผู้หญิงที่รู้จักสถานการณ์ สามารถควบคุมตนเองได้ และสามารถต่อสู้เมื่อยามจำเป็ ที่แท้นางเป็ทายาทของฉินหวยหยวนจริงๆ ทั้งบนตัวนางยังมีลักษณะความคล้ายคลึงกับอัครมหาเสนาบดีฉินตอนหนุ่มอยู่บ้าง
ล่าวไท่จุนโบกมือให้ฉินหยีหนิงลุกขึ้นยืน “ไม่เกี่ยวกับเ้า เป็เพราะบ่าวคนนี้อุปนิสัยไม่ดีเอง” เสมือนว่าคนที่ตำหนิฉินหยีหนิงว่าจัดการบ่าวไม่เป็นั้น ไม่ใช่นาง
จากนั้นหันไปบอกแม่นมฉิน “ไปสอบถามคนที่เรือนเสวี่ยลี่ เื่นี้หากมีหลักฐานบอกว่าเป็ความจริง ให้เอาหยูเซียงขายออกไปในทันที”
หยูเซียงตาโตขึ้นจ้องมองด้วยความกลัว “ล่าวไท่จุน ท่านไม่สามารถทำเยี่ยงนี้ได้นะ ข้าเป็ลูกบ่าว พ่อของข้าเป็...”
ล่าวไท่จุนขมวดคิ้วอย่างรำคาญ “ข้าไม่สนว่าพ่อแม่ของเ้าเป็ใคร เลี้ยงลูกสาวออกมาไม่ได้ทำตามหน้าที่ เกรงว่าไม่น่าจะเป็คนดีเท่าใดหรอก หลู่จวน เื่นี้มอบให้เ้าเป็คนจัดการ ในเมื่อเป็ลูกของบ่าว ถ้าเช่นนั้น ก็ทำตามกฎระเบียบเถิด เอาคนออกไปเถอะ ข้าเห็นแล้วรู้สึกรำคาญ”
“เ้าค่ะ” แม่นมฉินเรียกบ่าวร่างใหญ่วัยกลางคนเข้ามาในทันที ใช้ผ้าเช็ดหน้ายัดปากของหยูเซียง จากนั้นลากตัวนางออกไป
มองหยูเซียงโดนลากตัวออกไปแล้ว รุ่ยหลานก็มีความกลัวอยู่หลายส่วน
ตอนนี้ แค่คำพูดของฉินหยีหนิงเพียงแค่ประโยคเดียว บอกว่าเมื่อวานนางกล้าทำร้ายเ้านาย นางก็คงจะมีจุดจบเดียวกันกับหยูเซียง