คำว่า ‘เด็กป่า’ เป็วิธีเรียกของคุณหนูหก ซึ่งแม้แต่คนที่ไม่ได้อารมณ์เสียยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นฉินหยีหนิงเป็คนอุปนิสัยไม่ยอมอ่อนข้อ
แต่ฉินหยีหนิงรู้ว่า ถ้านางทะเลาะกับคุณหนูหกต่อหน้าคนหมู่มาก คนรอบข้างย่อมต้องคิดว่าสิ่งที่คุณหนูหกพูดออกมานั้นเป็ความจริงอย่างแน่นอน ฉะนั้นนางไม่จำเป็ต้องลดสถานะของตนลงมา
อีกทั้งอารมณ์เสียยังต้องมีขอบเขต เมื่อยืนอยู่บนความมีเหตุผลถึงจะดี ไม่ใช่ว่าคนที่เสียงดังกว่าคือคนที่ชนะ มิเช่นนั้นมันจะไม่มีความตกตะลึงใดๆ เกิดขึ้น ซ้ำร้ายจะไม่ดูกลายเป็ผู้หญิงขี้บ่นหรอกหรือ? พอนานๆ เข้าก็จะไม่มีใครเกรงกลัวนางอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคืนนางเพิ่งพ่นลมพัดแรงออกไป หากยังมีเื่ทะเลาะอีก นางคงกลายเป็ ‘เด็กป่า’ ไปจริงๆ รู้จักแต่ใช้กำลัง ไม่รู้จักใช้สมอง ทำให้คนอื่นมองว่าเป็คนชั้นต่ำยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังไม่ได้รับความชื่นชมจากล่าวไท่จุนกับฮูหยินอีกด้วย วันข้างหน้าจะอยู่ในบ้านนี้อย่างมั่นคงได้อย่างไรกัน?
ทว่า ใครบอกว่าในขณะที่โดนหาเื่ทะเลาะ การเผชิญหน้ากลับไปถึงจะเหนือกว่า?
ฉินหยีหนิงไม่เข้าใจเื่ระหว่างผู้หญิงที่อ้อมค้อมวนเวียน แต่นางกลับเชื่อในเหตุผลที่ว่า ‘หนึ่งที่สุดความสามารถจะชนะสิบแผนการ’ นางไม่เชื่อว่าฉินซวงหนิงซึ่งมีอายุเพียงสิบสามปีจะดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่า
ั์ตาลูกท้อของฉินหยีหนิงกะพริบฉายประกายสดใส สายตาเฉียบคมเหมือนเป็ลูกศรพิษ และเสมือนว่าคุณหนูหกนั้นเป็สัตว์ร้ายที่นางจะต่อกรด้วย แววตาดุดันของนางคล้ายพุ่งเข้าไปที่สัตว์ร้ายตัวนั้น ทั้งยังกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
คุณหนูหกเติบโตในจวน นางจะสามารถยืนหยัดและต้านทานความเก่งกาจของฉินหยีหนิงได้อย่างไร? ทันใดนั้นขนทุกเส้นพร้อมใจกันลุกเกรียว แผ่นหลังของนางรู้สึกเย็นะเื มีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึมลงมาที่หน้าผาก นางได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ไม่สามารถพูดคำว่า ‘เด็กป่า’ ได้อีกเลย
การเผชิญหน้าระหว่างพี่สาวน้องสาวอยู่ในระยะแค่ชั่วลมหายใจเข้าออก ใครจะคิดว่าคุณหนูหกซึ่งแต่เดิมกำลังโมโหมาก จนทำให้ผู้คนรอบกายต้องปวดกบาล จะยอมสงบปากสงบคำเพราะสายตาของฉินหยีหนิงที่มองนางเพียงแค่ครั้งเดียว?
ฮูหยินน้อยเหยาซื่อกับฮูหยินน้อยเมิ่งซื่ออดไม่ได้ที่จะยิ้มและชื่นชม นางแอบมองไปที่เด็กสองคนอย่างอยากรู้อยากเห็น
ฮูหยินสามยิ้มน้อยๆ ก้มหน้า พลางยกถ้วยน้ำชามาดื่มหนึ่งอึก
ทว่าฮูหยินสองกลับแค่นเสียงเ็า ‘ฮึ’ ออกมา นางมีสีหน้าที่เคร่งขรึมยามที่กล่าวติเตียน “ซวงเจี่ยร์ เ้าเรียนกฎระเบียบอย่างไรกัน? ผู้ใหญ่เขายังไม่ทันพูดอะไรออกมา เ้าก็ะโโลดเต้นออกมาแล้ว มีอย่างที่ไหนกัน? เื่ราวเป็อย่างไร ล่าวไท่จุนก็มีเหตุผลของท่านเอง ออกไปยืนข้างๆ โน่นไป”
คุณหนูหกไม่มีวาสนาที่จะถูกเลี้ยงในนามของแม่ใหญ่ ถึงแม้ว่าความรู้นั้นได้เรียนกับซีสีคนเดียวกันกับคนอื่นๆ แต่กฎระเบียบส่วนใหญ่ แม่นางหลินเป็ผู้สั่งสอนเองมาโดยตลอด วันนี้นางถูกแม่ใหญ่ตำหนิต่อหน้าผู้คนว่าไม่รู้จักกฎระเบียบ มันก็เหมือนกับตบแม่ลูกไปพร้อมๆ กันน่ะสิ
นางรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนฉ่าจนแทบทนไม่ไหว จากนั้นนางเหลือบตาไปมองฉินฮุ่ยหนิงซึ่งมีหน้าบวมแดง ก็รู้ว่าพวกนางพี่น้องมีบุญวาสนาคล้ายๆ กัน คือถูกฉินหยีหนิงรังแกไม่เบาเลย ในใจย่อมรู้สึกโกรธเกลียดอีกฝ่ายมากขึ้น
ฉินหยีหนิงกับคุณหนูสาม คุณหนูเจ็ดกับคุณหนูแปดก้าวเท้าเข้ามาคำนับล่าวไท่จุนพร้อมๆ กัน
ล่าวไท่จุนยังคงนั่งเงียบกริบไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่อย่างใด เสมือนพระองค์หนึ่ง ยามนั้นนางเพิ่งจะเบิกตา เหลือบมองคุณหนูหกหนึ่งครั้ง ก่อนโบกมือบอกทุกคนว่าลุกขึ้นยืนได้
ฉินหยีหนิงเดินตามคุณหนูสามและคนอื่นๆ ไปยืนอยู่ด้านข้าง
บรรยากาศในห้องคล้ายหยุดชะงักไปหมดแล้ว
อีกประการ เมื่อคืนบ้านใหญ่เกิดเื่ใหญ่เสียขนาดนั้น ข่าวแรกที่ออกมาก็คือ ฮูหยินกับนายท่านทะเลาะกัน จนฮูหยินต้องกลับไปบ้านของตน ในขณะที่หลายคนกำลังเดาอยู่ว่าเหตุอันใดกันที่ทำให้ทั้งสองทะเลาะมีปากมีเสียง กลับมีอีกข่าวหนึ่งแทรกมาให้ได้ยิน ข่าวที่ว่านั้นคือฉินฮุ่ยหนิงโดนฉินหยีหนิงตบตี
เมื่อเทียบกับข่าวแรก ข่าวสองย่อมเป็ข่าวที่ทำให้คนในจวนถึงกับตกตะลึงมากกว่า
คนในจวนขึ้นชื่อว่าเป็ผู้มีความรู้ ถึงแม้ว่าเหล่าคุณชายจะมีเื่ทะเลาะกัน ก็ไม่มีใครใช้กำลังลงไม้ลงมือ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่กระทำการรุนแรงกลับเป็คุณหนูเสียด้วย
อย่างไรก็ดี ข่าวเล่าลือปากต่อปากก็มีหลายภาค
มีกล่าวกันว่าฉินหยีหนิงเป็เด็กป่า เพราะอุปนิสัยเด็กป่ากำเริบ อีกทั้งมีการกล่าวกันว่าฉินฮุ่ยหนิงเป็คนหาเื่ก่อน เพราะไม่ยอมรับทายาทคนโตที่เพิ่งกลับมายึดสถานะของตน
สรุปแล้วข่าวคราวเหล่านี้ ไม่ว่าใครจะได้ประโยชน์จากมัน ทั้งหมดนี้ก็คือการผสมน้ำปนเปกันในจวน ทำให้บ่าวที่ดูนายอยู่นั้น มองเป็เื่ขำขันเสียเปล่าๆ หากรู้ไปถึงคนนอกขึ้นมา ก็มีแต่จะเอาไปเคี้ยวเล่นให้สนุกปาก
ล่าวไท่จุนนึกถึงคำของฉินหวยหยวนที่รีบมาบอกนางเมื่อเช้านี้...
“เื่นี้ต้องจัดการให้ได้โดยเร็ว ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ยิ่งไม่ชอบเห็นจวนขุนนางมีปัญหาเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้งานทางราชการก็ยุ่งมากอยู่แล้ว...ท่านแม่ต้องทำให้คนทั่วไปรู้ว่าคนในบ้านของเราสมัครสมานสามัคคีกันจะดีที่สุด อีกทั้งที่บ้านตนไม่ปัดกวาด แล้วจะไปปัดกวาดแผ่นดินนี้ได้อย่างไร? เื่นี้หากศัตรูทางการเมืองรู้เข้า ผลที่ออกมาอาจจะไม่คาดคิดอย่างแน่นอน”
เมื่อนึกถึงคำพูดดังกล่าว สีหน้าของล่าวไท่จุนจึงยิ่งราบเรียบดั่งผืนน้ำ นางเพียงอยากจะให้ศึกครั้งนี้ยุติโดยเร็วที่สุด
ข้างนอกนั้นแน่นอนว่า ต้องมีข่าวหลุดออกไปแล้ว แต่ไม่ว่าข่าวจะออกไปอย่างไร ก็ต้องไม่ให้ลูกของฉินหวยหยวนต้องมารับผิดชอบโดนด่าด้วยเื่นี้ มิเช่นนั้นจะทำให้ศัตรูทางการเมืองรู้เข้าแล้วจะเอาเื่นี้ไปโค่นล้มเขาเอาได้ พ่อที่สั่งสอนและปกป้องลูกไม่ได้นั้น ก็หมายความว่าคนที่เป็พ่อนั้นไร้ซึ่งความสามารถ หากโยงใยไปถึง ‘เบื้องบนไม่ตรง เบื้องล่างคดเคี้ยว’ ย่อมทำให้แม้แต่ความเป็คนของฉินหวยหยวนคงถูกสงสัยเอาได้
มาถึงขั้นนี้แล้ว ล่าวไท่จุนก็มีความรู้สึกอยากโทษฉินฮุ่ยหนิงขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะฉินฮุ่ยหนิงคิดเช่นนั้น เื่ราวจะลุกลามใหญ่โตได้หรือ? ดังนั้นถึงนางอยากปกป้องหลานรักแต่ก็ทำไม่ได้
ล่าวไท่จุนให้คนอื่นกล่าวหาตนเองว่าเป็ย่าที่สั่งสอนลูกหลานไม่เป็ ยังจะดีเสียกว่าให้คนอื่นมากล่าวหาฉินหวยหยวนว่าเป็คนไม่ซื่อสัตย์ทำให้ลูกสาวเป็คนคดเคี้ยวไปด้วย
ล่าวไท่จุนดูออกว่าฉินฮุ่ยหนิงคิดเห็นอย่างไร และรู้ว่านางจ้องจะโจมตีสายเืเชื้อไขของฉินหวยหยวน
“เ้าค่ะ” เด็กหญิงเ่าั้ต่างคำนับพร้อมๆ กัน
ล่าวไท่จุนเกริ่นออกมาช้าๆ “ฮุ่ยเจี่ยร์เป็เด็ก ยังไม่รู้เื่รู้ราวอะไรมากนัก คำพูดของนางทำให้ซุนซื่อโมโหขึ้นมา โดยที่นางไม่ได้ตั้งใจ หยีเจี่ยร์เห็นแล้วจึงสั่งสอนฮุ่ยเจี่ยร์ พี่น้องสองคนนี้ไม่รู้จักสามัคคีกัน กลับใช้กำลังตบตีกัน ข้าได้ลงโทษพวกนางให้ไปคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ เื่นี้ก็ให้มันผ่านพ้นไปเถอะ พวกเ้าอย่าได้พูดถึงมันเลย”
คำพูดของล่าวไท่จุนหลีกเลี่ยงความรุนแรงทั้งลดทอนให้เบาลงที่สุด เอาเื่ที่ฉินหยีหนิงตบฉินฮุ่ยหนิง ฝ่ายเดียวนั้น เปลี่ยนเป็พี่น้องตบตีกันสองคน กลับฝั่งทำให้ดูเหมือนฉินหยีหนิงโดนรังแกเช่นกัน ฉินฮุ่ยหนิงก็กลายเป็คนที่ยุยงแม่ใหญ่ จึงโดนสั่งสอนไป
เมื่อเห็นว่าล่าวไท่จุนที่ปกตินั้นจะเข้าข้างนาง คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ล่าวไท่จุนกลับพูดแบบนั้นกับคนที่นางบอกว่ารักมากนักหนาคนนี้ไปแล้ว คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีความคิดแตกแยกกันออกไป สายตาซึ่งมองมายังฉินหยีหนิงก็ไม่เหมือนกันเลยสักคน
ฮูหยินสอง ฮูหยินสาม ฮูหยินน้อยเหยาซื่อกับฮูหยินน้อยเมิ่งซื่อล้วนตอบรับทราบ
คุณหนูหกมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นางมองไปที่ฉินฮุ่ยหนิงซึ่งกำลังเสียใจน้ำตาร่วงอยู่
คุณหนูสามกับคุณหนูแปดกลับก้มหน้าก้มตามองพื้น
คุณหนูเจ็ดมีแต่ความสงสัยมองไปที่ฉินหยีหนิงซึ่งนิ่งเงียบอยู่
ฝ่ายฉินฮุ่ยหนิงรู้สึกเหมือนว่าตนได้ตกลงไปในธารน้ำแข็ง นางหนาวะเืไปทั่วร่าง ในใจกลับมีความคิดที่ว่า ‘ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง’ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
ที่แท้ เมื่อฉินหยีหนิงซึ่งเป็เืเนื้อเชื้อไขของตระกูลฉินกลับมา ความรักความเอ็นดูที่เคยเป็ของนาง ทั้งหมดกลับไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้ว
นางรู้สึกโกรธเกลียดล่าวไท่จุน แต่เดิมท่านย่าเคยรักนาง มาวันนี้กลับไม่มีความรักให้นางแล้ว ทั้งยังไม่แยกแยะความผิด และเข้าข้างหลานสาวตามสายเืเพื่อกดขี่นาง
อะไรคือบุญคุณของความกตัญญู อะไรคือความรู้สึกดีๆ ที่มีให้หลายปี สุดท้ายก็สู้สายเืเดียวกันไม่ได้
ฉินฮุ่ยหนิงโมโหถึงที่สุด ทว่าเพราะความเกรงกลัวทำให้นางไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้ อีกทั้งนางยังอยากใช้ชีวิตอยู่ในจวนนี้อีก ฉะนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้ความโมโหครั้งเดียว ทำให้คนอื่นส่งตัวนางออกไปจากจวนเด็ดขาด
น้ำตาของนางร่วงหล่นไม่ขาดสาย หน้าข้างหนึ่งยังคงบวมช้ำอยู่ นางร้องไห้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลักษณะของนางในตอนนี้ดูอนาถมาก
คุณหนูหกเห็นแล้วรู้สึกร้อนรนและสงสาร อยากจะเข้าไปปลอบ นางทำท่าว่าจะก้าวเดินออกไป แต่กลับโดนฮูหยินสองจ้องหน้าเขม็ง
นางไม่มีความกล้าที่จะต่อต้านแม่ใหญ่อย่างซึ่งๆ หน้า ทำได้เพียงลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ก้มศีรษะลง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ล่าวไท่จุนเห็นท่าทีของทุกคนเช่นนั้น จึงยกมือขึ้นมานวดหน้าผากตนเอง หลายปีมานี้ นางใช้ชีวิตอย่างราบเรียบมาโดยตลอด นานมากแล้วที่ไม่ได้ใช้สมองเหมือนคนหนุ่มสาว
มีแม่นมฉินที่เข้าใจล่าวไท่จุนเป็ที่สุด นางยกถ้วยชาแดงซึ่งมีอุณหภูมิพอเหมาะมาให้ล่าวไท่จุนอย่างพอดิบพอดี
ถ้วยชาลายทองคำสวยหรูเป็ที่ชื่นชอบของล่าวไท่จุนมาก น้ำชาค่อนข้างเข้มข้นหอมหวาน ข้างในใส่น้ำผึ้ง เมื่อดื่มแล้วจะให้ความรู้สึกหวานหอม ความอุ่นซ่านแผ่กระจายไปทั่วท้อง ทำให้ความไม่พอใจเมื่อสักครู่บรรเทาลงมาก
ในขณะเดียวกัน กลับได้ยินเสียงะโจากข้างนอกดังเข้ามา ครั้นฟังดีๆ แล้ว นั่นเป็เสียงของเด็กผู้หญิงกำลังะโอยู่ “ขอให้ล่าวไท่จุนเป็คนตัดสิน”
ฉินหยีหนิงรู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นหูเหลือเกิน มันเป็เสียงที่ชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ถึงแม้ว่าเสียงดังกล่าวกลายเป็เสียงแตกไปแล้วก็ตาม แต่นางยังฟังออก ว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือหยูเซียง
ที่แท้ คนพูดจริงแล้วทำจริง กล้าจะมาที่นี่ มาฟ้องล่าวไท่จุนแล้ว
ล่าวไท่จุนขมวดคิ้วมุ่น นางวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะเล็ก “คนที่อยู่ข้างนอกนั้นเป็ใครกัน ส่งเสียงโหวกเหวกอย่างกับตัวอะไร”
แม่นมฉินรีบก้าวเท้าเดินออกไป เมื่อเลิกผ้าม่านก็เห็นห้องด้านนอกมีเด็กสาวอยู่ที่ประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าของนางสกปรก มีบ่าวสองคนกำลังดึงนางอยู่ นางกำลังร้องไห้ครวญครางอย่างน่าสงสาร
เมื่อเห็นแม่นมฉินออกมา บ่าวที่อยู่ข้างนอกต่างก็โล่งอก
บ่าวที่อยู่ตรงนั้นเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมพูดเสียงเบา “หยูเซียงที่อยู่ที่เรือนเสวี่ยลี่บุกเข้ามา บอกว่ามีเื่จะให้ล่าวไท่จุนเป็คนตัดสิน”
“ตัดสินก็คือตัดสิน ถึงแม้จะเป็ใครก็ตาม ก็ต้องดูเวลาว่างของล่าวไท่จุนด้วย เ้าโหวกเหวกเสียงดัง ทำให้ล่าวไท่จุนใ เ้ากล้ารับผิดชอบหรือไม่” แม่นมฉินอยู่ในจวนนี้มานานและค่อนข้างมีอำนาจพอสมควร หนึ่งประโยคของแม่นมฉิน ทำให้หยูเซียงหยุดร้องในทันที
หลังจากเห็นแม่นมฉินกลับไปยังห้องข้างใน เมื่อคิดๆ ดูแล้วนางเป็ถึงลูกบ่าว ข้างนอกมีมารดาซึ่งทำงานเป็คนจัดการในบ้านเรือนสามารถช่วยเหลือได้ หยูเซียงรู้สึกว่าตนเองมีคนหนุนหลังมากพอแล้ว
ล่าวไท่จุนได้ยินถ้อยคำซึ่งแม่นมฉินกระซิบข้างหูหลายประโยค สีหน้าพลอยเคร่งเครียด
“คนคนนี้เป็อย่างไร? พามาให้ข้าดูหน่อยซิ”
รุ่ยหลานกับชิวหลู่ซึ่งกำลังรออยู่ข้างนอกนั้น เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวนี้และได้เห็นหยูเซียงก้าวเท้าเข้ามา ความรู้สึกร้อนรนบังเกิดขึ้นทันตา ชิวหลู่เหม่อมอง ส่วนรุ่ยหลานขมวดคิ้วแน่น คิดว่าต้องเกิดเื่ไม่ดีแน่
ฝ่ายหยูเซียงหลังเดินผ่านบานประตูเข้ามาแล้ว เจอรุ่ยหลาน นางยักคิ้วขึ้นและดึงมุมปากล่างอย่างภูมิใจ โดยไม่รอปฏิกิริยาตอบรับของรุ่ยหลาน นางดึงมือของรุ่ยหลาน ฉับพลันน้ำตาเอ่อคลอราวกับจะสั่งได้อย่างไรอย่างนั้น นางร้องไห้
“พี่ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? เมื่อคืนที่ผ่านมาถูกทำร้ายทรมานเช่นนั้น วันนี้ยังต้องทนกับความเ็ปเพื่อมาที่นี่ล่าวไท่จุนเป็คนมีเมตตา นางก็ไม่เคยปฏิบัติแย่ต่อบ่าวเลย ไปกันเถอะ เราไปขอให้ล่าวไท่จุนเป็ผู้ตัดสิน” พูดพลางดึงมือรุ่ยหลานเข้าไปในห้อง
รุ่ยหลานถูกจับและถูกลากเข้าไปในห้องด้านในอย่างไม่อาจต้านทาน ในที่สุดนางก็ผลักมือของหยูเซียงออกไปได้ เมื่อเห็นห้องข้างในนั้นเต็มไปด้วยเ้านายล้อมรอบอยู่ อีกทั้งเหลือบไปมองฉินหยีหนิงซึ่งกำลังนิ่งเงียบอยู่นั้น นางใจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
พูดด้วยความสัตย์จริง นางไม่ได้คิดจะมาฟ้องจริงๆ
หยูเซียงกลับคุกเข่าโค้งคำนับ ใบหน้าเปื้อนสกปรกนั้นมีน้ำตาร่วงลงมาทั้งสองข้าง ลักษณะท่าทางเหมือนกับโดนทรมานแล้วเพิ่งจะโดนปล่อยตัวออกมา
“บ่าวชื่อหยูเซียง เป็บ่าวระดับสองของเรือนเสวี่ยลี่ วันนี้กล้าเสี่ยงออกมา เพื่อมาขอร้อง ให้ล่าวไท่จุนช่วยตัดสินเพื่อความยุติธรรมด้วยเ้าค่ะ” พูดพลางก้มศีรษะโขกลงบนพื้นดัง “โคะๆ”
ล่าวไท่จุนขมวดคิ้ว จ้องมองฉินหยีหนิงด้วยความไม่พอใจ และกล่าวตำหนิ “คนนี้เป็บ่าวของเ้า? เ้าจัดการบ่าวอย่างไรกัน”