ตอนที่ 9 กระดูกสันหลังที่ไม่อาจโค้งงอ
แสงอรุณแรกแย้มทาบทาขอบฟ้าเป็สีทองระเรื่อ ขับไล่ความมืดมิดและความหนาวเหน็บของยามราตรีให้เลือนหายไป ในกระท่อมท้ายเรือนของตระกูลมู่ หลิงซีตื่นขึ้นมาก่อนใครเพื่อน นางไม่ได้ออกไปทำงานบ้านในทันที แต่กลับเดินไปปลุกบิดาที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง
"ท่านพ่อ ตื่นเถิดเ้าค่ะ" นางกระซิบเสียงเบา
มู่เจิ้งปรือตาขึ้นอย่างงัวเงีย "มีอะไรรึ ซีเอ๋อร์? "
"ข้ามีเื่สำคัญจะทำเ้าค่ะ เกี่ยวกับอาการปวดหลังของท่าน" หลิงซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ก่อนที่ท่านจะออกไปทำงาน ข้าอยากจะลองรักษาให้ท่านดูสักครั้ง"
มู่เจิ้งมองลูกสาวด้วยความประหลาดใจระคนเอ็นดู เขายิ้มบางๆ "ลูกพ่อ เ้าไม่ใช่หมอ จะมารักษาพ่อได้อย่างไรกัน? แค่เ้าหายป่วยแข็งแรง พ่อก็ดีใจที่สุดแล้ว" อาการปวดหลังนี้อยู่กับเขามานานหลายปี หาหมอมากี่คนก็ไม่หาย เขาทำใจยอมรับมันเป็ส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
"ท่านพ่อเ้าคะคำโบราณที่ว่า ‘น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน’ อาการาเ็ของท่านก็เช่นกัน มันเกิดจากการทำงานหนักสะสมมานานหลายปี การรักษาจึงต้องค่อยเป็ค่อยไป" หลิงซีจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของบิดา "ได้โปรด เชื่อใจข้าสักครั้งเถิดเ้าค่ะ"
แววตาที่มุ่งมั่นและเปี่ยมด้วยความห่วงใยของลูกสาวทำให้มู่เจิ้งไม่อาจปฏิเสธได้ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า "ก็ได้ ก็ได้ พ่อจะลองดู"
หลิงซีให้บิดานั่งหันหลังให้นางบนเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ "ถอดเสื้อออกเถิดเ้าค่ะ"
มู่เจิ้งทำตามอย่างว่าง่าย แผ่นหลังที่เคยกำยำบัดนี้กลับซูบผอมและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเหนื่อยยาก หลิงซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสมาธิ แล้วเปิดใช้ "ดวงตาทิพย์หยก" ในระดับสูงสุด!
ภาพที่นางเห็น คือเครือข่ายเส้นลมปราณที่ซับซ้อนบนแผ่นหลังของบิดา และนางก็มองเห็นมันได้อย่างชัดเจน จุดอุดตัน ที่เป็ต้นเหตุของความเ็ป! มันคือกลุ่มก้อนพลังงานสีเทาคล้ำที่เกาะตัวกันแน่นอยู่บริเวณบั้นเอวและแนวกระดูกสันหลัง เหมือนกับตะกอนโคลนที่ขวางกั้นทางเดินของสายน้ำบริสุทธิ์ ทำให้พลังปราณไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างสะดวก
นางชักนำพลังปราณอุ่นๆ จากหลินจือที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่าง ให้ไหลไปรวมกันที่ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางจนรู้สึกร้อนวูบวาบ
"ข้าจะเริ่มแล้วนะเ้าคะ อาจจะเจ็บเล็กน้อย"
สิ้นเสียง นางก็ใช้นิ้วที่รวบรวมพลังปราณไว้ กดลงไปบนจุดฝังเข็มสำคัญๆ รอบบริเวณที่อุดตันอย่างแม่นยำ!
"โอ๊ย!" มู่เจิ้งสะดุ้งสุดตัว รู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกเข็มร้อนๆ ทิ่มแทงเข้าไปในกล้ามเนื้อ
"อดทนไว้นะเ้าคะท่านพ่อ!"
หลิงซีไม่ได้หยุดมือนางใช้วิธีการกด คลึง และนวด วนไปตามเส้นลมปราณอย่างเป็ระบบ พลังปราณอุ่นๆ จากปลายนิ้วของนางค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของบิดา เหมือนกับน้ำอุ่นที่ค่อยๆ ละลายก้อนน้ำแข็ง ตะกอนโคลนสีเทาคล้ำที่เกาะกันแน่นเริ่มสั่นคลอนและค่อยๆ สลายตัวทีละน้อย เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มใบหน้าของหลิงซี การทำเช่นนี้ต้องใช้สมาธิและพลังงานสูงมาก
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม...
"เอาล่ะเ้าค่ะ เสร็จแล้ว" หลิงซีถอนนิ้วออก เหงื่อท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม แต่ดวงตาของนางกลับเป็ประกายแห่งความยินดี
มู่เจิ้งที่นั่งตัวแข็งทื่อมาตลอดค่อยๆ ขยับตัว และแล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง!
ความเ็ปเรื้อรังที่เคยเกาะกินแผ่นหลังของเขามานานหลายปี มันหายไป! ไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่ความรู้สึกตึงและปวดหน่วงที่เคยมีอยู่ตลอดเวลานั้น บัดนี้กลับบรรเทาลงไปกว่าครึ่ง! เขารู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
"ซีเอ๋อร์ นี่ นี่มัน" มู่เจิ้งหันกลับมามองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาลองบิดตัวไปมา ยกแขนขึ้นลง มันคล่องแคล่วและไม่เจ็บแปลบเหมือนทุกที! "เ้า เ้าทำได้อย่างไรกันลูก?"
หลิงซีเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางยิ้มบางๆ "ข้าบอกแล้วว่าต้องค่อยเป็ค่อยไปเ้าค่ะ นี่เป็เพียงการรักษาครั้งแรกเท่านั้น เราต้องทำเช่นนี้ทุกวันติดต่อกันสักพักใหญ่ ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำต้มสมุนไพรบำรุงร่างกาย แล้วอาการของท่านพ่อจะค่อยๆ ดีขึ้นจนหายเป็ปกติ"
คำว่าหายเป็ปกติ ทำให้หัวใจของมู่เจิ้งพองโตจนคับอก เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทดลองก้มตัวลงหยิบจอบที่วางอยู่บนพื้น การกระทำที่แสนธรรมดาซึ่งเคยสร้างความเ็ปให้เขามาตลอด บัดนี้กลับทำได้อย่างง่ายดาย!
"์ ์เมตตาแล้วจริงๆ!" เขารำพึงออกมา น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลอาบสองแก้ม เขาดึงลูกสาวเข้ามากอดไว้แน่น "ขอบใจเ้ามากซีเอ๋อร์ ขอบใจเ้ามากจริงๆ ลูกพ่อ"
หลี่ซือที่ตื่นขึ้นมาเห็นภาพนั้นพอดีก็พลอยน้ำตาซึมไปด้วย นางเดินเข้ามากอดสามีและลูกสาวไว้ ทั้งสามคนกอดกันกลมเป็ภาพที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในกระท่อมหลังนี้
แต่แล้ว ่เวลาแห่งความสุขก็ถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี!
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูที่ดังสนั่นหวั่นไหวราวกับจะพังเข้ามาทำให้ทุกคนสะดุ้งสุดตัว!
"เปิดประตูเดี๋ยวนี้! พวกบ้านรอง! พวกเ้าหูหนวกรึอย่างไร!"
เสียงแหลมสูงที่คุ้นเคยของหวังซื่อ ป้าสะใภ้ใหญ่ ดังลอดเข้ามา พร้อมกับเสียงทุบประตูที่ดังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มู่เจิ้งรีบสวมเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ใบหน้าที่เคยเปี่ยมสุขเมื่อครู่กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง เขาส่งสัญญาณให้ภรรยาพามู่เฟยที่เพิ่งตื่นไปหลบอยู่หลังห้อง ก่อนที่เขาจะเดินไปเปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่เห็นก็ทำให้หัวใจของเขาหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม!
หวังซื่อยืนกอดอกเชิดหน้าอยู่หน้าประตู ข้างกายนางคือมู่เฉียงผู้เป็พี่ชายที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ และที่น่าใที่สุด คือท่านย่าจาง! ประมุขสูงสุดของตระกูลที่ปกติแทบจะไม่เคยย่างกรายมาถึงกระท่อมซอมซ่อหลังนี้เลย วันนี้นางกลับมายืนด้วยตัวเอง ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นเรียบเฉยจนน่ากลัว แต่ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยนั้นกลับฉายแววเ็าและกดดันอย่างที่สุด!
และที่ตามมาข้างหลัง คือมู่เทียนหยู! หลานรักของย่าที่ยืนยิ้มเยาะอยู่ที่มุมปาก ราวกับกำลังรอชมละครฉากใหญ่
"ทะ ท่านแม่ พี่ใหญ่ มีเื่อันใดกันรึขอรับแต่เช้า?" มู่เจิ้งเอ่ยถามเสียงสั่น
หวังซื่อไม่ตอบ แต่นางกลับผลักมู่เจิ้งให้พ้นทางแล้วเดินสวนเข้าไปในกระท่อมทันที! นางกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาของเหยี่ยวที่กำลังมองหาเหยื่อ
"มีเื่อะไรน่ะรึ?" นางแค่นเสียงหัวเราะ "ข้าจะมาดูให้เห็นกับตาน่ะสิ ว่าพวกเ้าไปเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อเนื้อหมูกินกัน! หรือว่า พวกเ้าแอบขโมยเงินของตระกูลไป!"
"พี่สะใภ้ใหญ่! ท่านพูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะ!" หลี่ซือทนไม่ไหวอีกต่อไป นางก้าวออกมาจากหลังห้อง เผชิญหน้ากับหวังซื่ออย่างไม่เกรงกลัว "สามีข้าเป็คนซื่อสัตย์ ไม่เคยมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยเหมือนใครบางคน!"
"หน็อย! นังชาวบ้านชั้นต่ำ! นี่เ้ากล้าด่าข้ารึ!" หวังซื่อโกรธจนหน้าเขียว ตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปตบหลี่ซือ
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!"
เสียงที่ดังขึ้นไม่ใช่เสียงของมู่เจิ้ง แต่เป็เสียงของหลิงซี!
นางก้าวออกมาจากเงามืดของห้องนอน ยืนอยู่ตรงหน้ามารดาเพื่อปกป้อง แววตาของนางในยามนี้สงบนิ่งและเยือกเย็นราวกับน้ำในบ่อลึกจนน่าขนลุก นางจ้องตรงไปที่หวังซื่อโดยไม่หลบสายตา
"ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ การบุกรุกเข้ามาในบ้านของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต มิหนำซ้ำยังกล่าวหาผู้อื่นอย่างไร้หลักฐาน นี่คือสิ่งที่ตระกูลบัณฑิตเขาสั่งสอนกันมาหรือเ้าคะ? หรือว่า ‘ต้นไม้คดปลายก็คด’ สันดานโจรมันฝังลึกจนขุดไม่ออกเสียแล้ว?"
คำพูดที่ทั้งสุภาพแต่กลับเชือดเฉือนยิ่งกว่าใบมีดทำให้หวังซื่อถึงกับอ้าปากค้าง! ทุกคนในที่นั้นต่างก็นิ่งอึ้งไป ไม่มีใครคาดคิดว่ามู่หลิงซีที่เคยอ่อนแอและขี้ขลาดจะกล้าต่อปากต่อคำได้อย่างฉะฉานถึงเพียงนี้!
ย่าจางที่ยืนเงียบอยู่นานหรี่ตาลง แววตาที่มองหลิงซีเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนไม่พอใจ
"หลิงซี!" นางเอ่ยชื่อหลานสาวเป็ครั้งแรกด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ "นี่คือวาจาที่เ้าใช้พูดกับผู้ใหญ่รึ? ดูเหมือนว่าการป่วยครั้งนี้จะไม่ได้ทำให้เ้าฉลาดขึ้น แต่กลับทำให้เ้าไร้มารยาทขึ้นสินะ!"
หลิงซีหันไปทางย่าจาง นางโค้งคำนับเล็กน้อยตามมารยาท แต่กระดูกสันหลังของนางยังคงตั้งตรง ไม่ได้โค้งงอลงแม้แต่น้อย
"เรียนท่านย่า ข้าเพียงแค่พูดความจริงเ้าค่ะ ‘ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ’ ครอบครัวของข้าไม่ได้ทำผิดอะไร จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องเกรงกลัวคำกล่าวหาลอยๆ เช่นนี้"
"ดี! ปากดี!" ย่าจางแค่นเสียง "ในเมื่อเ้าบอกว่าพวกเ้าไม่ได้ขโมย เช่นนั้นเงินที่พวกเ้าเอาไปซื้อข้าวขาวเนื้อหมูมาจากที่ใดกัน! ตอบข้ามา!"
บรรยากาศในกระท่อมพลันกดดันจนหายใจแทบไม่ออก ทุกสายตาจับจ้องมาที่หลิงซี รอคอยคำตอบที่จะเป็ตัวตัดสินชะตากรรมของครอบครัวนางในวันนี้
หลิงซีเงยหน้าขึ้น สบตากับย่าจางอย่างไม่หวั่นเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ เป็รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของคนมองกระตุกวูบ
"เงินน่ะรึเ้าคะ? ก็มาจาก ขยะ ที่พวกท่านมองข้ามอย่างไรเล่าเ้าคะ ท่านย่า"