“สิบห้าล้าน…หนึ่งแสน!”
ขณะนั้นเอง เสียงขี้อายจู่ๆ ก็ดังขึ้น
ผู้คนตกตะลึง คนที่เอ่ยขึ้นกลับเป็ชายร่างเล็กที่เล็กจนไม่ทันสังเกตเห็น ฟังจากเสียงอายุคงไม่โตมาก เมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยจบก็ถูกมองจนทำตัวไม่ถูก เขยิบชิดไปข้างชายที่ยืนข้างๆ
เขาคนนี้หาใช่ใครอื่น โหยวเสี่ยวโม่นั่นเอง
อันที่จริงเขาไม่ได้ใส่ใจที่หลิงเซียวแข่งขันประมูล แต่จากเหตุการณ์สองครั้งที่ผ่านมา เขารับรู้ได้ถึงความมือเติบขั้นสุดของหมอนี่ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเขาก็ใช้ไปมากกว่ายี่สิบล้าน
ดังนั้นรอบนี้ไม่ได้ให้เขาเสนอราคาก็เพราะหลิงเซียวขานราคาไปเรื่อย ทั้งๆ ที่เพิ่มแค่นิดหน่อยก็ได้ แต่ก็ยังเพิ่มราคาทีละล้านสองล้าน เล่นเอาเขาแทบลมจับ อันที่จริง เขาไม่รังเกียจที่จะมีเงินเหลือเก็บมากๆ จริงๆ นะ!
ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงยอมเอ่ยราคาเอง ไม่ให้หลิงเซียวลงมือ
เนื้อแพะหมื่นปราณเพิ่มราคาได้ต่อครั้งต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงเลือกที่ต่ำสุด
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกพวกมันทำเสียเื่ ติงสือเหลืออดแล้ว แม้กระทั่งเกิดความคิดสังหารคนในใจขึ้น รังสีที่น่าผวานี้แผ่ซ่านออกมา จ้องมองไปยังหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ราวกับสายฟ้าฟาด
ถึงขั้นบีบให้ติงสือสูญเสียความมีเหตุผลแล้วเกิดอยากลงมือกับหลิงเซียวและโหยวเสี่ยวโม่ที่เป็ลูกค้าเช่นเดียวกัน ก็นับว่าพวกเขานั้นสามารถจริง อย่างน้อยจากสายตาคนอื่นๆ คงคิดเช่นนี้
หลิงเซียวนั้นรับรู้ได้ถึงอารมณ์เดือดดาลของติงสือ ทันใดที่เขาจู่โจมพวกเขา ก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด พลังปราณคู่กายทันใดก็ะเิแผ่ออกมา เปลวไฟสีม่วงพ่นออกมาราวกับคลื่นไฟป่าที่ถาโถม อึดใจเดียวก็ถูกเคลื่อนไปปะทะกับพลังที่โจมตีมาจากด้านหน้า
เมื่อพลังทั้งสองปะทะกัน ทันใดนั้นเสียงะเิดังขึ้น ผู้คนแตกตื่น การปะทะนั้นราวกับน้ำทะเลสาบนิ่งสงบที่มีคลื่นเป็ระลอก จุดที่พลังทั้งสองปะทะกันนั้นแตกกว้างออก…
แต่เื่ราวไม่ได้จบเพียงเท่านี้ พลังเปลวไฟสีม่วงที่แผ่ออกมาจากร่างหลิงเซียวไม่ได้หายไปแต่อย่างใด เพียงแต่แช่นิ่งอยู่กลางอากาศชั่วครู่ จากนั้นพุ่งจู่โจมไปยังติงสืออย่างดุร้าย
“หยุด!”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในโถงกลาง จู่ๆ เงาร่างคนปรากฏขึ้นจากด้านขวาติงสือ ดูเปลวไฟสีม่วงที่โจมตีมา หน้าเปลี่ยนสี พลันคว้าไหล่ติงสือหลบออกเร็วไว
เปลวไฟสีม่วงนั้นพุ่งไปโดนเก้าอี้ที่ติงสือนั่ง เก้าอี้หินที่ทำมาจากหินทรายขาวอันแข็งแกร่งทันใดก็ถูกเปลวไฟหลอมละลาย…
เมื่อเห็นภาพนี้ หลายคนถึงกับสูดหายใจเฮือก หากนี่โดนเข้ากับตัว ชีวิตคงดับมอดทันตา แต่สายตาหลายคนนั้นเหมือนกับคนที่ช่วยติงสือที่ท่าทางใ ะโออกมา
“พลังชั้น ระ ราชัน?”
คำพูดนี้เปรียบเสมือนหินก้อนเดียวที่ก่อคลื่นพันระลอก ทั่วทั้งโถงมีแต่เสียงหายใจดังเฮือก
หากเป็จอมยุทธ์พลังชั้นิญญา พวกเขาคงกลัวไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่ากลับเป็ผู้มีพลังชั้นราชัน จากที่รู้กัน ทั่วแผ่นดินหลงเสียงนั้นมีจอมยุทธ์ชั้นราชันเพียงสามคน นั่นก็ทังฝานแห่งสำนักเทียนซิน ลั่วเฉิงหยวนแห่งสำนักชิงเฉิง และเซินถูเตาแห่งพรรคซิงหลัว
ทั้งสามล้วนเป็ผู้นำ ทั้งสามอำนาจล้วนขึ้นชื่อติดอันดับ
พวกเขาสามารถเป็ผู้นำอำนาจได้นั้นก็อาศัยฝีมือพลังชั้นราชันที่มีอยู่
คิดไม่ถึงว่า วันนี้ในหอหมื่นสมบัติเล็กๆ แห่งนี้ จะปรากฏจอมยุทธ์ชั้นราชันขึ้นมาอีกหนึ่งคน นี่มันหมายถึงฝั่งใต้แผ่นดินหลงเสียงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นหรือ?
ั้แ่หลิงเซียวปล่อยพลังออกมา ใบหน้าของติงสือคงใช้คำว่าซีดเผือดมาบรรยายไม่ได้อีกต่อไป เพราะมันขาวซีดกว่านั้นอีก
พลังเปลวไฟสีม่วงนั้นให้ความกดดันเหมือนกับความรู้สึกจากเ้าสำนัก พริบตาเดียวก็ทำให้เขาหวาดกลัวตื่นตระหนก ดังนั้นจังหวะที่เปลวไฟสีม่วงโจมตีมาทางเขานั้นถึงกับขยับไม่ออก จากนั้นก็ได้ยินเสียงหวาดผวาดังขึ้น หน้าติงสือเปลี่ยนเป็สีเทา ในใจมีเพียงคำว่า ‘แย่แล้ว’
หากให้ประมุขพรรครู้ว่าเขาก่อเื่กับจอมยุทธ์ชั้นราชัน ต่อให้เขาตายหมื่นหนคงชดใช้ความผิดพลาดนี้ไม่ได้
“สหายท่านนี้โปรดใจเย็นก่อน มีอะไรค่อยๆ คุยกัน ข้าน้อยต้องให้คำตอบที่ท่านพอใจแน่”
คนที่ช่วยชีวิตติงสือไว้ได้สติอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลานั้นข่มความตื่นตระหนกไว้ แล้วแทนที่ด้วยท่าทีสง่างาม แต่ก็มิได้บดบังความหล่อเหลาของเขาได้เลย นี่คือชายรูปโฉมงามอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นเพียงเขายกมือคำนับหลิงเซียวแล้วเอ่ย
เมื่อเห็นคนผู้นี้ จู่ๆ หลิงเซียวก็ยิ้มมุมปากขี้เล่น “จะเชื่อเ้าสักครั้ง”
ตอนนี้ผู้คนได้สติ ในที่สุดก็เริ่มสนใจชายผู้นี้ เมื่อเห็นใบหน้าเขา ก็มีคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา “ลั่วซูเหอ?”
คนอื่นๆ ก็เริ่มนึกออก ลั่วซูเหอคือผู้ที่ฝีมือโดดเด่นในการร่วมมือโจมตีเผ่าปีศาจครั้งนั้น มีชื่อเสียงพอกันกับหลินเซียวแห่งสำนักเทียนซิน
แต่ที่ทำให้ผู้คนสงสัยที่สุดคือ ลั่วซูเหอนั้นโผล่ออกมาจากด้านหลังเวที เห็นทีข่าวลือที่ว่าสำนักชิงเฉิงให้การสนับสนุนหอหมื่นสมบัติคงจะเป็จริงอย่างไร้ข้อกังขา อีกทั้งร้อยละเก้าสิบเชื่อว่าสำนักชิงเฉิงเป็เ้าของด้วย
ลั่วซูเหอแม้จะสงสัยกับท่าทีหลิงเซียวที่วางมือง่ายๆ แต่ก็โล่งอก
เพราะว่าจอมยุทธ์ที่ยิ่งมีพลังสูงส่ง ล้วนมีนิสัยแปลกประหลาด จากที่ดูติงสือเป็ผู้ลงมือก่อน ดังนั้นไม่ว่าหลิงเซียวจะฆ่าติงสือ หรือทำร้ายเขาาเ็สาหัส เื่นี้เขาก็ไม่ผิดอยู่ดี หากพรรคซิงหลัวรู้เื่เข้า แต่คิดว่าคงไม่กล้ามีเื่กับผู้มีพลังชั้นราชันเพียงเพราะผู้าุโชั้นอรุณเพียงคนเดียว
แต่ที่เขาโล่งอกไม่ใช่เพราะเื่นี้ แท้จริงแล้วั้แ่ตอนที่ติงสือมีจิตสังหาร เขาก็รับรู้แล้ว แต่ที่ไม่ได้ออกมาแต่ทีแรกนั้นเขาจงใจ
ติงสือนั้นเป็ผู้าุโของพรรคซิงหลัว แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็ถึงจอมยุทธ์ชั้นราชัน คนมีพลังชั้นนี้ทำได้แค่เป็มิตร ห้ามมีเื่ด้วยเด็ดขาด
วิเคราะห์ได้เช่นนี้ ลั่วซูเหอมองไปยังติงสือแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผู้าุโติง ท่านก็ถือว่าเป็ผู้าุโท่านหนึ่งในหอหมื่นสมบัตินี้ คิดว่าคงไม่มีทางไม่รู้ถึงกฎระเบียบของที่นี่ จากที่เห็น ท่านแหกกฎก่อน ข้าน้อยเห็นว่าท่านควรจะออกจากที่นี่ไปเสีย เชิญ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ติงสือสีหน้าขาวซีดทันใด
ผ่านเื่นี้ไป พรรคซิงหลัวในเมืองชิง รวมไปถึงแผ่นดินหลงเสียงฝั่งใต้คงเชิดหน้าชูตาได้ยาก เ้าอำนาจที่น่าเกรงขาม กลับถูกไล่ออกจากโรงประมูล ช่างน่าขันสิ้นดี!
หากว่าหลิงเซียวเป็เพียงผู้มีพลังชั้นอรุณหรือชั้นิญญา ติงสือไม่จำเป็ต้องกลัวเขา เื่ราวในวันนี้ก็คงพลิกเป็ตรงกันข้าม แต่กลับหาเื่กับผู้แข็งแกร่ง ติงสือนั้นคิดผิดถนัด และไม่กล้ากร่างอีกต่อไป ได้แต่เดินจากไปเงียบๆ
หลังจากติงสือออกไป ลั่วซูเหอก็ประกาศเริ่มการประมูลอีกครั้ง
หลิงเซียวประมูลเนื้อแพะหมื่นปราณสามตัวเรียบร้อย สำหรับของประมูลต่อจากนั้นเขาไม่ได้สนใจ จึงพาโหยวเสี่ยวโม่ที่มึนงงอยู่ออกจากโถงกลาง
พอพวกเขาจากไป บรรยากาศในโถงกลางก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที กลับมีคนน้อยนิดที่ยังสนใจการประมูลอยู่ ส่วนใหญ่นั้นถกกันถึงเื่ที่พึ่งเกิดขึ้น มีบางคนถึงขั้นลุกออกไป เพื่อที่จะแพร่ข่าวนี้ไปยังผู้อื่น มีผู้มีพลังชั้นราชันปรากฏตัวขึ้น ข่าวนี้ต้องสร้างความสะทกสะท้านราวกับแผ่นดินไหวสิบสองริกเตอร์
“ศิษย์พี่หลิง ต่อจากนี้เราจะไปไหนกันดี?”
กว่าโหยวเสี่ยวโม่จะรู้สึกตัว จู่ๆ ติงสือก็จู่โจมขึ้นทำเขาสะดุ้งโหยง เขานึกว่าการประมูลนั้นทำได้แค่ใช้ปากห้ามใช้กำลัง วันนี้หากไม่มีหลิงเซียวอยู่ข้างกาย เขาคงตายไปแล้ว แต่พอนึกย้อนดูก็ไม่ได้กลัวมากถึงเพียงนั้น เพราะยังไงก็ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายเช่นนี้มาแล้วหลายรอบ เริ่มมีประสบการณ์
“ไปเอาเนื้อแพะหมื่นปราณ” หลิงเซียวหมุนตัวกลับมาช่วยเขาจัดที่กำบังให้เข้าที่
ทั้งสองเดินเข้าประตูหลังหอหมื่นสมบัติ ลั่วซูเหอรอพวกเขาอยู่แล้ว
ลั่วซูเหอคนนี้ โหยวเสี่ยวโม่ไม่ค่อยรู้จัก แต่จากท่าทีที่เขาแสดงออกในโถงกลาง ลั่วซูเหอคือคนฉลาดมีไหวพริบอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ไม่สร้างความบาดหมางกับพรรคซิงหลัว ทั้งยังสามารถเอาใจจอมยุทธ์ชั้นราชันได้อีกด้วย ไม่แปลกที่จะถูกยกย่องว่าเป็อัจฉริยะยอดคนเช่นเดียวกับหลินเซียว
เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา ลั่วซูเหอยิ้มอ่อนโยนสง่างาม “สหายทั้งสองมาได้รวดเร็วนัก นี่คือเนื้อแพะหมื่นปราณหกร้อยชั่ง เชิญดูก่อน”
โหยวเสี่ยวโม่เอะใจเล็กน้อย ลั่วซูเหอหาได้วางตัวกับพวกเขามากมาย อีกทั้งดูแล้วเหมือนคุณชายผู้สูงส่ง และไม่ใช่การแกล้งทำตัวให้เหมือน ไม่เหมือนกับหลิงเซียว ‘ผู้เสแสร้ง’ แม้แต่นิด คิดเช่นนี้แล้ว เขายังแอบชำเลืองมองหลิงเซียว จากนั้นรีบถอนสายตากลับมาก่อนที่เขาจะรู้ตัว
เมื่อรับถุงเก็บของมาจากมือเขา ของด้านในปริมาณตรงตามนั้น พื้นที่ถุงเก็บของไม่ใหญ่มากนัก เนื้อหกร้อยชั่งก็เต็มพื้นที่แล้ว แต่เนื้อนั้นสดใหม่มาก ราวกับว่าพึ่งถูกถลกเนื้อมาจากตัวแพะหมื่นปราณไม่นาน
เมื่อเก็บถุงเก็บของไว้ที่เอวแล้ว โหยวเสี่ยวโม่เอาเงินที่หลิงเซียวให้เขาก่อนหน้านั้น และเงินของเขาเอง ใช้พลังปราณิญญานับเงินทั้งหมดสามสิบห้าล้านหนึ่งแสนออกมา ใ่ส่ไว้ในถุงเก็บของของเขา แล้วยื่นให้ลั่วซูเหอ
ลั่วซูเหอไม่ได้นับซึ่งหน้าพวกเขา ถือเป็การเชื่อใจพวกเขาแบบหนึ่ง แต่ที่มากกว่านั้นคือการสร้างสัมพันธ์
ถัดจากนั้น ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน เพียงไม่กี่คำพูด หลิงเซียวก็พาโหยวเสี่ยวโม่จากมา
เห็นเงาพวกเขาออกไป ครู่เดียว เงาใครบางคนก็เดินเข้ามาไม่รีบไม่ร้อน เมื่อเห็นลั่วซูเหอ คิ้วที่ผูกเป็ปมก็คลายลงมาก เอ่ยขึ้น “ซูเหอ จอมยุทธ์ท่านนั้นไปแล้วหรือ?”
ลั่วซูเหอพยักหน้าให้เขา “ขอรับ ท่านพ่อ!”
ชายผู้นี้ก็คือลั่วเฉิงหยวน พ่อของลั่วซูเหอ เมื่อได้รับข่าวจากลูกชาย เขาก็รีบมาทันที แต่ช้าไปก้าวเดียว แต่ไม่ถือว่าพลาดอะไร
“รู้ที่มาของพวกเขารึเปล่า?” ลั่วเฉิงหยวนเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง หน้าตาฉงนสงสัยแล้วเอ่ย
“พวกเขาระวังตัวมาก” ลั่วซูเหอส่ายหัว
พูดจบ หน้านิ่งะเืของลั่วเฉิงหยวนก็เผยความวูบวาบชั่วครู่ เพียงเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าพวกเขาจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับสำนักเทียนซินจะเป็การดีมาก”
ที่เขาเป็ห่วงที่สุดคือความเกี่ยวข้องของจอมยุทธ์พลังชั้นราชันคนนั้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้ เขาพึ่งขโมยตำรับสูตรยาขั้นเก้าของสำนักเทียนซินมา แม้เบื้องหน้าสำนักเทียนซินยังไม่มีท่าทีอะไร แต่เขารู้ สำนักเทียนซินต้องเดาออกว่าเป็ฝีมือเขา เพียงแต่ไม่มีหลักฐาน ดังนั้นถึงแสดงออกมาเงียบเชียบเช่นนี้
ลั่วซูเหอเดินไปข้างเขา โอบไหล่เบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ท่านพ่อ อาการาเ็ของท่านเป็ยังไงบ้าง ยังมีอะไรน่าเป็ห่วงหรือไม่?”
“อาการดีขึ้นกว่าครึ่งแล้ว ไม่ต้องเป็ห่วงแทนข้าหรอก” ลั่วเฉิงหยวนเอ่ย
ขณะเดียวกัน ข่าวการปรากฏตัวของจอมยุทธ์ชั้นราชันก็แพร่สะพัดไปทั่วฝั่งใต้แผ่นดินหลงเสียงในเวลาอันรวดเร็ว หลายเ้าอำนาจต่างได้รับข่าวนี้ อย่างสำนักเทียนซิน พรรคซิงหลัว พรรคเซียวเหยาเป็ต้น ทว่าผู้ที่มีปฏิกิริยาตอบโต้หนักสุดเห็นจะเป็พรรคซิงหลัว ใครใช้ให้ผู้าุโของพวกเขาไปหาเื่กับจอมยุทธ์ชั้นราชันกันล่ะ หลายคนที่รอดูหายนะของพวกเขาอย่างสนุกสนาน
ส่วนหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ เมื่อออกจากหอหมื่นสมบัติปุ๊บ ก็มีคนสะกดรอยตามทันที
คนที่สะกดรอยพวกเขาล้วนตามมาจากหอหมื่นสมบัติ แต่หลิงเซียวไม่ได้สนใจพวกเขา แต่ก็ไม่ได้สลัดพวกเขา เพราะไม่รีบ
โหยวเสี่ยวโม่หาได้รู้ไม่ว่าโดนสะกดรอยตาม เห็นว่ายังพอมีเวลา จึงดึงหลิงเซียวไปเดินเล่นต่อในเมืองชิง
เมืองชิงกับเมืองฮุยจี๋นั้นไม่เหมือนกัน บนตรอกมีร้านค้าหลากหลายหน้าร้านดูหรูหรา ชัดว่าล้วนเป็พวกฐานะดี เดินดูได้หลายร้าน โหยวเสี่ยวโม่ก็หมดอารมณ์ ไม่ใช่เพราะไม่เจอสิ่งที่ตัวเองสนใจ แต่เพราะหญ้าเซียนในร้านนั้นแพงกว่าที่เมืองฮุยจี๋เสียอีก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ หญ้าเซียนขั้นสูงไม่ค่อยจะมี เมล็ดพันธุ์นั้นแทบไม่เห็น เห็นได้ว่าหญ้าเซียนขั้นสูงนั้นหายากเพียงใด
เมื่อไม่สามารถหาสิ่งที่อยากได้ โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่อยากอยู่ค้างที่เมืองชิง จึงออกมาพร้อมหลิงเซียว
เมื่อออกจากเมืองชิง คนสอดแนมของแต่ละเ้าอำนาจก็สะกดรอยตามพวกเขา แต่ปรากฏว่าพึ่งพ้นประตูเมือง เงาของพวกเขาสองคนก็หายไปซะแล้ว…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้