ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจ กู้ชิงฮั่นท่าทางแน่นิ่ง พูดอย่างเรียบเฉยว่า “พวกท่านวางใจได้ ไฟไหม้ในครั้งนี้ต้นเพลิงมาจากร้านของเรา ความเสียหายของพวกเ้า ทางจวนโหวจะชดใช้ให้อย่างแน่นอน”
พอทุกคนได้ยินดังนั้น ก็พากันมีรอยยิ้มขึ้นมา
“พวกท่านกลับไปตรวจสอบความเสียหายดู ว่าสรุปแล้วเสียหายกันไปเท่าไหร่ หลังจากยืนยันแน่นอนแล้ว ทางจวนโหวจะชดใช้ให้โดยไม่ขาดแม้แต่แดงเดียว” สีหน้าของกู้ชิงฮั่นดูอ่อนล้า “ไฟไหม้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย ต้องขออภัยจริงๆ”
มีคนคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินซานพูดแบบนี้ง่ายไปหรือไม่ จริงๆ พวกเราก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากขนาดนั้น หากบวกลบแล้วก็น่าจะราวๆ สามสี่พันตำลึงเท่านั้นเอง” เขาหันมองกลับไปที่ซากปรักหักพัง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไฟเผาไหม้ทุกอย่างไปหมดแล้ว หากจะให้ตรวจสอบ เกรงว่าจะไม่ง่ายนัก”
“จริงด้วย หลูตงพูดมาก็มีเหตุผล บัญชีถูกเผาไปหมดแล้ว ให้เราไปตรวจสอบอีกคงจะไม่ง่ายเลย” คนข้างๆ รีบพูดเสริมขึ้นมาว่า “แต่ว่าแต่ละร้านเองก็มีบัญชีลงทุนอยู่ หากจะให้ตรวจสอบอย่างละเอียดคงจะไม่ง่าย แต่หากเป็จำนวนคร่าวๆ แล้วก็พอไหว พวกเราเคารพและให้เกียรติจิ่นอีโหว ต่อให้ขาดทุนนิดหน่อย ก็ไม่เป็ไร”
“ทุกท่านมีน้ำใจถึงเพียงนี้ จวนจิ่นอีโหวของพวกข้าซาบซึ้งยิ่งนัก” ทุกคนกำลังซุบซิบกัน หยางหนิงกลับเดินมา สีหน้านิ่ง “ซานเหนียงก็พูดไปแล้ว พวกท่านเสียหายกันเท่าไหร่ ทางจวนโหวของเราจะรับผิดชอบทุกอย่าง ในเมื่อทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อน ก็จะไม่ให้พวกท่านต้องเสียเปรียบแน่นอน”
ทันใดนั้นเองมีคนที่รู้จักจิ่นอีซื่อจื่อก็พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อซื่อจื่อท่านรับปากพวกเราแล้ว พวกเ้าทุกคนก็วางใจเสียเถิด”
หยางหนิงมองไปทางหลูตง ยิ้มแล้วถามไปว่า “หลูตง เ้าบอกว่าร้านของพวกเ้าเสียหายประมาณสามสี่พันตำลึงอย่างนั้นหรือ?”
“ประมาณนั้นขอรับ” หลูตงรีบตอบกลับ “ซื่อจื่อวางใจเถิด ร้านของข้าน้อยเป็เพื่อนบ้านกับร้านท่านมาหลายปี ครั้งนี้จวนโหวเดือดร้อน เราเองก็จะช่วยรับผิดชอบในบางส่วน”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากท่านเสียแล้ว จริงสิ หลูตงร้านของท่านค้าขายสิ่งใดกัน?”
“อ๋อ” หลูตงกล่าวว่า “ข้าน้อยขายเกลือขอรับ!”
หยางหนิงใ ในใจก็คิดว่าเกลือเป็สินค้าควบคุมของราชสำนักมิใช่หรือ? เท่าที่รู้มา ทางการมีหน่วยงานดูแลเกลือโดยเฉพาะ ทั่วทั้งแคว้นต่างมีตั้งศูนย์เกลือในแต่ละท้องที่ เพื่อควบคุมการขนส่งซื้อขายเกลือ เหมือนว่าชาวบ้านจะไม่มีสิทธิ์ในการขายเกลือเอง หากตรวจพบว่ามีการลักลอบค้าเกลือ มีโทษหนัก
หรือว่าหลูตงจะเป็ขุนนางที่ค้าเกลือ?
“ที่แท้ก็เป็ร้านขายเกลือนั่นเอง” หยางหนิงสีหน้ากึ่งยิ้มไม่ยิ้ม “หลูตง ปกติแล้วร้านของท่านกักตุนเกลือไว้มากใช่หรือไม่?” สายตาของเขาเริ่มดุดัน แล้วเดินไปถามผู้ดูแลสวีว่า “ผู้ดูแลสวี ในเมื่อหลูตงเป็ร้านเพื่อนบ้านของเรา ท่านก็น่าจะคุ้นเคยกับเขาเป็อย่างดีจริงหรือไม่”
สีหน้าของผู้ดูแลสวีซีดเซียว สีหน้าเหมือนิญญาหลุดออกจากร่างไปแล้ว เมื่อได้ยินหยางหนิงถามขึ้นมา จึงรีบตอบว่า “รู้จักกับหลูตงมาประมาณหกเจ็ดปีแล้วขอรับ”
“ผู้ดูแลสวี ร้านของหลูตง ใหญ่กว่าของเราอย่างนั้นรึ?”
ผู้ดูแลสวีไม่รู้ว่าร้านยาของหยางหนิงขายยาสิ่งใดบ้าง เขามองไปที่กู้ชิงฮั่น เห็นกู้ชิงฮั่นหน้านิ่ง จึงตอบกลับไปว่า “ร้านหลูตงขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของร้านพวกเรา”
“ร้านของพวกเรา ตอนนั้นใช้เงินลงทุนไปเท่าไหร่?”
ผู้ดูแลมองไปที่กู้ชิงฮั่นอีกครั้ง กู้ชิงฮั่นเป็คนฉลาด นางเข้าใจความหมายของหยางหนิงในทันที แล้วพูดว่า “ทำเลของร้านนี้ดีมาก ตอนนั้นพวกเราลงทุนไปทั้งหมด น่าจะประมาณหกร้อยตำลึง”
หยางหนิงหันไปมองหลูตง ยิ้มแล้วย้อนถามว่า “ถ้าอย่างนั้นร้านของหลูตง ในตอนนั้นใช้เงินไปกี่ตำลึงเล่า?”
หลูตงเองก็เป็พ่อค้าที่ฉลาด หยางหนิงถามกลับมาแบบนี้ ก็รู้ทันทีว่าหนางหนิงกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงหลบสายตา ไม่ตอบคำถาม
“ต่อให้เป็ในตอนนี้ อย่างมากก็แค่สี่ร้อยตำลึงเท่านั้น” ผู้ดูแลสวีเริ่มได้สติกลับมา “นี่ถือว่าเป็ราคาที่สูงที่สุดแล้ว หลูตง ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วเคยมีคนอยากจะซื้อที่ของร้านเ้าด้วยราคาสามร้อยตำลึง เ้าเองก็เกือบจะรับปากเขาแล้วมิใช่หรือ”
หลูตงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก “เื่นั้น...เื่นั้น หน้าร้านมันก็ราคาเท่านี้ขอรับ แต่ว่าเกลือในร้าน...!”
“หลูตงร้านเกลือของเ้าคงไม่ได้วางขายภาพวาดโบราณอะไรใช่หรือไหม เพราะอย่างนั้นของที่โดนเผาไปก็คงไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมาย” หยางหนิงพูดจานิ่มๆ “ต่อให้ข้าไม่รู้ว่าราคาเกลือมันเท่าไหร่ แต่ว่าการที่เ้าบอกว่าเ้าเสียหายไปสามสี่พันตำลึง ตัดค่าร้านออกไป ยังมีค่าเสียหายอีกสองสามพันตำลึง ไม่ทราบว่าเงินสองสามพันตำลึงนี้ ซื้อเกลือได้เท่าไหร่กันหรือ?”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างเป็พ่อค้า เห็นหลูตงกระอักกระอ่วน ก็รู้สึกว่ายินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของหลูตง แอบคิดว่าเ้านี่กล้าเสนอราคาเกินตัว เป็อย่างไรเล่า จิ่นอีโหวซื่อจื่อพูดมาสองสามคำ ก็ตีหน้าเ้าแตกไม่มีชิ้นดี ในใจก็ต่างพากันคิดว่าค่าเสียหายยังไงก็ได้คืน แต่จะเรียกราคาเกินตัวไม่ได้
พวกเขาต่างก็รู้ดี เกลือถึงแม้จะเป็ของที่ทุกคนขาดไม่ได้ แต่ราคาก็ไม่ได้สูงนัก ถือเป็ของกำไรน้อยแต่ขายในปริมาณมาก อย่าว่าแต่พันตำลึงเลย แค่ห้าหกร้อยตำลึง ก็สามารถซื้อเกลือมาเติมให้เต็มร้านได้แล้ว อีกอย่างไม่มีร้านเกลือร้านไหนกักตุนเกลือไว้เต็มร้านกันหรอก ความเสียหายของหลูตง หากบวกลบดูแล้ว ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งพันตำลึงเท่านั้น
หยางหนิงพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้สืบสาวราวเื่กับหลูตงต่อ มองไปที่ผู้คนรอบๆ แล้วพูดว่า “ครั้งนี้ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนไปด้วย ข้าต้องขออภัยจริงๆ เื่แบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว อะไรที่ควรรับผิดชอบ ทางจวนจิ่นอีโหวจะไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ฮูหยินซานก็บอกกับทุกท่านไปแล้ว พวกท่านเสียหายกันเท่าไหร่ แม้แต่แดงเดียวเราก็จะไม่ให้ค้าง หลักการของจวนจิ่นอีโหว มีหนี้ก็ต้องชดใช้...!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็พูดเสียงเข้มๆ ว่า “แต่ถ้าหากว่ามีคนอยากจะฉวยโอกาสจากเื่นี้แล้วล่ะก็ ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อนให้เลิกคิดเสียเถิด ทางจวนจิ่นอีโหวจะไม่ค้างหนี้ของใคร แต่ว่าหากจะมาติดค้างหนี้กับทางจวนจิ่นอีโหวแล้วล่ะก็ คิดว่าน่าจะไม่ใช่เื่ดีนัก”
พ่อค้าร้านต่างมองหน้ากัน ในใจกำลังคิดว่า ใครๆ ก็บอกว่าจิ่นอีโหวซื่อจื่อสมองไม่ปกติ แต่ว่าในตอนนี้ เหมือนจะไม่เป็อย่างนั้น
“พูดได้ดี!” เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังของหยางหนิง เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมา “มีหนี้ต้องชดใช้ นี่มันความองอาจของจิ่นอีโหว ซื่อจื่อได้รับสืบทอดความองอาจนี้มา น่ายินดียิ่งนัก”
หยางหนิงหันหน้าไปมอง เห็นมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา คนที่เดินนำมานั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ พกดาบ ห้อยหยก ท่าทางดูเหมือนคุณชายบ้านตระกูลใหญ่ อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบห้ายี่สิบหกปี
ชายผู้นี้หน้าตาไม่คุ้น หยางหนิงไม่เคยเจอเขา แต่จากท่าทีของเขา น่าจะเป็ลูกหลานขุนนาง ก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทางไหนเหมือนกัน
ชายผู้นั้นเดินขึ้นเข้ามา มองไปที่หยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ไม่เจอกันนานเลยนะ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ท่านถูกจับตัวไป ข้าน้อยเป็ห่วงแทบแย่ ต่อมาได้ยินว่าท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าน้อยดีใจยิ่งนัก” จากนั้นก็มองไปที่กู้ชิงฮั่น เดินเข้าไป ยกมือขึ้นคำนับกู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “ท่านนี้น่าจะเป็ฮูหยินสามของจวนจิ่นอีโหวใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นเองก็เหมือนจะไม่เคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อนเช่นกัน นางพูดว่า “เ้าเป็ใคร?”
“ข้าน้อยโต้วเหลียนจง พ่อของข้าโต้วขุย” ชายผู้นั้นยิ้ม แล้วสายตาจ้องไปที่กู้ชิงฮั่น ไม่ละสายตา
“อ่อ ที่แท้ก็ลูกชายของใต้เท้าโต้วนี่เอง” กู้ชิงฮั่นพูดอย่างเรียบเฉย “ดึกดื่นป่านนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายโต้วมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”
หยางหนิงเองก็เดินเข้ามาแล้วมองไปที่โต้วเหลียนจง ในใจก็แอบคิดว่าชายผู้นี้ดูแล้วคงมิใช่คนดีเท่าไหร่นัก เห็นสายตาของเขาที่มองไปที่รูปร่างของกู้ชิงฮั่นแล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็คนดีอะไรนัก
“ไฟไหม้ครั้งนี้ไม่ใช่เื่เล็ก” โต้วเหลียนจงจึงมองไปที่ซากปรักหักพัง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ต้นเพลิงมาจากที่ใดหรือ? อย่าบอกนะว่าต้นเพลิงมาจากโรงรับจำนำของท่าน?”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นไม่แยแส แล้วถามย้อนกลับไปว่า “คุณชายโต้วรู้ได้อย่างไรว่าเพลิงเกิดจากโรงรับจำนำ?”
โต้วเหลียนจงจึงรีบพูดว่า “ฮูหยินสามอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าน้อยไม่ได้มีปัญญาจะรู้ล่วงหน้า ก็แค่เห็นซื่อจื่อพูดถึงเื่ชดใช้ค่าเสียหาย จึงคิดว่าร้านอื่นๆ ก็น่าจะเดือดร้อนไปด้วย” จากนั้นก็มองไปที่ทุกคน แล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านมีอะไรให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เื่ของท่านจวนโหว คงไม่รบกวนคนอื่น ความหวังดีของคุณชายโต้ว ข้าขอรับมันไว้ด้วยใจ”
“ฮูหยินสามไม่ต้องเกรงใจ” โต้วเหลียนจงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ กู้ชิงฮั่น “ข้าน้อยกับซื่อจื่อเป็เพื่อนที่ดีต่อกัน เื่ของเขาก็คือเื่ของข้าน้อย หากมีสิ่งใดให้ข้าน้อยช่วย ก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” จากนั้นก็ยิ้มให้กู้ชิงฮั่น “เรามันคนกันเองทั้งนั้น หากคิดเล็กคิดน้อยกันเกินไป มันจะห่างเหินกันเสียปล่า”
หยางหนิงรู้ทันทีว่าเ้าหมอนี่น่าจะมีอดีตอะไรกับจิ่นอีโหวซื่อจื่อแน่ๆ เห็นเขาเดินเข้าใกล้กู้ชิงฮั่นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองเขาก็ยื่นมือไปจับแขนของโต้วเหลียนจง โต้วเหลียนจงไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกหยางหนิงกระชาก โต้วเหลียนจงจึงถูกดึงไปข้างๆ ทำให้เขามีระยะห่างกับกู้ชิงฮั่น
โต้วเหลียนจงรู้สึกโกรธมาก หยางหนิงจับมือของเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เ้าเอง ดึกดื่นป่านนี้ เ้าเพียงอยากจะมาช่วยจริงหรือ?”
โต้วเหลียนจงเห็นหยางหนิงยิ้ม จะโมโหใส่ก็ไม่ได้ คิดอยากจะสลัดมือของหยางหนิงทิ้ง กลับเห็นว่าหยางหนิงจับมือของเขาแน่นจนแกะไม่ออกเอาเสียเลย แถมแรงนั้นก็ไม่น้อยด้วย เมื่อเห็นเขาบีบจนเจ็บ ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เ้าปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้”
“อะไรกัน โกรธกันแล้วรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ยังบอกอยู่เลยว่าเป็เพื่อนที่ดีต่อกัน ทำไมจับมือแค่นี้ไม่ได้รึ?”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงเข้มลง แล้วพูดว่า “พี่น้องแท้ๆ ก็ยังต้องคิดบัญชีให้ชัดเลย ข้ามาที่นี่เพราะมีเื่สำคัญต้องทำ เ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” จากนั้นเขาก็ใช้แรงสลัด ครั้งนี้หยางหนิงปล่อยเขาไป แล้วถามว่า “เ้าบอกว่ามีเื่สำคัญ หมายความว่าอย่างไร?”
โต้วเหลียนจงเหลือบมองหยางหนิงด้วยสีหน้ารังเกียจ แล้วหันไปมองกู้ชิงฮั่น ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่ถนนใกล้ๆ แถวนี้ ได้ยินว่าเหตุเกิดไฟไหม้ขึ้น จึงรีบร้อนมาที่นี่ กลัวว่าจะเป็โรงรับจำนำของท่านหรือไม่ แต่ก็อย่างว่ากลัวอะไรได้อย่างนั้น ท่านดูโรงรับจำนำของท่าน...!” เขาถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“คุณชายโต้ว ทางเรายังมีเื่อีกมากที่ต้องทำ หากท่านมีเื่สำคัญอันใดก็พูดมา” สีหน้าของกู้ชิงฮั่นไม่ได้ดีมากนัก “หากว่าท่านไม่มีเื่สำคัญอันใด ข้าก็ขอเชิญให้ท่านกลับไปก่อนเถอะ”
โต้วเหลียนจงยื่นมือเข้ามาในเสื้อ แล้วหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็ยกขึ้นมาแล้วพูดอย่างได้ใจว่า “ฮูหยินสาม ท่านลองดูนี่สิ นี่ใช่ใบจำนำของร้านท่านหรือไม่?” จากนั้นก็ยื่นกระดาษใบนั้นมา กู้ชิงฮั่นยื่นมือออกไปรับ นางกวาดสายตามองไป จากนั้นก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยกมือขึ้นถามโต้วเหลียนจงว่า “ใช่ นี่เป็ใบจำนำของร้านข้า แล้วมันไปอยู่ในมือของเ้าได้อย่างไร?”
“ฮูหยินสามท่านช่างพูดตลกเสียจริง” โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “จำนำของก็ต้องเขียนใบรับจำนำ มีของจำนำอยู่ที่ร้านของพวกท่าน ในมือข้าก็ต้องมีใบรับจำนำอย่างไรเล่า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้