หวงฝู่จินยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา “ข้าไม่ใช่คนเช้าชามเ็ามอย่างที่เ้าว่า ข้าน่ะจริงจังกับการเตรียมการเผื่ออนาคตเป็อย่างมาก ดังนั้นอย่าได้คิดว่าข้าเหมือนกับชาวเป่ยหรงทั่วไปเชียว”
หลินฟู่อินคอตกแล้วกลอกตา
หวงฝู่จินไม่ใส่ใจท่าทีเ็าของนาง จากนั้นเขาก็คอยถามนางถึงคำแนะนำสำหรับการทำธุรกิจอยู่เป็ระยะ และนางก็ตอบเขาอย่างเหมาะสมทุกครั้ง โดยที่หวงฝู่จินก็ไม่เคยพลาดที่จะปรบมือเมื่อถูกใจในคำตอบ
เมื่อไปถึงชิงเหลียนแล้ว หวงฝู่จินก็สั่งให้คนขับรถม้าขับตรงไปยังร้านที่หลินฟู่อินซื้อไว้ทันที
พ่อบ้านของเจียงฮูหยินได้ให้กุญแจไว้กับหลินฟู่อิน หลินฟู่อินจึงพาหวงฝู่จินไปเปิดร้านเพื่อเชยชม
ตัวร้านนั้นกว้างใหญ่ หากคำนวณด้วยวิธีการแบบปัจจุบัน แต่ละห้องจะมีขนาดราวห้าถึงหกร้อยตารางเมตร ใหญ่กว่าร้านเดิมในเมืองของนางถึงสองเท่า หรือต้องบอกว่ามากยิ่งกว่าสองเท่าเสียอีกเพราะที่นี่เองก็มีส่วนหลังร้านด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ได้นำมันมานับเป็พื้นที่ร้านก็ตาม
หลินฟู่อินมองร้านอันใหญ่โตนี้แล้วก็รู้สึกประทับใจท่วมท้นยิ่งนัก
แม้ว่านี่จะเป็ร้านที่ต้องทำร่วมกับหลิวฉินก็ตาม แต่นางก็มีร้านใหญ่มากถึงเพียงนี้เลย!
ไม่ว่าจะเป็ยุคสมัยใด ปัจจัยสี่ก็เป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ มันจึงทำกำไรได้มหาศาลเสมอ
นางเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ในใจคิดว่าจะทำทางเชื่อมระหว่างร้านสี่ร้าน ตกแต่งให้สวย แล้วเปิดเป็ร้านใหญ่
แล้วประกายความคิดในหัวก็ส่องสว่าง ในสี่ร้านนี้นางจะแบ่งส่วนไว้สำหรับเป็ที่พักด้วยส่วนหนึ่ง ด้านหน้าอาคารใช้เป็ที่กินดื่ม ด้านหลังทำเป็ที่พักสำหรับพ่อค้าแม่ค้าขาจร
นี่ทำเงินได้แน่
ส่วนอีกสี่ร้านนั้น นางคิดจะใช้หนึ่งร้านเพื่อทำเป็ร้านขายแป้งและชาด เพื่อเอาไว้ขายสินค้าเสริมสวยที่นางผลิตเอง
หนึ่งร้านเพื่อเป็ร้านขายเสื้อผ้า เพราะในเมื่อมีคนมาพัก ก็แปลว่าต้องมีคน้าใช้เสื้อผ้า
เพราะเหล่าพ่อค้าแม่ค้าขาจรที่มาพักก็ต้องใช้เสื้อผ้าด้วย ดังนั้นแล้วนางจะจัดส่วนใหญ่ให้เป็ชุดบุรุษ และอีกส่วนเล็กๆ ให้เป็ของสตรีและเด็ก
เื่รายละเอียดเอาไว้ค่อยคิดทีหลัง
อีกหนึ่งร้านก็แบ่งออกเป็ร้านเล็กสองร้าน ครึ่งหนึ่งใช้ขายขนมขบเคี้ยว อีกครึ่งสำหรับขายไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสน
ส่วนอีกร้านตรงนี้ เอาไว้ค่อยคิด
หวงฝู่จินมองไปรอบๆ แล้วพยักหน้า “ได้ทั้งแปดร้านมาเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่านัก”
หลินฟู่อินหันไปมองเขาแล้วถาม “ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
แม้นางเองก็คิดว่านี่เป็การซื้อที่คุ้มค่า แต่นางก็อยากฟังความเห็นของหวงฝู่จินด้วย เพราะอย่างไรคนผู้นี้ก็ต่างจากชาวเป่ยหรงทั่วไปอย่างที่เขาอ้างจริงๆ
หลินฟู่อินรู้ว่าเขาชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือจากฝั่งต้าเว่ย ทั้งการอ่านเกี่ยวกับดวงดาวไปจนถึงภูมิศาสตร์ นิยาย หรือเื่ไร้สาระ เขาล้วนชอบอ่านทั้งสิ้น
และการรักการอ่านก็นับเป็นิสัยที่ดี เพราะนางเองก็ชอบเช่นกัน
นางมองออกว่าเขาเป็คนรักการอ่านได้จากท่าทีและคำพูดคำจาของเขา แม้นางจะไม่รู้อย่างชัดเจนว่าเขาชอบอ่านอะไรด้วยความที่เขาเป็คนเป่ยหรงก็ตาม แต่นางก็ััได้
หวงฝู่จินมองหลินฟู่อินแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูหลินกำลังทดสอบข้าอยู่หรือ?”
นับั้แ่รู้จักกับหวงฝู่จินมา นอกจากตอนที่พบกันครั้งแรกไม่กี่ครั้งแล้ว เขาก็ไม่เคยเรียกนางว่าคุณหนูหลินอีกเลย แต่เมื่อมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้ว นางก็เข้าใจได้ว่าเขากำลังจงใจหยอกล้อนางอยู่
“ใช่ ข้ากล้าพอที่จะลองทดสอบคุณชาย” หลินฟู่อินกล่าว
หวงฝู่จินชี้ไปยังส่วนหลังของอาคารแล้วกล่าว “เ้าสังเกตหรือไม่ ว่าแม้หน้าร้านจะกว้าง แต่ส่วนหลังนั้นลึกกว่า? และส่วนหลังนี้ ถึงมันจะแบ่งย่อยไปมาก แต่มันไม่ถูกนับเป็ส่วนหนึ่งของตัวอาคารในตอนขาย เป็เพียงส่วนเสริม เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วมองดูขนาดต่อ แม้ขนาดของส่วนหลังจะต่างกันไปทั้งแปดอาคาร แต่รวมกันหมดแล้วก็ยังนับว่าใหญ่มาก หากเ้าบริหารพื้นที่ดีๆ ด้วยแล้ว ก็นับว่าคุ้มเกินราคาไปมากมิใช่หรือ?”
หลินฟู่อินฟังแล้วจึงคลี่ยิ้มออกมา แล้วพยักหน้ารับให้กับประโยคสุดท้ายนั้น
“เช่นนี้ถือว่าข้าผ่านการทดสอบของคุณหนูแล้วหรือยัง?” หวงฝู่จินยิ้มละมุน
“ผ่านแล้ว คุณชายนับว่ามีวิสัยทัศน์และการวางแผนที่ดียิ่งนัก” หลินฟู่อินเองก็ยิ้มออกมา แต่นางกลับกล่าวต่อทันที “แต่ส่วนหลังร้านนี้ก็ใช้ประโยชน์ได้ยาก อย่างมากก็คงเป็ได้เพียงห้องเก็บของหรือที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อเท่านั้น จึงเรียกได้ว่ามันไม่ได้มีประโยชน์มากนักสำหรับผู้ซื้อส่วนมาก”
หวงฝู่จินย่นคิ้ว ต้องยอมรับว่านางคิดถูก
ดังนั้นร้านแปดร้านนี้จึงขายไม่ออกในตอนแรก เพราะแม้ว่าร้านพร้อมส่วนหลังอันใหญ่โตมันจะน่าสนใจหากขายแยกเพราะหลังร้านจะสามารถใช้เป็ที่เก็บของหรือที่พักได้ก็ตาม แต่พอขายรวมถึงแปดร้านก็จะได้พื้นที่ที่ไม่สามารถใช้สอยได้กลับมามากเกินไป
อีกทางที่ทำได้ก็คงเป็ปล่อยเช่าเป็โกดัง แต่ก็เป็เื่ยากอีก เพราะแม้ทำเลจะไม่แย่ แต่การปล่อยเช่าเป็โกดังนั้นก็นับว่ายุ่งยาก ทั้งราคายังสูงกว่าที่อื่นจนไม่มีคนอยากเช่าอีก
“ข้าว่าเ้าคงหาทางได้”
แม้จะเค้นสมองแล้วก็ยังคิดไม่ออก หวงฝู่จินจึงกล่าวกับหลินฟู่อินด้วยสายตาคาดหวังแทน
ไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษ เขาเพียงเชื่อว่าหลินฟู่อินจะหาทางออกได้ก็เท่านั้น
การถูกเชื่อใจนั้นเป็ความรู้สึกที่ดียิ่งนัก และหลินฟู่อินเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“ขอบคุณคุณชายหวงฝู่จิน” หลินฟู่อินกล่าว
ดวงตาได้รูปของหวงฝู่จินหยีลง “เ้า… ว่าอะไรนะ?”
เขามองหลินฟู่อินอย่างไม่มั่นใจ
การถูกนางเรียกด้วยชื่อและสกุลทำให้เขารู้สึกดียิ่งนัก
หลินฟู่อินเพิ่งรู้ตัวว่าตนเผลอเรียกทั้งชื่อและสกุลของหวงฝู่จินตรงๆ ไป นางจึงต้องพยายามอดกลั้นไม่ยกมือขึ้นปิดหน้า แล้วคลี่ยิ้มออกมาเป็รอยยิ้มปลอมๆ ก่อนกล่าว “ขออภัยคุณชาย”
สายตาของหวงฝู่จินทอประกายผิดหวัง แต่เขาก็เลิกคิ้วขึ้นทันทีแล้วกล่าว “เ้าไม่ได้เรียกข้าว่าคุณชาย เ้าเรียกข้าว่าหวงฝู่จิน”
หลินฟู่อินทำทีว่าลืม “จริงหรือ? ข้าลืมที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ไปเสียแล้ว”
เมื่อเห็นว่านางกำลังโกหกชัดเจน หวงฝู่จินจึงยิ้มออกมาจางๆ แล้วพยักหน้า “ลืมไปก็ได้ เอาไว้ในอนาคตเ้าค่อยเรียกข้าเช่นนั้นใหม่นะ อินเอ๋อร์”
อินเอ๋อร์?
เขาเรียกนางว่าอินเอ๋อร์หรือ?
เท่าที่นางจำได้ แม้แต่ครอบครัวของนางเองก็ยังไม่เคยเรียกนางเช่นนี้เลยมิใช่หรือ?
ตอนที่ฉู่ซื่อยังอยู่ นางมักจะเรียกฟู่อินว่าเสี่ยวอิน บิดาของนางเองก็เรียกเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้กลับมีคนมาเรียกนางว่าอินเอ๋อร์หรือ?
หลินฟู่อินขวยเขินขึ้นมา
“ตอนนี้ข้าเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่าเ้าจะอยากให้ข้าไปดูเรือนห้าหลังของเ้าอยู่หรือไม่?” หวงฝู่จินยังคงหยอกล้อนางต่อ
หลินฟู่อินร่างสั่นสะท้าน ก่อนหันไปมองหวงฝู่จินด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “ข้าว่าคุณชายเรียกข้าว่าคุณหนูหลินเช่นเดิมหรือเรียกฟู่อินจะดีกว่าเ้าค่ะ”
นางคิดอยู่เสมอว่าการเรียกอย่างสนิทสนมเกินควรนั้นมันทำให้นางรู้สึกแย่ หรือต้องกล่าวว่าขนลุก
“ไม่ ไม่” หวงฝู่จินชี้นิ้วขึ้นมาแล้วส่าย ก่อนจะกดใส่หูของหลินฟู่อิน “ข้าว่านี่เป็ชื่อที่ดี เราสองคนก็รู้จักกันมานาน เราไว้ใจกันและกัน เช่นนั้นเราก็ไม่ควรต้องเว้นระยะห่างต่อกันไม่ใช่หรือ?”
หลินฟู่อินนิ่วหน้าแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปยังหวงฝู่จิน ก่อนจะส่งเสียงขึ้นว่า “คุณชาย ข้าว่าเราควรระวังตัวไว้เสียจะดีกว่า เพราะหากวันใดที่แม่นางหลีอู่มาเห็นเข้า นางคงได้ถามเป็แน่ว่าเหตุใดคุณชายจึงทำตัวสนิทสนมกับชาวบ้านเช่นข้าเช่นนี้”
หวงฝู่จินไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างพอใจให้หลินฟู่อินแทน “เ้าเองก็น่าจะรู้นี่ เป็สาวชาวบ้านแล้วมันทำไม? ข้าไม่ได้ตีสนิทกับเ้าเพื่อเอาหน้าให้ใครเห็นเสียหน่อย”
ในตอนแรกหลินฟู่อินนั้นยังไม่พอใจอยู่ แต่เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ความโกรธในใจของนางจึงมลายหายไป
ตอนนี้นางไม่เข้าใจหวงฝู่จินขึ้นมาจริงๆ แล้ว
บางครั้งนางก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็ดวงจันทร์อันเปล่งประกายยามค่ำคืนที่สามัญชนเช่นนางไม่มีวันเอื้อมถึง
แต่เขากลับกล่าวคำพูดที่ทำให้หัวใจนางต้องหวั่นไหวอยู่ร่ำไป
หากเขาเมินเฉยต่อนางเสียบ้าง นางก็ยังพอคิดให้ตนเป็เพียงเศษฝุ่นในสายตาเขาได้
แต่เมื่อเขาเอาใจใส่เช่นนี้ และทำทีราวกับว่านางเป็สิ่งสำคัญเช่นนี้…
ในหัวนางจึงอื้อไปหมด นางควรจะทำเช่นไรกันแน่? จนนางอยากควักเอาเงินออกมาแล้วไปหาหมอเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้ ไปดูบ้านนางก่อนดีกว่า
เมื่อไปถึงประตู หวงฝู่จินก็แย่งกุญแจทองแดงไปจากมือของนาง “ข้าเปิดให้เอง วันที่อากาศเย็นเช่นนี้ เ้าก็ควรจะทำตัวให้อุ่นไว้ ซุกมือใส่แขนเสื้อไปจะดีกว่า”
หลินฟู่อินตะลึงไป
จากนั้นนางจึงมองหวงฝู่จินที่พยายามสู้รบกับกลอนประตู จนกระทั่งเสียง ‘กริ๊ก’ ดังขึ้น เขาจึงปล่อยกลอน
“ไปที่รถม้าเถอะ วันนี้อากาศหนาวนัก” หวงฝู่จินกล่าวกับหลินฟู่อินที่หนาวสั่นจนปากม่วงทันทีที่ออกมาจากตัวร้าน
หลินฟู่อินเงยหน้าขึ้นมองหวงฝู่จิน ในใจไม่อยากเชื่อว่าคำพูดเช่นนี้จะออกมาจากริมฝีปากได้รูปนั้น
“เหตุใดเ้าถึงมองข้าเช่นนั้นกัน? เ้าทำเงินได้ตั้งมากมายใน่เวลาสั้นๆ แล้วเหตุใดจึงไม่หาซื้อเสื้อผ้าที่มันหนากว่านี้มาสวมสักหน่อย?” กล่าวจบหวงฝู่จินก็เลิกเรียวคิ้วขึ้นอีกครั้ง แล้วสายตาจึงทอประกายหยอกล้อ “เกือบลืมไปแล้วเชียว ปีที่แล้วข้าเคยส่งคนเข้าไปล่าจิ้งจอกม่วง แล้วหาวิธีจัดการกับขนของพวกมันไม่ได้อยู่พอดี ข้าจะให้คนของข้านำขนนั่นมาทำชุดฤดูหนาวให้เ้า”
จิ้งจอกม่วงหรือ?
หลินฟู่อินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในโลกใบนี้มีจิ้งจอกสีม่วงอยู่ด้วย มันเป็สิ่งหายากถึงเพียงนั้น
นางรู้สึกว่าการสวมหนังสัตว์นั้นเป็เื่โหดร้าย นางจึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “อย่าเลยเ้าค่ะ แต่ก็ขอขอบคุณในน้ำใจของคุณชาย”
หวงฝู่จินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นความไม่พอใจในสายตาของนางจึงรู้ว่านางคงจะรู้สึกว่าการล่าจิ้งจอกม่วงนั่นเป็เื่โหดร้าย
“เ้าอย่าได้กังวลไป แม้จิ้งจอกม่วงจะเป็สัตว์หายาก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ดี พวกมันมีศีรษะที่ใหญ่กว่าเสือ ทั้งความดุร้ายที่อันตรายไม่แพ้กัน รวมกับความเ้าเล่ห์ของจิ้งจอก มันเป็สัตว์อันตรายที่กินมนุษย์เป็อาหาร ในเป่ยหรงถึงกับกล่าวกันว่าหากเจอกับจิ้งจอกม่วงเข้าแล้วก็มีแต่ต้องตาย ไม่ว่าเ้าจะเป็คนหรือสัตว์”
หวงฝู่จินยอมอ้าปากอธิบายดีๆ อย่างที่หาได้ยาก
หลินฟู่อินฟังคำอธิบายแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง จิ้งจอกนี่กินมนุษย์ได้ด้วยหรือ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้