เมื่อได้ลิ้มรสปลาน้ำแดง ความขุ่นเคืองในใจของจ้าวลี่เจวียนก็มลายหายไป
ปลาน้ำแดงนั้นปรุงรสได้ที่ เนื้อปลาสดนุ่มละมุนลิ้นเข้าเนื้อ ส่วนเกี๊ยวทอดก็เหมือนกับที่สวี่จือจืออธิบาย ดูดซับน้ำซุปปลาจนชุ่มฉ่ำ
ในขณะที่เปิดฝาหม้อ ทุกคนในครัวต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบๆ
สวี่จือจือคีบเกี๊ยวทอดออกมาวางก่อน โรยผักชีเล็กน้อยลงในหม้อ ผัดคลุกเคล้าสองสามที แล้วตักใส่ชามใบใหญ่ ในหม้อต้มน้ำซุปอีกใบ น้ำซุปปลาสีขาวนวลกำลังเดือดพล่าน เธอโยนผักใบเขียวลงไปเล็กน้อย เต้าหู้ขาวนุ่มกับใบไม้สีเขียวสด ดูแล้วชวนน้ำลายสอ
ตอนที่ตักข้าวขึ้นมานั้น ลู่หลิงซานก็ถูกโจวเป่าเฉิงตามกลับมาแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าลงมากินอาหาร
เหอเสวี่ยฉินหมายจะตักให้อีกฝ่ายไปกินคนเดียว
จ้าวลี่เจวียนหัวเราะเยาะในลำคอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในบ้านยังมีหญิงชราอยู่นะ สองผัวเมียบ้านรองจะตามใจลูกสาว แต่หญิงชราไม่โง่หรอก
“ไม่อยากกินก็แปลว่าไม่อิ่ม” เป็ไปตามคาด หญิงชราพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อะไร? จะให้ยายแก่ไม่มีขาอย่างฉันไปเชิญเธอเหรอ?”
เื่นี้ลู่หวยเหรินไม่กล้าแน่นอน รีบพูด “แม่กินข้าวเถอะครับ เธอเป็เด็กคนหนึ่ง ไม่กินมื้อเดียวก็ไม่ตายหรอก”
ถ้าเป็แค่ขนมปังข้าวโพดกับผักดอง ไม่กินก็ไม่เป็ไร แต่นี่เป็ปลาน้ำแดงกับซุปปลา ปีหนึ่งจะได้กินสักกี่ครั้งกัน
“คุณแม่” เหอเสวี่ยฉินพูดพลางยิ้ม “เธอแค่แกล้งงอนเท่านั้น เดี๋ยวก็ลงมากินเองแหละค่ะ” พูดจบก็ประคองเอวที่ยังปวดเล็กน้อยไปตามลูกสาว
เมื่อกี้ ลู่หวยเหรินดึงเธอเข้าไปในห้องแล้วตำหนิเธออย่างหนัก ราวกับว่าถูกปลุกจากภวังค์ ถ้าพวกเขาถูกหญิงชราลู่ไล่ออกจากบ้านแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งผู้อำนวยการของลู่หวยเหรินเลย แม้แต่ครูบ้านนอกที่อยากจะเปลี่ยนเป็ครูประจำการของเธอก็คงจะไม่มีหวังไปเลย
คำพูดของลู่หวยเหรินเหมือนน้ำเย็นที่ราดลงมา ดับไฟในใจของเหอเสวี่ยฉินจนมอด
หญิงชราใจร้ายก็จริง แต่ผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายให้กับพวกเขาช่างมากมายนัก ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แม้แต่บ้านเดิมของเธอก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
คุณนายลู่มีชีวิตมาถึงเท่านี้ ผ่านอะไรมาก็มาก ความคิดในใจของเหอเสวี่ยฉิน หญิงชราจะดูไม่ออกได้อย่างไร เธอจึงไม่ใส่ใจเลย
“แม่หนูจือจือ” หญิงชราคลี่ยิ้ม ตักเนื้อปลาให้สวี่จือจือ “เหนื่อยหน่อยนะ” แล้วกล่าวต่อ “กินข้าวกันเถอะ”
ส่วนลู่หลิงซานที่ยังไม่มา จะกินก็กิน ไม่กินก็แล้วไป ไม่ตามใจนิสัยเสียนี้
เหอเสวี่ยฉินกัดฟัน ก้าวเท้าให้เร็วขึ้น! กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้จะไม่ได้กินแม้แต่น้ำซุป
หลังจากกินอาหารเย็น ทุกคนจะไปนั่งเล่นที่หน้าหมู่บ้าน พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ส่วนเด็กๆ ก็จะออกไปหาแมลงจักจั่นหลังบ้าน บางคนโชคดี ในคืนเดียวก็จะหาตัวอ่อนจักจั่นได้มากมาย เอาไปหมักเกลือไว้หนึ่งคืนแล้วนำไปทอด รสชาติอร่อยอย่าบอกใคร
ชาติก่อนตอนที่สวี่จือจือยังเด็ก เธอก็เคยไปหาตัวอ่อนจักจั่นในหมู่บ้าน หรือแม้แต่ตอนกลางวันก็จะใช้ไม้ไผ่ยาวไปสอยตัวจั๊กจั่นที่อยู่บนต้นไม้ เอาไปเผาไฟกิน เนื้ออาจจะมีน้อย แต่รสชาติอร่อยอย่างน่าประหลาด
หลังจากเก็บกวาดครัวเสร็จ เธอพูดกับลู่ซืออวี่ “อยากไปหาตัวอ่อนจักจั่นไหม?”
“พวกเรา...ทำได้เหรอคะ?” ลู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว อยากจะถามว่าทำแบบนี้มันจะผิดธรรมเนียมไปหรือเปล่า ดูไม่เหมือนคุณหนูผู้ดีเลย
แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันไม่ถูกต้อง อีกทั้งในใจของเธอก็อยากทำแบบนั้นมาตลอด เพราะั้แ่เล็กจนโต เธอก็ไม่เคยจับตัวอ่อนจักจั่นเลย
ทุกครั้งที่เห็นเด็กๆ ในหมู่บ้านออกไปจับเธอก็รู้สึกอิจฉา แต่ลู่หลิงซานกลับดูถูก บอกว่ามีแต่พวกเด็กจรจัดเท่านั้นที่ทำแบบนั้น เหอเสวี่ยฉินก็พูดว่าแบบนั้นมันน่าอาย ทำให้ตระกูลลู่ขายหน้า
“มีอะไรไม่ดีเหรอ?” สวี่จือจือพูดพลางหัวเราะ “พวกเราไปขโมยหรือแย่งมาเหรอ?”
เห็นได้ว่าไม่ใช่
“ไปกันเถอะ” สวี่จือจือพูดพลางหัวเราะ “รอพวกเราจับตัวอ่อนจักจั่นได้แล้ว ฉันจะทอดให้เธอกิน”
รสชาติแบบนั้น จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงอยู่เลย
ลู่จิ่งเหนียนได้ยินว่าพวกเขาจะไปจับตัวอ่อนจักจั่นก็ร้องโวยวายว่าจะไปด้วย ถูกจ้าวลี่เจวียนด่าไปชุดใหญ่ โตขนาดนี้แล้ว ไม่มีความหนักแน่นเอาเสียเลย
“แต่พี่สะใภ้ผม...”
“นั่นเด็กผู้หญิง” จ้าวลี่เจวียนด่า “แกไปดูที่หน้าบ้านสิ แกอยากจะเป็หัวหน้าแก๊งเด็กหรือไง? รอแกมีลูกชายแล้ว แกอยากจะพาลูกชายแกไปจับอะไร แม่ก็จะไม่ว่า”
เอาแล้ว เอาอีกแล้ว ั้แ่ลู่จิ่งซานแต่งงาน แม่ของเขาก็เริ่มตามจิกเื่แต่งงานแล้ว
“ผมไปฟังคนเมาท์กันที่หน้าหมู่บ้านดีกว่า” ลู่จิ่งเหนียนพูดอย่างหงุดหงิด
จ้าวลี่เจวียนตีอกชกหัวด้วยความโมโห แล้วเหลือบมองลู่จิ่งซาน เป็ลูกชายของบ้านตระกูลลู่เหมือนกันแท้ๆ ทำไมถึงได้ต่างกันมากขนาดนี้?
พอเห็นโจวเป่าเฉิงหวีผมมันแปล้ก็รู้สึกว่าลูกชายของตัวเองไม่ได้แย่เท่าไหร่ นี่คงเป็สิ่งที่เรียกว่าไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่เห็นความแตกต่างสินะ
เมื่อเทียบกับโจวเป่าเฉิงแล้ว อย่างน้อยลู่จิ่งเหนียนก็เลี้ยงตัวเองได้ อาศัยการค้าขายของ เขายังนำเงินมาให้ที่บ้านไม่น้อย ของกินของใช้ที่อยู่บนตู้ของเธอ ก็ล้วนเป็ของที่ลูกชายคนเล็กเอามาให้เธอ ไม่เหมือนโจวเป่าเฉิงที่เอาแต่กินนอนไปวันๆ แถมยังต้องแบมือขอเงินเหอเสวี่ยฉินอีก
จ้าวลี่เจวียนรู้สึกเหนือกว่าอีกครั้ง มองเหอเสวี่ยฉินด้วยสายตาเห็นใจเล็กน้อย ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวไม่เอาไหนแบบนี้ อนาคตคงต้องลำบากน่าดู
ว่าแล้วก็สะบัดร่างอวบอ้วนกลับห้องไป ปล่อยให้เหอเสวี่ยฉินงุนงง
หมายความว่ายังไง? ผู้หญิงหยาบคายคนนี้ถึงกับมองเธอด้วยสายตาเห็นใจ!
เหอเสวี่ยฉินถึงกับตกต่ำขนาดที่ต้องให้ผู้หญิงอย่างจ้าวลี่เจวียนมาเห็นใจแล้วเหรอ? โมโหจนแทบตายแล้ว!
โอ๊ย! เอวของเธอ!
“ผมไปด้วย” เสียงของลู่จิ่งซานดังขึ้น เมื่อเห็นสวี่จือจือมองมาก็ลูบจมูกอย่างไม่เป็ธรรมชาติ “ไปเดินย่อยอาหารน่ะ”
สวี่จือจือตอบรับ ในเมื่อบอกว่าอยากจะทำความรู้จักกัน เธอก็ไม่ใช่ว่าจะทำไปส่งๆ ่นี้ก็ถือโอกาสทำความรู้จักกันให้ดี อีกทั้งจากท่าทีของลู่จิ่งซานใน่สองสามวันที่ผ่านมา เขาก็ใช้ได้ทีเดียว แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่เลว
พวกเขาหาถุงผ้า แล้วก็หาไม้ที่แข็งแรงสองสามอันในบ้านแล้วออกเดินทาง
“บอกพวกคุณไว้ก่อนเลยนะ” สวี่จือจือพูดพลางคลี่ยิ้ม “ฉันจับตัวอ่อนจักจั่นเก่งมาก คืนนี้ต้องจับได้เยอะแน่ๆ”
ลู่จิ่งซานหัวเราะ
“ไม่เชื่อก็ลองแข่งกันได้นะ” สวี่จือจือเงยหน้าขึ้นพูด “ฉันจับทีมกับเสี่ยวอวี่ พวกเรามาดูกันว่าใครจับได้เยอะกว่ากัน”
เฮ้อ ส่วนสูงของเธอ เมื่อไหร่จะสูงกว่านี้สักทีนะ จะได้ไม่ต้องเงยหน้าคุยกับลู่จิ่งซานแล้ว
“ได้สิ” ลู่จิ่งซานเลิกคิ้วมองภรรยาตัวน้อยของเขา
“พี่ชายของฉันเมื่อก่อนก็จับตัวอ่อนจักจั่นเก่งมากนะ” ลู่ซืออวี่กระซิบเตือนสวี่จือจือ
“ไม่ต้องกลัว มีฉันอยู่ทั้งคน” สวี่จือจือตบหน้าอก ปากของเธอได้ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว ต้องจับตัวอ่อนจักจั่นได้เยอะแน่นอน
“ดูสิ” สวี่จือจือพูดด้วยความตื่นเต้น “ตรงนี้มีตัวหนึ่ง” พลางยกมือขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
เธอบอกแล้วไงว่า ปากที่ผ่านการปลุกเสกมา โชคจะต้องไม่แย่
“บังเอิญว่า ผมก็จับได้ตัวหนึ่งเหมือนกัน” ไม่นาน ลู่จิ่งซานก็เจอตัวหนึ่งเหมือนกัน
สวี่จือจือเบ้ปาก
ปลุกเสกอะไรกัน? แค่เธอคิดมากไปเองเท่านั้น
ตาของลู่จิ่งซานก็ช่างไวเหลือเกิน แป๊บเดียวก็จับได้เยอะขนาดนั้นแล้ว
เมื่อมองดูถุงของตัวเอง สวี่จือจือก็รู้สึกว่า ปากปลุกเสกอะไรนั่น มันก็แค่เื่บังเอิญเท่านั้นแหละ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้