จิ้นเซี่ยวแตกต่างจากจิ้นจง เขารับผิดชอบติดต่อกับผู้คน ดูแลเื่ราวที่อยู่นอกจวนทั้งหมด
แต่เช่นนี้เหมาะกับนิสัยที่ชอบการเดินทาง การได้เคลื่อนไหวร่างกายของเขา
ซูจื่อเยี่ยค่อนข้างเลือกใช้งานคนให้เหมาะกับนิสัย
“ว่ามา!”
เมื่อจิ้นเซี่ยวได้ยินคำพูดของเขา สายตาก็เผยแววได้ใจและโอ้อวด
เขาดึงดูดความสนใจของนายท่านได้ตามคาด
ที่แท้ หลายเดือนมานี้ซูจื่อเยี่ยไม่ได้ละทิ้งการตามหาจางอวี้เต๋อที่หายสาบสูญไปแต่อย่างใด
หลังจากที่เขากลับไปที่เมืองหลวง เขาได้มอบหมายเื่นี้ให้กับจิ้นเซี่ยวซึ่งเป็ผู้ดูแลใกล้ชิดเพื่อจัดการเื่นี้
“นายท่าน จางอวี้เต๋อเคยทำงานในสถาบันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงออกจากเมืองฝูโจวไป เขาได้ติดตามคณะพ่อค้า กระหม่อมสืบได้ความว่า เขาได้รับจ้างจากหนึ่งในคณะพ่อค้าให้เป็ฝ่ายบัญชี”
“ฝ่ายบัญชี?” ซูจื่อเยี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถัดจากเมืองฝูโจวไปก็คือต่างถิ่น ราชวงศ์โจวมีเรือค้าขายกับต่างแดน นั่นคือเส้นทางหาเงินที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเสี่ยง ขอเพียงยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ ถึงอย่างไรก็ร่ำรวย
“ถูกต้อง จางอวี้เต๋อเป็คนหลักแหลม เขาไม่ได้เลือกเดินทางทะเล เขาอาศัยการขายตำราเพื่อแลกเงินมา ไม่รู้ว่าไปร่วมกับคณะพ่อค้าขนาดเล็กได้อย่างไร เขาเป็คนมีความคิด และได้นำของทะเลแห้งจากฝูโจวไปด้วย”
จิ้นเซี่ยวไม่จําเป็ต้องพูดอะไรต่อมากนัก ซูจื่อเยี่ยก็น่าจะรู้ความคิดของจางอวี้เต๋อผู้นี้ได้เอง
“นับว่าฉลาดจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าแม่สาวน้อยจะหลักแหลมเช่นเดียวกัน” ซูจื่อเยี่ยแอบชมหลิวเต้าเซียงทางอ้อม
โชคของจางอวี้เต๋อนั้นผสมปนเปกันทั้งดีและไม่ดี เริ่มแรก เขาได้เงินมาบ้าง แต่ต่อมา ใบชาที่เขาขายกลับเปียกน้ำฝนระหว่างทาง ต้นทุนจึงหายไปหมด
“โชคร้ายจริง แต่เช่นนี้ก็คงไม่ถึงขั้นไม่กลับบ้านแปดปีหรอกกระมัง”
ในขณะที่ซูจื่อเยี่ยคร่ำครวญถึงความพลิกผันในชะตากรรมของจางอวี้เต๋อ เขาก็อยากรู้ว่าบุคคลนี้ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร
เขารู้สึกว่าจางอวี้เต๋อไม่น่าจะสูญเสียความมั่นใจเพียงเพราะเื่นี้
“ต่อมา? ขบวนพ่อค้าไปทางทิศตะวันตกและเขายังคงเป็ผู้ทำบัญชี เขาอาศัยเงินหนึ่งตำลึงที่ได้ทุกเดือน ในหนึ่งปีจากนั้น ก็เดินทางไปยังแดนสู่โจว เขาก็พลิกตัวขึ้นมาได้ ได้ผ้าสู่โจวขนกลับมายังเมืองฝูโจวอีกครั้ง”
จากนั้นจิ้นเซี่ยวก็เล่าว่า หลังจากนั้นอีกสามถึงสี่ปี จางอวี้เต๋อก็เริ่มมีทรัพย์สมบัติเล็กน้อย หนึ่งในขบวนพ่อค้าได้เตรียมจะยกบุตรสาวให้ขาว ขณะเตรียมตัวไปหมั้นหมายในวันรุ่งขึ้น บ้านที่เขาพักก็มีโจรขึ้นบ้าน เงินที่จางอวี้เต๋อเก็บสะสมมาทั้งหมดกลายเป็ศูนย์ ศูนย์อย่างแท้จริง นอกจากเสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายแล้ว เงินที่เหลือของเขาถูกขโมยไปหมด รวมถึงบ้านกับที่นาผืนดีที่เขาซื้อไว้ด้วย
สถานะของจางอวี้เต๋อกลายเป็คนยากจนอีกครั้ง จึงเป็ธรรมดาที่เถ้าแก่น้อยผู้นั้นย่อมไม่สามารถเป็พ่อตาของเขาได้อีก
แต่หลังจากนั้น เถ้าแก่น้อยผู้นั้นก็กลายเป็เถ้าแก่ใหญ่เนื่องจากทรัพย์สมบัติที่มีมากขึ้น อืม จนท้ายที่สุดเถ้าแก่ก็ยกบุตรสาวให้แก่บุตรชายของนายอำเภอ ส่วนนายอำเภอผู้นั้นก็ประจำอยู่ที่อำเภอที่จางอวี้เต๋ออยู่
ซูจื่อเยี่ยหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน นี่คือความเป็จริง จางอวี้เต๋อไม่สามารถปกป้องกิจการของตนเอง แล้วยังเป็คนต่างถิ่น ย่อมถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก
“เขาน่าจะเข้าใจสถานะของตนเองอย่างชัดเจน และเข้าใจตำรามนุษย์โลกเล่มนี้”
ซูจื่อเยี่ยยิ่งนึกสงสัยมากขึ้นว่า ตอนนี้สภาพของจางอวี้เต๋อจะเป็เช่นไรบ้าง เพราะเขาถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างต่อเนื่องหลายหน
“จางอวี้เต๋อดูเหมือนจะได้รับความบอบช้ำจริงพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นเขาไปยังสถาบันเพื่อเอาเงินที่แอบซ่อนในรังนกบนต้นกุ้ยฮัวในสวน ซึ่งนั่นคือเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือของเขา”
ซูจื่อเยี่ยดวงตาเป็ประกาย เขายิ้มออกมา กระต่ายเ้าเล่ห์มีสามโพรง [1]
“เป็ผู้มีพร์”
นี่คือคำชมเชยที่สูงส่งสำหรับจางอวี้เต๋อที่เขามีให้
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ นายท่านมองขาดยิ่งนัก เขาเล่าเรียนพร้อมกับเช่าบ้านหลังเล็กในสถาบัน อาศัยสายสัมพันธ์เดิมเพื่อใช้เงินประหยัดที่สุด เพื่อให้ได้สมุดจดที่ว่างเปล่า อืม จากนั้นก็ออกเงินให้ลูกศิษย์ช่วยจดบันทึก เขานำตำราที่จดบันทึกได้นั้นไปขายให้แก่ร้านตำราด้านนอกอีกต่อหนึ่ง”
จิ้นเซี่ยวรู้สึกว่าจางอวี้เต๋อเป็คนที่ใช้ได้ทีเดียว สมองโลดแล่นมีไหวพริบ เพียงแต่โชคร้ายไปหน่อย
“เขาทำเงินได้มากมายใน่เวลาที่อยู่ในสถาบันการศึกษา แต่กลายเป็ที่จับตามองจนมีคนอิจฉาริษยาในเงินตราของเขา จึงไปฟ้องทางอาจารย์ว่าเขากระทำการล่วงละเมิดลูกสาวของอาจารย์ ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้เขาได้เข้าห้องขัง ยิ่งเพราะตำราเ่าั้ จึงถูกคนเชื่อมโยงไปเกี่ยวพันกับราชสำนักจนมีโทษติดตัว บอกว่าเขาคือคนของพรรคนั้น”
ดังนั้นจิ้นเซี่ยวจึงรู้สึกว่าเขาโชคร้ายเกินไป
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าและถามว่า “เช่นนี้เท่ากับว่า ตอนนี้เขายังอยู่ในคุกหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ เขาถูกตัดสินโทษจําคุกสิบปี ซึ่งเข้าไปอยู่ได้หลายเดือนแล้ว”
จิ้นเซี่ยวเสียดายแทนจางอวี้เต๋อ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยเสริมไปว่า “นายท่าน เขาคือน้าชายแท้ๆ ของแม่สาวน้อยตระกูลหลิว ฉะนั้นจึงมีหัวด้านการค้ายิ่งนัก”
ซูจื่อเยี่ยมองเขาและพูดว่า “จิ้นเซี่ยว เ้าใจอ่อนแล้วสินะ”
จิ้นเซี่ยวไม่ได้ปฏิเสธ เขารู้สึกว่านายท่านของตนกำลังขาดแคลนคนที่มีพร์เช่นนี้อยู่พอดี
ใช่ว่าจะไม่มีคนที่มีพร์ทางด้านนี้ เพียงแต่คนเ่าั้ยังไม่ได้รับความเชื่อใจจากนายท่าน หรืออาจพูดว่ายังถูกระแวงก็ได้
เพราะคนเ่าั้ไม่ใช่คนที่เขาหามาเอง และไม่ใช่คนที่ท่านแม่ที่เอ็นดูเขาหามาให้
หากแต่มาจากพระชายาในอ๋องที่ขณะนี้กำลังนั่งตัวตรงดูละครงิ้ว หรือไม่ก็กำลังเคลิบเคลิ้มกับการดื่มด่ำอย่างสุขอุราอยู่ตรงด้านหน้า
นางเป็คนเ้าแผนการ ไม่มีทางจะลงมือเอง โดยปกติแล้วจะมีแต่คนที่เข้าหานางด้วยการประจบประแจง อีกทั้งยังต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยการอ่านสีหน้าของนางให้ออก
“ที่เ้าพูดมาถูกต้อง ข้าจำได้ว่าปีนี้ได้จัดแจงให้โจวจื่อทงไปประจำเป็ผู้ช่วยผู้ว่าการจังหวัดเมืองฝูโจว ได้ข่าวว่าเคลื่อนไหวค่อนข้างลำบาก เนื่องจากทางนั้นค่อนข้างกีดกันผู้ช่วยที่มาจากเมืองหลวงเช่นเขา”
ซูจื่อเยี่ยกำลังหวั่นไหวและพอใจกับการเสนอความคิดเห็นของจิ้นเซี่ยวอย่างยิ่ง
จางอวี้เต๋อเป็คนที่แน่วแน่ แล้วยังเป็คนที่มีหัวทางด้านการค้าขาย
ซูจื่อเยี่ยเพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้การทำงาน หาก้าเก็บเกี่ยวผู้ที่มีพร์ไว้ข้างกายให้มาก สิ่งที่ต้องมีคือเงินตรา
ดังนั้นเขาจึง้าคนอย่างจางอวี้เต๋ออย่างเร่งด่วน
“ไปช่วยพาตัวเขาออกมาก่อน แล้วนำตัวเขามาพบข้า”
อย่างน้อยก็ให้เขารู้ว่า ต่อไปตนเองจะเป็ที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุด และจางอวี้เต๋อจะไม่อาจปฏิเสธได้
“อืม หลังจากที่เขามา ให้จัดที่พักไว้รอบนอกเมือง ข้าไม่้าให้คนที่ไม่ควรรู้มารู้เข้า” ซูจื่อเยี่ยกำชับอีกครั้ง
ส่วนคนที่ไม่ควรรู้ เช่น พระชายาในอ๋อง หรือซื่อจื่อในอ๋อง
วุฒิภาวะของซูจื่อเยี่ยนั้นมีมากกว่าอายุของตนเอง
เขาไม่จําเป็ต้องสั่งการให้คืนความบริสุทธิ์ให้จางอวี้เต๋อก่อน เพราะจิ้นเซี่ยวคอยติดตามทำงานให้เขามาหลายปี ย่อมเข้าใจความคิดของเขาเป็อย่างดี
หลิวเต้าเซียงไม่ทราบว่าน้าชายแท้ๆ ของนางยังมีชีวิตอยู่และถูกคุมขัง
นางคํานวณทุกวันว่าจะไม่ปล่อยให้หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์และหลิวจื้อเซิ่งเห็นความผิดปกติ เวลาทำอะไรก็ยิ่งระมัดระวัง
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์แอบจับตามองนางและหลิวชิวเซียงมาโดยตลอด นางจึงต้องขอยืมมือของหวงเสียวหู่ในการส่งข่าวผ่านข้าวร่วนกับข้าวรำไปให้กับหลี่ชุ่ยฮัว เพื่อให้นางช่วยดูแลใน่ระหว่างนี้
หวงเสียวหู่ทำงานอย่างคล่องแคล่ว หลังจากเสร็จเรียบร้อยก็บอกกับหลิวเต้าเซียงว่า “ลูกพี่ลูกน้องเ้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ จากที่ข้าดูคงว่าเกินเหตุ หรือไม่คงต้องหางานให้พวกเขาทำสักหน่อย”
คำพูดนี้ปลุกคนที่อยู่ในภวังค์แห่งฝัน
หลิวเต้าเซียงเอามืออ้อมไปด้านหลังศีรษะอย่างหงุดหงิด หลายวันมานี้นางยุ่งจนหัวหมุนแล้วพะวงว่าหลิวฉีซื่อจะรู้เื่ที่พ่อของตนเองเล่าเรียน กับเื่ที่ตนเองแอบเลี้ยงไก่
เมื่อเอาแต่คิดหาทางป้องกันเื่เหล่านี้ ย่อมไม่ได้นึกถึงวิธีที่จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากสองพี่น้องนั้นได้
เช้าวันนี้ สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงนานทีปีหนจะไม่ออกจากบ้าน เหตุผลที่หนึ่งเพราะหลิวฉีซื่อได้นำลูกหมูกลับมาห้าตัว เหตุผลที่สองคือคนในตระกูลหลิว่นี้อยู่กันหลายคน จึงมีข้าวรำไม่พอใช้
ถึงแม้จะไม่พอใช้ แต่หลิวเต้าเซียงก็ไม่ได้มีความคิดอยากไปตัดหญ้าอาหารหมู
เมื่อนางไม่ไป หลิวชิวเซียงผู้พี่ก็ต้องห้ามไปด้วย
นี่แหละคือหลิวเต้าเซียง
คนที่อยู่ใกล้นาง นางสามารถทุ่มเทให้ทั้งหัวใจ ส่วนคนที่นางชิงชัง นางภาวนาให้คนเ่าั้กลายเป็คนแปลกหน้า และไม่ต้องไปมาหาสู่กันตลอดชีวิต เื่ที่เกี่ยวข้องกับคนเ่าั้ หลิวเต้าเซียงจึงเก็บเอามาคิดด้วย
วันนี้หลิวฉีซื่อพาหลิวเสี่ยวหลันและหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ออกจากบ้าน โดยบอกว่าบุตรสาวบ้านตระกูลเซินออกเรือน พวกนางจะไปร่วมดื่มเลี้ยงฉลอง
แล้วเหตุใดต้องพาหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ไปด้วยนั้นหรือ?
นั่นเป็เพราะสถานะของนางสามารถพาไปออกหน้าออกตาได้ แต่ขณะเดียวกัน หลิวฉีซื่อไม่สามารถพาสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงออกบ้านได้ เพราะจะเป็การขายหน้า
สําหรับเื่นี้ หลิวเต้าเซียงไม่สนใจ นางสนใจเพียงว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้แยกบ้าน
ความเงียบสงบที่หาได้ยากถูกทำลายลง เป็เสียงของเด็กหนุ่มที่ยังนึกเจ็บใจอยู่
“น้องเต้าเซียง เหตใดจึงไม่ออกไปเที่ยวเล่นเล่า?”
หลิวจื้อเซิ่งสวมเครื่องแบบลูกศิษย์สีน้ำเงินโดยมีลวดลายไม้ไผ่ประทับด้านข้าง ในมือถือตำรา หลิวเต้าเซียงแอบปรายตามอง ก็แค่ตำราหลุนอวี่
“อืม!” นางเลื่อนสายตาจากท้องฟ้ามาหยุดที่ใบหน้าของหลิวจื้อเซิ่ง แล้วเลื่อนจากใบหน้าเขากลับไปมองท้องฟ้า ลูกศิษย์หน้าขาว [2] คงกล่าวถึงคนตรงหน้า
“ใกล้จะถึง่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว!” ชั่วครู่ผ่านไป นางจึงส่งเสียงใสแจ๋วดังขึ้นใต้ระเบียง
หลิวจื้อเซิ่งชะงักเล็กน้อย จากนั้นแววตาเผยความโกรธเคืองออกมา ไม่รู้ว่าเขานึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็สะกดอารมณ์โมโหไว้ แล้วปั้นหน้ายิ้มเช่นเดิม
เขาเข้าใจคําพูดของนาง นี่คือการเตือนเขาว่ามาอยู่ที่บ้านเกิดนานสักพักแล้ว ในฐานะแขกก็สมควรกลับบ้านของตนไปได้แล้ว
ใช่ หลิวจื้อเซิ่งไม่ได้รู้สึกนี่คือการกลับบ้านเกิด ในจิตใต้สำนึกยังคงคิดว่าบ้านของเขาคือบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังจวนตระกูลหวงต่างหาก
หางตาของหลิวเต้าเซียงเหลือบเห็นเขาเปลี่ยนสีหน้า จึงรู้สึกขำขัน
“ข้าได้ยินมาว่าปีนี้ท่านพี่จะลงสนามสอบ”
นี่คือประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม หลิวเต้าเซียงได้ยินเื่นี้มาแต่เนิ่นแล้ว
“อืม มันเป็แค่การสอบถงเซิง ไม่ได้ยากอะไร” หลิวจื้อเซิ่งมีความมั่นใจ ก็แค่เื่ที่ไขว่คว้ามาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาใสซื่อของหลิวเต้าเซียงดูมีชีวิตชีวาขึ้น พริบตานั้นก็เปล่งประกาย ขนตาอันยาวและงอนดูเหมือนแปรงอันอ่อนนุ่ม!
“ข้าได้ยินมาว่าการสอบห้ามเอาของกินเข้าไป เช่นนี้ท่านพี่คงลำบากน่าดู!”
หลิวจื้อเซิ่งยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเอาความอดทนมาจากไหน กลับเล่าให้หลิวเต้าเซียงฟังอย่างละเอียด
“หืม? ต้องเตรียมอาหาร พู่กันและหมึกเองหรือ?” แววตาของหลิวเต้าเซียงเผยความดีใจ
นางจําได้ว่าท่านแม่เคยบอกว่า ปีหน้าท่านพ่อน่าจะลงสนามสอบดู นางจึงอยากสืบเื่ราวกับหลิวจื้อเซิ่งไว้หน่อย
“อืม แล้วก็ การสอบถงเซิงไม่ยาก ราชสำนักจึงไม่ได้คุมอย่างเข้มงวด เพราะส่วนใหญ่มีเซียงเซิน [3] กับกำนันตำบลไปคุมสอบ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลิวจื้อเซิ่งจึงหลุดปากออกมาหนึ่งประโยค
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงส่องประกายเผยแววความสงสัย แต่ด้วยความหลักแหลมจึงไม่ได้เอ่ยถามต่อ
ดูไปแล้วเหมือนว่ายิ่งคุยก็ยิ่งเพลิดเพลิน จึงคุยั้แ่การสอบถงเซิงไปยังจวนตระกูลหวง แล้วก็คุยเื่จวนตระกูลหวงจนมาถึงบ้านตระกูลหลิว
หลิวเต้าเซียงคิดในใจ ในที่สุดก็มาถึงจนได้!
ถูกต้อง หลิวจื้อเซิ่งเอ่ยถามเื่กิจการของตระกูลหลิว
-----
เชิงอรรถ
[1] กระต่ายเ้าเล่ห์มีสามโพรง"ภาษาจีนอ่านว่า" 狡兔三窟 jiǎo tù sān kū"(เจี่ยว ทู่ ซาน คู) สำนวนนี้เดิมทีเป็การอุปมาว่า มีที่ซ่อนตัวหลายแห่ง เพื่อสะดวกแก่การหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ปัจจุบันโดยทั่วไปใช้มาแสดงให้เห็นว่าให้เหลือทางหนีทีไล่
[2] ลูกศิษย์หน้าขาว 白面书生 ไป๋ เมี่ยน ซู เซิง เป็สำนวนจีนมีความหมายเปรียบเทียบว่า ผู้เล่าเรียนที่อายุยังน้อย ความรู้ไม่มาก ประสบการณ์การอ่านยังไม่มากนัก
[3] เซียงเซิน 乡绅 คือ ขุนนางผู้ที่มีคุณงามความดีและเป็คนท้องที่ ซึ่งมีอำนาจและมีอิทธิพลในท้องที่นั้นๆ หรือหมายรวมถึงบัณฑิตผู้ผ่านการสอบซิ่วไฉมาก็ได้
