ตอนที่7 เครื่องมือ
ลมเย็นในป่ารัตติกาลนิรันดร์...เงียบเกินกว่าจะเป็เพียงลม
ไม่มีแม้แต่เสียงกรอบแกรบของใบไม้
มีเพียงเสียงของเด็กหนุ่ม...ที่เอ่ยขึ้นช้า ๆ
“ท่านแม่...”
“ท่านสร้างข้าขึ้นมาเพื่อเป็เครื่องมืออย่างนั้นหรือ?”
คำถามนั้นดังขึ้นกลางความเงียบ
เสียงของไป๋เฉิน…ไม่ดัง ไม่สั่น ไม่ะโ
แต่กลับทิ่มแทงรุนแรงยิ่งกว่าฟ้าผ่าในวันพายุ
เหล่าราชันย์อสูรที่ยังยืนอยู่รอบลานต่างเบือนหน้าหนี
แม้แต่พยัคฆ์ครามผู้ไม่เคยหลบสายตาใครยังขยับถอยโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีใครกล้าพูด…ไม่มีใครกล้าหายใจ
เพราะพวกมัน—รู้ดีว่าคำถามนั้นมาจากอะไร
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ เงยหน้ามองหญิงสาวผู้เป็มารดา
ดวงตาสีเทาของเขาเรียบนิ่ง …แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงสั่นะเืรุนแรง
ซือเหยียนไม่ขยับ
ร่างสูงสง่างามของราชินีอสูรยังคงยืนตรงดั่งเช่นทุกครั้ง
เงาเรือนผมขาวสะบัดแ่ตามสายลม
…แต่คราวนี้ นางเงียบเกินไป
ไป๋เฉินยังคงจ้องตานาง
“ที่พวกท่านพูดกันเมื่อกี้..มันคือความจริงงั้นหรือ”
“ที่ท่านแม่สร้างมาขึ้นมาเพื่อใช้เป็เครื่องมือ...”
ดวงตาสีอำพันของซือเหยียน สะท้อนภาพของบุตรชายอย่างชัดเจน
และเป็ครั้งแรก…ที่นาง “หลบตาเขา”
หลบ…ดวงตาคู่นั้นที่เคยน่ารัก เคยใสซื่อ
และวันนี้—กลับกลายเป็ตาที่ถามหาความจริง
ความจริงที่นางเอง…ไม่รู้จะตอบอย่างไร
ซือเหยียนหลุบตาลง
ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ราวกับจะพูดอะไรออกมา
แต่ไม่มีคำแก้ตัวใดหลุดจากปากนางเลย
จนในที่สุด...
“…ใช่”
คำนั้นเบาเกินไปสำหรับคำโกหก
แต่ชัดเกินไป…สำหรับความจริงที่ไม่ควรพูดออกมา
เสียงนั้น ทำให้ลานทั้งลานตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
แม้แต่สายลม…ก็หยุดพัด
เสียงของป่าเงียบลงราวกับทุกสิ่งหยุดฟังคำตอบนั้นพร้อมกัน
ไป๋เฉินนิ่งงัน
เด็กหนุ่มขบกรามแน่น…
แต่ไม่ใช่ด้วยโทสะ—หากเป็ความเ็ปที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาที่เคยมั่นคงเริ่มสั่นไหว
หยดน้ำตาไหลลงจากข้างแก้ม…โดยที่เขาไม่รู้ตัว
ซือเหยียนมองเห็นน้ำตานั้น…และร่างของนางก็สั่นเล็กน้อย
เป็ครั้งแรกในชีวิตที่ราชินีอสูรผู้เคยท้าทายเทพเซียนทั้ง์
รู้สึก “กลัว”—กลัวสายตาของเด็กคนหนึ่ง
กลัวที่จะเห็นเขาเดินหนี
และแล้ว…
ไป๋เฉินก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว
สองก้าว
สามก้าว…
เขาหันหลัง และ “วิ่งหนี” ออกไปจากลานนั้น
เงาของเขาจมหายไปในหมอก
เงียบงัน…ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีคำกล่าวลา
มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เบาหวิว…แต่หนักแน่นราวกับทิ่มแทงหัวใจ
ราชันย์ทั้งแปดยังยืนอยู่ที่เดิม
แต่ไม่มีใครขยับ
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ซือเหยียนยังยืนอยู่ที่เดิม—เหมือนถูกตรึงไว้ด้วยบางสิ่ง
และนางก็ยังคงไม่ขยับ…
แม้แต่จะยื่นมือออกไป คว้าร่างเล็กนั้นไว้ก็ไม่กล้า
นาง…ไม่เคยกลัวสิ่งใดบนโลกนี้
จนกระทั่งวันนี้
สิ่งที่นางกลัวที่สุด
ไม่ใช่ความตาย
ไม่ใช่ศัตรู
ไม่ใช่ฟ้าดินหรือเทพเซียนใด ๆ
แต่คือ “น้ำตาของเด็กคนหนึ่ง”
…ที่นางรักที่สุดในโลก
ไป๋เฉินวิ่งหายไปในม่านหมอก
ในลานที่เคยเต็มไปด้วยเสียง— เวลานี้กลับเงียบงันจนน่าอึดอัด
ราชันย์อสูรทั้งแปดยืนอยู่กับที่ ไม่มีใครกล้าขยับ สายตาหลายคู่เหลือบมองวานรอัสนีอย่างพร้อมเพรียง
“เ้าจะพูดขึ้นมาทำไม!” พยัคฆ์ครามเอ่ยนิ่ง ๆ
“นายน้อยก็ยืนอยู่กล้าดียังไงถึงพูดเื่เช่นนี้!” จิ้งจอกเก้าหางเสริม
“สมองเ้านี่มีไว้แค่ขั้นหูงั้นรึ?” ราชสีห์วายุว่าเสียงเย็น
วานรอัสนีเบือนหน้าหนี “ข้าแค่พูดในสิ่งที่เป็ความจริงเท่านั้น”
“ความจริงบางอย่าง” กิเลนโลกันตร์พูดขึ้นช้า ๆ “...ก็ควรถูกเก็บไว้ใต้ลิ้น”
ไม่มีใครพูดอีก
ท่ามกลางความเงียบ ซือเหยียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่แม้ไม่มีถ้อยคำใดหลุดจากริมฝีปาก ทุกคนกลับรู้ดี…ตอนนี้นางเ็ปยิ่งกว่าครั้งใดที่นางเคยัั
ป่ารัตติกาลนิรันดร์กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลังเหตุการณ์ในลานใหญ่ซาลง ราชันย์ทั้งแปดทยอยแยกย้ายกลับเขตของตน
ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำลา ไม่มีใครกล้ามองตานาง
…เหลือเพียงเงาร่างสีขาวผู้เดียวที่ยังยืนอยู่
ซือเหยียนไม่พูด ไม่ขยับ ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไร
แต่เมื่อหมอกจางลง สายลมไหลเวียนอีกครั้ง
ร่างนั้นก็พลันหายไปจากลาน—ไร้สุ้มเสียง ไร้ร่องรอย
…
ณ เชิงเขาด้านทิศเหนือของป่า
ใต้ต้นไม้โบราณต้นหนึ่งที่มีรากยาวคลุมพื้น และลำต้นกลวงเป็โพรงขนาดพอดีให้เด็กคนหนึ่งเข้าไปนั่งได้พอดี
ที่นั่น…คือสถานที่ที่ไป๋เฉินมักมานั่งนิ่ง ๆ คนเดียว
ไม่ใช่เพราะมีอะไรพิเศษ
แต่เพราะ “มันเงียบ”
และซือเหยียน…ก็รู้
นางปรากฏตัวเงียบ ๆ ท่ามกลางเงาไม้
…และพบว่า ร่างเล็กของไป๋เฉินนั่งกอดเข่าอยู่ภายในโพรงไม้
ใบหน้ายังเปื้อนน้ำตา แต่ไม่มีเสียงสะอื้นหลุดออกมาอีกแล้ว
ดวงตาคู่นั้นหรี่ลง ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่
ไป๋เฉินเงยหน้าขึ้นช้า ๆ
สายตาเ็า แ่เบา…และแปลกแยกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“ท่านจะตามข้ามาทำไม”
ซือเหยียนไม่ได้ตอบทันที
นางยืนอยู่ตรงนั้น—ไม่ก้าวเข้าใกล้
และหลังความเงียบอันยาวนาน…น้ำเสียงเย็นเรียบจึงดังขึ้นเบา ๆ
“เพราะข้า…ไม่อยากให้เ้าหันหลังจากข้าไปเช่นนั้นอีก”
ไป๋เฉินนิ่งไป
แววตาที่เคยเฉยชากลับฉายแววลังเลขึ้นเล็กน้อย
แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
ซือเหยียนเงยหน้ามองยอดไม้
ลมหายใจของนางหนักแน่น…แต่แ่เบาในเวลาเดียวกัน
“ใช่ ข้าสร้างเ้าขึ้นมา”
“ด้วยพลังของข้า ด้วยพิษของข้า…ข้าปั้นเ้าจากเศษิญญาที่ยังไม่สมบูรณ์”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เ้าเป็ ‘ลูก’”
“แต่เป็ ‘ดาบ’…ที่ใช้แทงทะลุ์”
คำพูดนั้น…ไม่มีการเว้นจังหวะ
ซือเหยียนพูดตรง พูดจริง—ไม่มีแต่งเติม
ไป๋เฉินยังไม่พูด
เขาเพียงก้มหน้าลง…เงียบ
ซือเหยียนหลุบตามอง
ปลายเสียงของนางเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ข้าเคยฆ่าเทพเซียนมานับไม่ถ้วน ข้าสูญเสีย…ถูกทรยศ…และถูกหักหลังจากพวกที่คิดว่าตนสูงส่งกว่าผู้อื่นเพียงเพราะอยู่บนฟ้า”
“และในวันที่ข้าไม่มีสิ่งใดเหลือ…”
“ข้าจึงตัดสินใจสร้างเ้า เพื่อให้เ้าทำลายพวกมัน”
“แต่…”
ซือเหยียนหยุดไปครู่หนึ่ง
…น้ำเสียงของนางสั่นเครือเป็ครั้งแรก
“ข้าไม่คิดว่าเ้า…จะหัวเราะเสียงใสแบบนั้นในคืนแรก”
“ข้าไม่คิดว่าเ้าจะคว้ามือข้าไว้แน่น…แม้ข้าจะเ็าเพียงใด”
“ข้าไม่เคยคิด…ว่าจะรักเ้าจนข้าไม่รู้ว่า—ตัวเองกลายเป็เช่นไรไปแล้ว”
“ข้าเคยไม่เข้าใจ…”
“ว่าทำไมมนุษย์ถึงร้องไห้เพียงเพราะแผลเล็กน้อย”
“ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่สัตว์ถึงกล้าลากร่างาเ็เข้าหาศัตรู…เพียงเพื่อปกป้องลูกของมัน”
ซือเหยียนหลุบตาลง
ดวงตาสีอำพันเคยแข็งกร้าว—เวลานี้กลับสั่นไหวเหมือนสายน้ำในบึงเงียบ
“ข้าไม่เข้าใจ…จนวันที่เ้านอนหลับอยู่บนตักข้า แล้วเผลอยิ้มออกมา”
นางขยับเข้ามาใกล้ทีละก้าว
แม้ไม่มีรังสีฆ่าฟัน ไม่มีกลิ่นปราณ
แต่ไป๋เฉินกลับรับรู้ได้—ว่าแต่ละก้าวนั้นหนักแค่ไหนสำหรับนาง
“ข้าไม่รู้จะเลี้ยงเ้าอย่างไร…”
“ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเ้าอยากกินอะไร เล่นอย่างไร หรือแม้แต่เ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่”
“ข้าคิดเสมอว่า วันหนึ่งเ้าจะเป็อาวุธที่เฉียบคมพอจะทำลายฟ้า”
“แต่พอข้าหันมองอีกครั้ง…เ้าไม่ได้เติบโตเป็ดาบ”
“เ้า…เป็แสงที่ข้าไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในโลกนี้”
เสียงของซือเหยียนเบาลงเรื่อย ๆ
ราวกับทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาคือการฝืนใจที่สุดในชีวิตนาง
ไป๋เฉินเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
ในดวงตาที่เคยแฝงความเจ็บ…เริ่มมีแววสับสนแทรกขึ้นมาทีละน้อย
“เ้าเคยถามว่า…”
“ข้าสร้างเ้าขึ้นมาเพื่อเป็เครื่องมือหรือไม่”
ซือเหยียนหยุดอยู่หน้ารากไม้
มองลงไปยังเด็กหนุ่มที่เคยเป็เพียงทารกตัวเล็ก ๆ ในนิ้วมือของนาง
“ข้าไม่อาจโกหก…เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นจริง ๆ”
“…แต่ข้าก็ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้”
“สิ่งเดียวที่ข้าทำได้…คือตอนนี้”
“และตอนนี้—ข้าไม่้าให้เ้าเป็อาวุธอีกแล้ว”
“ข้าไม่้าให้เ้าทำลายฟ้า”
“ไม่้าให้เ้าฝึกจนตัวตายเพื่อไต่ขึ้นสู่ยอดเขา”
“ข้าแค่…ไม่อยากเสียเ้าไป”
เสียงนั้นแ่ลงกว่าทุกครั้ง
ไป๋เฉินยังคงนั่งเงียบ
เขาไม่ขยับ ไม่พูด
แต่ในอก…คล้ายมีบางอย่างหลุดออกไปช้า ๆ
ซือเหยียนนั่งลงหน้าต้นไม้ ไม่ได้เอื้อมมือหาเขา ไม่ได้ฝืนกอดเขา
นางแค่…อยู่ตรงนั้น
เงียบ ๆ และรอ
ราวกับพร้อมจะนั่งตรงนั้นทั้งวัน—แม้คำตอบจะไม่มา
ผ่านไปหลายลมหายใจ…
มือเล็ก ๆ ที่ยังคงสั่นอยู่…ยื่นออกมาช้า ๆ
ซือเหยียนนิ่งงันไปชั่วครู่
ก่อนจะยื่นมือของตนไปแตะเบา ๆ กับปลายนิ้วของเขา
ไป๋เฉินไม่พูดอะไร
แต่เมื่อมือของเขาแแ่ขึ้นช้า ๆ และร่างกายเอนซบเข้าหานาง
ซือเหยียนก็หลับตาลง
และในใจของราชินีอสูรที่เคยเยือกเย็นเสมอมา
มีเพียงประโยคเดียว—ดังก้องอยู่เงียบ ๆ
“ต่อให้ต้องแลกทุกสิ่งในโลก…ข้าก็ไม่อยากให้เขาเกลียดข้า”
ใต้แสงจันทร์สีเงิน...
เงาร่างสองเงานั่งเคียงกันบนลานหินกลางป่ารัตติกาลนิรันดร์
แม้รอบด้านจะยังคงเต็มไปด้วยหมอกและกลิ่นอายของอสูร
แต่ในเวลานี้—มีเพียงเสียงลมหายใจแ่เบาของสองแม่ลูกที่สอดประสานกันอยู่เงียบ ๆ
ซือเหยียนยังคงจับมือของไป๋เฉินไว้
นิ้วเรียวยาวเย็นเฉียบของนาง...กุมมือน้อยที่เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความลังเล
นางมองลูกชายที่ยังนั่งอยู่ข้าง ๆ
แม้เขาจะยังไม่พูด แม้จะยังไม่สบตา
แต่นางก็รู้ว่าเขา…ยังฟังอยู่
นางจึงตัดสินใจพูดต่อ...
เสียงของซือเหยียนเบากว่าทุกครั้ง
แ่เหมือนลม…แต่หนักแน่นในทุกคำ
“…ข้าอาจจะไม่ใช่แม่ที่ดี” “ไม่รู้วิธีเลี้ยง ไม่รู้วิธีพูด ไม่รู้แม้กระทั่ง…ควรจะทำหน้ายังไงเวลาเ้าร้องไห้”
นางหัวเราะเบา ๆ เหมือนเยาะตนเอง
“ข้าเคยเอาเ้าแนบอก เอาเ้าปิ้งไฟ เอาเ้าห่มผ้า เอาเ้ารัดเถาวัลย์…”
“ในหัวของข้ามีแต่คำถาม…เ้านี่มันต้องกินอะไรถึงจะเงียบ?”
“และตอนนี้…ข้ากลับมีคำถามใหม่ที่น่ากลัวยิ่งกว่า…”
ดวงตาสีอำพันก้มลงช้า ๆ มองมือเล็กในอุ้งมือตนเองที่ยังคงจับไว้แน่น
ราวกับกลัวว่าหากปล่อยออก—จะไม่มีโอกาสได้จับอีก
“…ถ้าเ้าเกลียดข้าแล้วจากไป…ข้าจะอยู่ยังไง”
คำพูดนี้…ทำให้ไป๋เฉินเงยหน้าขึ้นช้า ๆ
ดวงตาสีเทาคู่นั้นจ้องมองมารดาโดยไม่พูดอะไร
แต่ซือเหยียน…ยังคงพูดต่อ
“ข้าไม่เคยกลัวสิ่งใดเลย” “ไม่กลัวเทพเซียน ไม่กลัวฟ้าดิน ไม่กลัวความตาย…”
นางหายใจเข้าเบา ๆ
เสียงสั่นเพียงนิดหนึ่ง—แต่นั่นก็เพียงพอให้ััได้
“…แต่ตอนนี้ ข้ากลัวเพียงสิ่งเดียว”
ดวงตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะสบตาลูกชายในที่สุด
“ข้ากลัวว่าเ้าจะเกลียดข้า”
“…หากเ้ารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ”
“ข้าคงไม่กล้าอยู่ตรงหน้าเ้าอีกเลย…”
เงียบ…
ไป๋เฉินไม่พูดอะไร
เขาเพียงเงียบ
แต่ในดวงตาสีเทาคู่นั้น มีเงาอะไรบางอย่างสั่นไหวอยู่ลึก ๆ
ซือเหยียนยังคงมองเขา
ก่อนจะค่อย ๆ ขยับมือที่กุมอยู่
ปลายนิ้วเรียวที่มักสังหารศัตรูนับพันในชั่วพริบตา—ตอนนี้กลับสั่นเพียงเพราะเด็กชายคนเดียว
“ไป๋เฉิน…”
“หากเ้ายังไม่ให้อภัยตอนนี้…ข้าเข้าใจ”
“…แต่ได้โปรด…อย่าเกลียดข้าเลย”
ไป๋เฉินเงียบไปอึดใจหนึ่ง
ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับมือของนางแน่นขึ้น
และพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบา
“…ข้าไม่เกลียดท่านแม่หรอก”
ซือเหยียนชะงัก
ไป๋เฉินยิ้มบาง ๆ—แม้ตายังแดง แต่รอยยิ้มนั้นกลับอบอุ่นกว่าทุกสิ่งในโลก
“เพราะท่านแม่…คือท่านแม่ของข้า”
“ไม่ใช่เพราะท่านสร้างข้าขึ้นมา ไม่ใช่เพราะสายเื ไม่ใช่เพราะคำสั่งใด ๆ”
“แต่เพราะ...ท่านเลี้ยงข้า ท่านอยู่กับข้า”
“และข้ารู้ว่าท่านรักข้า…แม้ท่านจะไม่พูดก็ตาม”
ดวงตาสีอำพันเบิกเล็กน้อย
ริมฝีปากของซือเหยียนเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะ…คลายออกช้า ๆ
และรอยยิ้มแรกของชีวิต ก็ปรากฏขึ้น—เบาบาง…แต่ชัดเจนยิ่งกว่าภาพใดในความทรงจำ
รอยยิ้มที่ไม่มีใครเคยเห็น
แม้แต่เทพเซียนทั้งฟากฟ้าก็ไม่อาจจินตนาการ
รอยยิ้มที่มีไว้เพียง “เขา” คนเดียวเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้