พอเปรียบเทียบระหว่างคนทั้งสอง หยางหนิงก็รู้สึกเอนเอียงภายในใจไม่ได้
“อืม”
เขาตอบรับอย่างเ็าก่อนจะกลับศาลาว่าการอำเภอ
นี่ผิดจากที่จ้าวจือจุ่นคิดไว้อย่างสิ้นเชิง เขาคิดว่าท่านนายอำเภอจะถามไถ่เขามากกว่านี้ เพราะถึงอย่างไรใกล้ถึงพิธีสอบแล้ว ในฐานะนายอำเภอย่อม้ารวบรวมผู้มีความสามารถโดดเด่นเอาไว้ หากคนเ่าั้มีผู้สอบผ่านเคอจวี่ ในฐานะผู้แนะนำก็สามารถได้รับการตอบแทนเช่นกัน
จ้าวจือจุ่นที่เจอกับความเ็า ใบหน้าเหลี่ยมเริ่มตรึงรอยยิ้มไม่อยู่ เพียงแต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ด้านนอก ต่อหน้าคนมากมายมีหรือที่เขาจะกล้าใช้อารมณ์ จึงทำได้เพียงโค้งคำนับส่งคนจากไป
......
จ้าวเหลยรับรู้ความโกรธจากตัวลูกชายได้อย่างชัดเจน จึงยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ ไม่กล้าเดินไปข้างหน้า แต่หลี่ชุนฮัวกลับเป็คนอ่านบรรยากาศไม่ออก พลันด่ากราดบนถนน
“นายอำเภอสุนัขอะไร จุ่นเอ๋อร์เพียบพร้อมเช่นนี้ เขายังไม่สนใจไยดี เื่อะไรต้องไปตามตอแยเ้าพิการนั่นด้วย! พิการแล้วจะสอบเคอจวี่ได้หรือ? ฮึ่ม! ลูกข้ามีความสามารถ รอวันใดที่ลูกข้าสอบติดจอหงวน พวกเขาได้หลั่งน้ำตาแน่”
หลี่ชุนฮัวด่ากราดไม่หยุด ไม่นานนักก็โยงมาที่ตัวจ้าวจือชิง
“เขาควรตายไปั้แ่ในสนามรบตอนนั้น เื่อะไรถึงมาเป็ตัวถ่วงพวกเรา? อย่าคิดว่าที่ได้รับการยกเว้นภาษีแค่นิดหน่อยจะทำให้ข้าซาบซึ้งใจ! รอลูกข้าสอบได้ตำแหน่ง ก็ได้รับการยกเว้นภาษีเช่นกัน! ถึงเวลานั้นข้าจะไม่ใจอ่อนกับเขาแน่นอน!”
คำพูดของหลี่ชุนฮัวโหวกเหวกจนจ้าวจือจุ่นปวดศีรษะ เดิมทีวันนี้เขาก็ได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอยู่แล้ว หลี่ชุนฮัวไม่เพียงไม่ปลอบใจเขา กลับด่ากราดอยู่อย่างนั้น
เขาตะคอกอย่างอารมณ์ไม่ดี “หากท่านมีความสามารถทำให้เขาไม่ต้องเป็ตัวถ่วงเรา ก็รีบหาทางเล่นงานเขาให้ตายโดยเร็ว!”
หลังจากตะคอกเสร็จตัวเขาเองก็ตกตะลึง! ที่แท้ความเกลียดชังในใจของเขาที่มีต่อจ้าวจือชิงนั้นลึกซึ้งถึงเพียงนี้!
เพียงแต่คำที่พูดออกมาเหมือนดั่งน้ำที่สาดออกไปยากจะเก็บกลับมา เขาเดินกลับเข้าห้องอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
หลังจากถูกลูกชายตะคอกใส่อย่างไม่มีที่มา หลี่ชุนฮัวจึงจัดการจดบัญชีแค้นส่วนนี้ไว้ในนามของสกุลลั่วกับจ้าวจือชิง
จ้าวเหลยเห็นนางเช่นนี้ก็ทำหน้าบึ้งตึง “ตอนนี้เป็่หัวเลี้ยวหัวต่อของลูกชาย เ้าอย่าได้ก่อปัญหาอะไรเด็ดขาด!”
หลังจากถูกจ้าวเหลยดักทาง หลี่ชุนฮัวก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตน นางจะต้องช่วยลูกชายกำจัดศัตรูทั้งหมดให้จงได้!
......
จ้าวจือชิงตามคนสกุลลั่วไปบ้าน พอพี่หลิวที่ช่วยดูแลบ้านและดูแลไหลไหลน้อยเห็นพวกเขากลับมาก็รีบไปต้อนรับ
“เื่ราวได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ชีเหนียงเห็นท่าทางร้อนใจของพี่หลิวก็ยิ้มอบอุ่น “จัดการเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าหยางคือตัวแทนของราษฎร”
เมื่อได้ยินว่าจ้าวกวงถูกกฎหมายลงโทษแล้ว พี่หลิวจึงค่อยวางใจหน่อย “จ้าวกวงผู้นี้ไม่ใช่คน ส่งคนแบบนี้เข้าคุกไปจะได้ช่วยไม่ให้มันไปทำร้ายผู้คนไปทั่ว!”
พี่หลิวโมโหจนคันเหงือก ในใจกระวนกระวายทั้งวันในที่สุดตอนนี้ก็สงบลงเสียที
“เ้าว่าจ้าวกวงคนนี้เหตุใดไม่จับจ้องครอบครัวอื่น รั้นแต่จะสร้างปัญหากับครอบครัวเ้าอยู่เรื่อย…” พี่หลิวพร่ำบ่นเมื่อนึกถึงข่าวลือสะพัดที่ออกมาหลายวันก่อน นางมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของชีเหนียงและชะงักไป
คงไม่ใช่ว่าชีเหนียงจะ…เป็ไปไม่ได้! ชีเหนียงมิใช่คนแบบนั้น
ลั่วชีเหนียงเห็นนางเงียบไป นึกว่านางคงเหนื่อย ใครจะรู้ว่ากลับมีแรงหนึ่งจับมือของตนไว้ จากนั้นนางก็โดนพี่หลิวลากไปมุมกำแพง
“ชีเหนียง เ้าคงไม่ได้ไปล่วงเกินอะไรใครข้างนอกหรอกนะ?” พี่หลิวยังคงไม่วางใจ แม้ว่าในใจนางจะเชื่อว่าชีเหนียงมิใช่สตรีที่ไม่อยู่ในกรอบ ตนเองจึงควรต้องเตือนนางให้มาก
“พี่หลิว นี่ท่านเป็อะไรไป?”
“เป็อะไรอะไรกัน เ้ายังมีแก่ใจหัวเราะอีก หลายวันก่อนต่างก็มีคนลือเื่เ้ามั่วผู้ชายและสำส่อน ข้าห่วงว่าจะมีคนจงใจปลุกปั่นเื่นี้ ถึงเวลาเื่ที่ลือออกไปคงไม่ดี” พี่หลิวกดเสียงต่ำและกวาดมองรอบทิศ “จ้าวกวงคนต่ำทรามมีเื่ใดบ้างไม่เคยทำ หากมีคนชี้นำไปในทิศทางนี้ หากถูกใส่ร้ายป้ายสี แม้เ้ามีปากก็คงอธิบายไม่กระจ่าง!”
พี่หลิวยิ่งพูดก็ยิ่งคิดว่าเป็ไปได้ คนบ้านนอกหากจะบอกว่าใสซื่อก็ใสซื่อ แต่เื่การซุบซิบนินทาก็เป็ผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน อย่าว่าแต่เื่ราวที่ไม่มีมูลเหตุยังสามารถเล่าลือจนปั้นน้ำเป็ตัวได้ ยิ่งไปกว่านั้นเื่ของจ้าวกวงยังไปถึงศาล ตอนนี้ยังมีชายอีกคนอยู่ในบ้านด้วย
“นอกจากนี้เ้าทึ่มร่างโตอาศัยอยู่บ้านเ้าก็มิใช่เื่ดี หากถูกคนเห็นเข้าจริง เ้ารอหลั่งน้ำตาเถอะ!”
ลั่วชีเหนียงรู้ว่าพี่หลิวหวังดีต่อนาง แต่นางรู้สึกว่าที่พี่หลิวเป็ห่วงนั้นเป็เื่ไม่จำเป็ นอกจากนี้เื่ของจ้าวกวงนั้นได้รับความกระจ่างจากศาลแล้ว ส่วนจ้าวจือชิง เขาก็พักฟื้นที่บ้านสกุลลั่ว พอหายดีก็จากไปเอง
“พี่สาวแสนดี ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า ทว่าเื่เหล่านี้ผ่านความกระจ่างในศาลแล้ว ใครกล้าพูดมากอีก อย่างมากที่สุดก็เจอกันในศาลเท่านั้นเอง”
เมื่อเห็นชีเหนียงไม่ฟัง พี่หลิวก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก จึงเพียงแค่กลับบ้านและเลี่ยงไม่ได้ที่จะบ่นกับฝูอันไม่กี่คำ
ฝูอันคือบุรุษ เมื่อฟังนางบ่นก็รำคาญใจ จึงโพล่งแบบขอไปที “อย่างมากก็แค่แต่งงาน ไหนเลยจะมีปัญหามากมาย”
ใครจะรู้ว่าคำพูดนี้ของฝูอันกลับเป็จริงในภายหลังจากนั้นไม่นาน
......
วันที่ห้าเดือนสิบเอ็ด วันนี้ตู้ิเจวียนมารับสินค้า สิ่งที่รับไปมีเพียงแค่แก้วดินเผากับช้อนหลอดดูด บวกกับนมที่เคี่ยวเสร็จนานแล้ว ลั่วชีเหนียงกับพี่หลิวตามหลังเลี่ยวมามาเพื่อไปจวนสกุลหยาง
ก่อนหน้านี้ได้คุยกันไว้แล้วว่า ชานมต้องดื่มตอนร้อน ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงจำต้องทำที่งานเลี้ยง ตู้ิเจวียนเองก็เห็นด้วยกับสิ่งนี้ โดยเฉพาะตอนนั้นที่ลั่วชีเหนียงทิ้งสูตรขนมไว้ให้ นางให้คนลองทำหลายครั้ง ผลลัพธ์ใช้ได้ คราวนี้จะได้ให้ลั่วชีเหนียงตรวจสอบสูตรสักที
เมื่อเห็นลั่วชีเหนียง ตู้ิเจวียนก็รีบให้บ่าวนำขนมไข่มาอย่างทนรอไม่ไหว
ชีเหนียงเห็นแล้วเพียงแค่ยิ้มเบาๆ ท่าทางอยากอวดแบบทนรอไม่ไหวเหมือนเห็นนางเป็คนกันเองแล้วจริงๆ ท่าทางนี้ช่างเหมือนกับใบหน้าขี้อวดของเหล่านักเรียนของตนที่สอบผ่านเ่าั้เหลือเกิน
นางหยิบช้อนขึ้นมาชิมหนึ่งคำเล็กๆ รสชาติใช้ได้ แค่หวานเกินไปเล็กน้อย ไม่เหมาะกับการให้ผู้สูงอายุรับประทาน แต่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้จากการดูสูตรที่ให้ไปก็นับว่าเก่งกาจมากแล้ว
“รูปร่างหน้าตาคล้ายกันมากแล้ว รสชาติก็ดีเยี่ยม เพียงแต่หวานเกินไปสักหน่อย สำหรับร่างกายของคนแก่ คงไม่ดีนัก หากขนมไข่นี้ทำให้คนแก่หรือเด็กทาน คงต้องลดน้ำตาลลงครึ่งหนึ่ง”
“ข้าขอชิมหน่อย” ตู้ิเจวียนชิมหนึ่งคำ แต่ไม่ได้รู้สึกหวาน “ข้าคิดว่าใช้ได้แล้ว ระดับความหวานกำลังดี”
ชีเหนียงยิ้มและตอบ “ทุกคนมีต่อมรับรสที่ไม่เหมือนกัน ยามปกติฮูหยินชอบทานของหวาน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าหวานเลี่ยน แต่หากทานหวานมากเกินไป จะทำให้รูปร่างผิดทรงได้ง่าย กระทั่งส่งผลต่อความอ่อนไหวของฟัน สำหรับคนมีอายุ ร่างกายกำลังเสื่อมลง สำหรับเด็ก ร่างกายกำลังเติบโต การทานหวานมากไปหาใช่เื่ดีไม่”
หลังจากชีเหนียงพูดจบ พี่หลิวอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นไหลซึม
เด็กดี! นี่เป็ถึงฮูหยินนายอำเภอ ชีเหนียงคัดค้านฮูหยินนายอำเภอต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ยังใช้ได้อีกหรือ!
-----
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้